กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 895.3 ใต้หล้าล้วนรับรู้
เป็นเหตุให้คนมากมายที่มีโชควาสนา หากเป็นคนแก่จะมีสัมผัสที่เฉียบไวต่อขีดจำกัดด้านความเป็นความตายมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุสมณศักดิ์สูงที่เป็นมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธ เจินเหรินผู้บรรลุมรรคาของลัทธิเต๋าที่ถึงขั้นสามารถรู้เวลาตายของตัวเองได้
ก็เหมือนการไปอยู่ตรงจุดตัดระหว่างทะเลและบนบก แล้วหยุดเท้าหันมองกลับไป นี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าความสดใสสุดท้ายก่อนตาย
นอกจากนี้คนบนภูเขาช่วยต่ออายุขัยให้กับคนล่างภูเขาก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการเบิกใช้ล่วงหน้า จะทำลายโชควาสนาจากบุญกุศลที่สร้างไว้ของคนที่กินยาโดยที่มองไม่เห็น ดังนั้นความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของยาทั้งสองเม็ดนี้คือใช้บุญกุศลส่วนหนึ่งหลอมเข้าไปในตัวยา สามารถต่ออายุขัยให้กับแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาได้หนึ่งปีกว่า เท่ากับว่าเป็นความสดใสเสี้ยวสุดท้ายที่เวลายาวนานมากครั้งหนึ่ง และนี่ก็เป็นขีดจำกัดแล้ว
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยว่า “คุณชาย หากเดาสถานะไม่ผิด ใต้เท้าเจ้าเมืองน่าจะใกล้มาถึงเรือนพวกเราแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “เจอกับเขาแล้วค่อยไปจวนเหยาด้วยกัน”
พอไปถึงหน้าประตูก็ได้เจอกับเหยาเซียนจือที่ใบหน้าไม่เต็มไปด้วยหนวดเคราอีกแล้ว แม้ว่าสีหน้าของเจ้าเมืองท่านนี้จะดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ดวงตาคู่นั้นกลับสว่างเจิดจ้าเหมือนเด็กหนุ่มในอดีตคนนั้น
เดินออกจากตรอกไปด้วยกัน ตอนที่เฉินผิงอันพูดถึงยากับเหยาเซียนจือ เหยาเซียนจือที่เดินขากะเผลกข้างหนึ่งถึงกับไม่เอ่ยประโยคเกรงใจอะไรแม้แต่ครึ่งคำ กับอาจารย์เฉิน มีอะไรให้ต้องเกรงใจกันเล่า
ไม่อาจเปลี่ยนคำเรียกขานอีกฝ่ายว่าพี่เขย นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
เหยาเซียนจือเอ่ยเบาๆ “อาจารย์เฉิน ข้าช่วยตรวจสอบให้แล้ว ทางฝั่งของแคว้นเป่ยจิ้นไม่มีภิกษุที่อาจารย์เฉินพูดถึงคราวก่อนไปจำวัดที่วัดหรูชวี่”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ภิกษุที่มีพระธรรมอยู่ในใจอย่างแท้จริง จะพบเจอได้คงต้องแล้วแต่วาสนาเท่านั้น”
คราวก่อนที่กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เหยาเซียนจือได้คลายปมในใจไปแล้วไม่น้อย ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขึ้นหลังม้ากลับไปทำอาชีพเก่าที่ชายแดนอีกแล้ว เขาจะเป็นใต้เท้าเจ้าเมืองอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ต่อไป แต่เฉินผิงอันจะต้องเก็บตำแหน่งผู้ถวายงานสำนักเบื้องล่างไว้ให้เขาตำแหน่งหนึ่ง
ฮ่องเต้หนุ่มของแคว้นเป่ยจิ้นเลื่อมใสในพระธรรม ว่ากันว่ามีครั้งหนึ่งไปค้างที่วัดฝันว่ามีคนมาให้การช่วยเหลือ จึงได้รับต้นฉบับเนื้อหาของขั้นตอนการทำพิธีกรรมทางลัทธิพุทธเล่มหนึ่งที่หายสาบสูญไปนาน
ช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ฮ่องเต้ปรากฏตัวในงานพิธีกรรมทางศาสนาครั้งหนึ่ง บอกให้เจ้ากรมพิธีการอ่านประกาศเนื้อหาการทำพิธี อีกทั้งยังเขียนกรอบป้ายเป็นคำว่า ‘ลานประกอบพิธีสุ่ยลู่อู๋อ้าย’ (คำว่าสุ่ยลู่หมายถึงทางน้ำและทางบก แต่ยังเป็นชื่อเรียกพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย อู๋อ้ายหมายถึงไร้อุปสรรค สุ่ยลู่อู๋อ้ายจึงหมายถึงไร้อุปสรรคทั้งทางน้ำและทางบก หรือลานประกอบพิธีกรรมที่ราบรื่นไร้ซึ่งอุปสรรค) เป็นเหตุให้ภายในแคว้นมักจะมีการจัดพิธีกรรมทางศาสนาพุทธอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
เหยาเซียนจือถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “จะสร้างสำนักเบื้องล่างเมื่อไหร่? กำหนดวันที่แน่นอนแล้วหรือยัง? ข้าที่เป็นผู้ถวายงานจะต้องไปร่วมงานด้วยแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า”
เหยาเซียนจือมีสีหน้าปั้นยาก
ทำไมถึงเป็นวันนี้ล่ะ? วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิโอรสสวรรค์จะต้องนำพาร้อยขุนนางไปทำพิธีต้อนรับวสันต์ฤดู แม้กระทั่งเจ้าเมืองของเมืองหลวงอย่างตนก็ยังต้องรับผิดชอบต่าชุน (ในวันเริ่มต้นฤดูไม้ใบผลิจะมีประเพณีให้คนเอาดินมาปั้นเป็นวัว จากนั้นใช้แส้สีเขียวแดงโบยไปที่วัวดินตัวนี้ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ถึงการหว่านไถในฤดูใบไม้ผลิ ขอพรให้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์) ด้วย
ดังนั้นฮ่องเต้ต้องมิอาจไปเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองได้แน่นอน
คราวก่อนอาจารย์เฉินไปเป็นแขกที่จวนจินหวง ฮ่องเต้ก็ประทับอยู่ที่ทะเลสาบซงเจิน ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว ทว่าทั้งสองฝ่ายกลับคลาดกันไป
เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าคันหนึ่งกับเหยาเซียนจือ โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ห่างจากจวนเหยาไม่ไกลนัก
เสี่ยวโม่นั่งอยู่ข้างกายสารถี
เหยาเซียนจือถามหยั่งเชิง “ทำไมถึงไม่ไปพักที่บ้านข้าล่ะ?”
เฉินผิงอันอธิบาย “มอบยาให้เสร็จแล้ว หลังจากแน่ใจว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาปลอดภัยดี พวกเราจะออกจากเมืองหลวงทันที เดินทางไปที่เรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน”
เหยาเซียนจือถาม “รีบร้อนขนาดนี้เลยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าก็ต้องก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้ว ใต้เท้าเจ้าเมืองท่านว่าเจ้าสำนักเบื้องบนอย่างข้าจะยุ่งหรือไม่เล่า?”
เหยาเซียนจือสีหน้าซับซ้อน
ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็เสียเวลาแค่สองสามวันเองไม่ใช่หรือ
ไปถึงจวนเหยา มาถึงห้องที่มียันต์แปะไว้หลายแผ่น รอกระทั่งเหยาเซียนจือช่วยให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยากินยาสองเม็ดลงไปแล้ว เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็ยกข้อมือของผู้เฒ่าขึ้นมาตรวจชีพจรอย่างละเอียดเบาๆ สุดท้ายหันไปเอ่ยเสียงเบากับเหยาเซียนจือว่า “วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาอะไร อีกเดี๋ยวแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาก็จะฟื้นขึ้นมาแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าก็คอยช่วยเหลือ แล้วก็ต้องหาเวลามาเดินเล่นกับท่านปู่บ่อยๆ ด้วย”
เหยาเซียนจือเรียกอาจารย์เฉินก่อน จากนั้นยกแขนข้างที่เหลืออยู่กำหมัดแน่น ทุบลงตรงหัวใจเบาๆ
เฉินผิงอันวางแขนของผู้เฒ่ากลับเข้าไปในผ้าห่มด้วยท่วงท่าอ่อนโยน ยัดมุมผ้าให้เรียบร้อยแล้วถึงได้ลุกขึ้น เดินออกไปนอกประตูกับเหยาเซียนจือ
เสี่ยวโม่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูเงียบๆ
เฉินผิงอันตบไหล่เหยาเซียนจือ “ไปทำธุระเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า ข้าจะรอให้แม่ทัพผู้เฒ่าฟื้นอยู่ตรงนี้”
เหยาเซียนจือยิ้มกล่าว “ธุระกะผายลมอะไรเล่า หลายวันมานี้นอบหลับไม่สนิทเลย ในที่สุดก็หายใจหายคอได้คล่องบ้างแล้ว”
สุดท้ายเหยาเซียนจือลากเฉินผิงอันมากินข้าวเย็นด้วยกัน ได้ยินผู้ดูแลของจวนบอกว่าท่านปู่ฟื้นแล้ว คนทั้งสามก็รีบวางตะเกียบลง ไปยังเรือนที่อยู่ติดกัน
ผู้เฒ่านั่งพิงหัวเตียง สีหน้าไม่เลว ยิ้มมองหลานชายที่เดินข้ามธรณีประตูมาพร้อมกับบุรุษชุดเขียว ถามว่า “เซียนจือ แจ้งให้ฝ่าบาททราบแล้วหรือยัง?”
เหยาเซียนจือส่ายหน้า “ยังเลย”
จากนั้นเหยาเซียนจือก็ถามหยั่งเชิง “ท่านปู่ ให้ข้าส่งข่าวไปที่วังหลวงเลยไหมขอรับ?”
มองเจ้าเด็กหน้าเหม็นที่ขยับชุดกว้าตัวยาวสีเขียว นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงช้าๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ ผู้เฒ่าก็โบกมือยิ้มเอ่ยกับเหยาเซียนจือ “ไม่ต้องแล้ว เรื่องที่ขอร้องก็ไม่ได้มา คนที่ทำให้ตกใจก็ยังไม่หนีไปนี่นะ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็แค่พูดคุยถึงเรื่องในอดีตกับเฉินผิงอัน ส่วนเรื่องใหญ่ของใต้หล้าแคว้นบ้านตนทุกวันนี้ เขากลับไม่เอ่ยถึงสักคำ
พูดคุยกันไปเกือบครึ่งชั่วยาม แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาถึงได้ยอมปล่อยเฉินผิงอันไป เพียงแค่บอกเขาว่าก่อนจะออกไปจากนครเซิ่นจิ่งจะต้องมากินข้าวที่บ้านตนอีกสักมื้อ เฉินผิงอันตอบตกลง
เหยาเซียนจือเดินไปถึงหน้าประตูเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน เขายังต้องกลับที่ว่าการจวนเจ้าเมืองเพื่อไปจัดการงานราชการอีกกองโต เรื่องการตามหาดาบเป็นแค่เรื่องเร่งด่วนประชิดขนคิ้วเท่านั้น ยังมีเรื่องจุกจิกวุ่นวายอีกมากนัก
ยามที่หิมะละลาย เมืองหลวงเหมือนกลายมาเป็นดอกฉงฮวา (ดอกไม้สีขาวที่ชูช่อเป็นกลุ่มหรือดอกไวเบอร์นัมจีน ลักษณะคล้ายๆ ดอกไฮเดรนเยีย)
ไปเยี่ยมเยือนอารามเต๋าในค่ำคืนที่หิมะตก
เฉินผิงอันเดินอยู่ในตรอกเล็กสายหนึ่ง ทางทิศตะวันตกสุดของเมืองหลวงต้าเฉวียนแห่งนี้มีอารามเต๋าขนาดเล็กที่มีชื่อว่าอารามหวงฮวาตั้งอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะคลายตราผนึก ฮ่องเต้ถอนผู้ฝึกตนผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์ที่มาช่วย ‘ปกป้อง’ อารามเต๋าอย่างลับๆ กลุ่มหนึ่งออกไป
หลิวเม่าเจ้าอาราม อดีตองค์ชายสาม ภายหลังคืออ๋องเจ้าเมืองของต้าเฉวียน หลังจากที่ชะตาแคว้นทอดยาวไม่ขาดสะบั้น แต่แซ่ประจำแคว้นกลับถูกเปลี่ยน หลิวเม่าก็เป็นฝ่ายขอถอนตัวออกจากตำแหน่ง ได้รับทำเนียบลัทธิเต๋ามาแทน มาตั้งใจฝึกตนอยู่ในอารามเต๋าขนาดเล็กของเมืองหลวงแห่งนี้ ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ทุกวันนี้มีฉายาว่านักพรตหลงโจว รับนักพรตน้อยที่เป็นเด็กกำพร้ามาเป็นลูกศิษย์แค่สองคนเท่านั้น หลิวเม่าสอนคาถาลัทธิเต๋าและวิชาการเข้าฌานทำสมาธิของตระกูลเซียนบางอย่างให้ เพียงแต่ว่าเด็กทั้งสองกลับไม่รู้จักเห็นค่า ค่อนข้างเกียจคร้าน รู้สึกว่ายุ่งยากกว่ากวาดลานอารามเยอะเลย
หลิวเม่าได้ยินเสียงเคาะประตูก็สวมเสื้อคลุมลุกขึ้นมา พอเปิดประตูแล้วเห็นแขกชุดเขียวที่เหมือนสหายเก่าซึ่งได้กลับมาพบกันใหม่ของตน หลิวเม่าก็รู้สึกหัวโตเป็นสองเท่า
แขกชั่วร้ายมาเยือนถึงที่ ดูจากท่าทางแล้วคงคิดจะมาปล้นอารามเล็กบ้านตนอีกเป็นแน่
เฉินผิงอันร้องเอ๊ะหนึ่งที มองประเมินหลิวเม่า สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ กุมหมัดเขย่า ยิ้มเอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้าอารามด้วย ห่างจากคราวก่อนที่จากลากันแค่ไม่กี่วันก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกรได้อย่างราบรื่นแล้ว ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก ดังนั้นวันนี้มาเยือนมือเปล่า ต้องขออภัยแล้ว”
หลิวเม่ากระตุกมุมปาก “ไม่เป็นไร”
ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายหลิวเม่าก็ไม่กล้าเอ่ยประโยคว่า ‘หากมีโอกาสก็ค่อยชดเชยให้แล้วกัน’ กังวลว่าคืนนี้อารามบ้านตนจะมีจุดจบกลายเป็นว่าไม่เหลือแม้แต่หญ้าสักต้น
มาเยือนสองมือเปล่าก็ไม่ใช่ว่าสามารถกลับไปพร้อมข้าวของเต็มสองไม้สองมือได้พอดีหรอกหรือ?
เสี่ยวโม่ช่วยปิดประตูใหญ่ของอารามให้แล้ว เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับหลิวเม่าพลางเอ่ยแนะนำลูกศิษย์สองคนที่อยู่ข้างกายตัวเอง
“ลูกศิษย์เผยเฉียน เพิ่งจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง”
“นักเรียนเฉาฉิงหล่าง ผู้ร่วมสอบเคอจวี่ครั้งก่อนของต้าหลี ฮุ่ยหยวน (บัณฑิตลำดับหนึ่งของการสอบระดับมณฑล) ของการสอบประจำฤดูใบไม้ผลิที่เมืองหลวง ปั้งเหยี่ยนของการสอบหน้าพระที่นั่ง”
หลิวเม่าได้ยินแล้วก็ก้มหัวคารวะชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้น เพียงแต่ในใจอดกังขาไม่ได้ว่าทั้งสองคนนี้สามารถเปรียบเทียบกันได้ด้วยหรือ?
ต่อให้น้ำหนักของการสอบเคอจวี่แห่งต้าหลีจะมากแค่ไหน ทว่าการสอบประจำฤดูใบไม้ผลิของเมืองหลวงที่จะจัดขึ้นสี่ปีครั้ง มีครั้งใดบ้างที่ไม่มีจ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยน ทั่นฮวา สามลำดับของอันดับหนึ่ง
ทว่าในหนึ่งทวีปมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแค่กี่คนกันเชียว? ที่บ้านเกิดของตน ทุกวันนี้ก็มีปรมาจารย์แค่สองท่านอย่างอริยะบู๊อู๋ซูและหวงอีอวิ๋นเท่านั้น
หลิวเม่าคิดว่าจะพาคนทั้งกลุ่มไปดื่มชาที่ห้องหลัก แต่เฉินผิงอันปฏิเสธ บอกว่าไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น พวกเราไปรำลึกความหลังที่ห้องหนังสือของอารามกันก็พอ ที่นั่นเงียบสงบดี
เจ้าอารามขอบเขตประตูมังกรแห่งอารามหวงฮวาผู้นี้ ยามที่ผลักประตูห้องหนังสือเปิดออก หนังตาถึงกับกระตุกริกๆ
หากจะบอกว่าไม่ทันระวังถูกโจรปล้น เป็นเพราะอารามบ้านตนมีการป้องกันไม่ดีพอ จะโทษคนอื่นไม่ได้ แต่อย่างตนนี่ถือว่าอย่างไรกัน อีกฝ่ายมาปล้นอย่างโจ๋งครึ่ม บังคับช่วงชิงเอาไป ตนยังต้องช่วยเปิดประตูให้อีกหรือ?
ห้องแห่งหนึ่งถูกหลิวจื้อเม่านำมาทำเป็นห้องหนังสือ ด้านในตกแต่งอย่างเรียบง่าย พอๆ กับคราวก่อนที่เฉินผิงอันมาเยือนที่แห่งนี้ สภาพยังคงเดิม มีโต๊ะหนึ่งตัว กระบอกใส่พู่กันไม่ไผ่เหลืองที่เป็นของเก่าในวังหลวงหนึ่งชิ้น พู่กันจีจวี้ต้าเฉวียนที่เอาไว้ใช้คัดคัมภีร์ ชั้นวางหนังสือที่วางเรียงติดผนัง ตรงมุมมีโต๊ะน้ำชาวางต้นชางผูกระถางเล็กไว้ใบหนึ่ง
สิ่งเดียวที่แตกต่างคงจะเป็นบนชั้นวางหนังสือที่หนังสือหายไปหลายเล่ม และในห้องก็มีเก้าอี้ใหม่เอี่ยมเพิ่มมาสองตัว
เฉินผิงอันเหลือบมองกระบอกใส่พู่กัน พู่กันคัดคัมภีร์สามด้ามที่เห็นคราวก่อนยังอยู่ครบ หากจำไม่ผิดสองด้ามในนั้นแบ่งออกเป็นแกะสลักคำว่า ‘เงียบสงบ’ กับ ‘สะอาดบริสุทธิ์’ ด้ามที่หาได้ยากที่สุดยังคงเป็นพู่กันฉางเฟิงที่แกะสลักคำว่า ‘เรื่องอันตรายรายล้อม ความสามารถครองใต้หล้า’
คัมภีร์หวงถิงที่สืบทอดอย่างมีระบบระเบียบ มีตราประทับและการลงชื่อไว้นับไม่ถ้วนเล่มนั้นก็ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ ดีมาก แค่มองก็รู้ว่านักพรตหลงโจวคือคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน
ชุยตงซานพูดคุยเรื่องการค้าหนึ่งกับราชวงศ์ต้าเฉวียนสำเร็จแล้ว สำนักเบื้องล่างจะรับซื้อพู่กันจีจวี้ที่ทางการเป็นผู้ผลิตไว้เป็นจำนวนมาก เรือเฟิงยวนสามารถช่วยนำไปขายทางไกลให้กับสองทวีปที่อยู่ทางเหนือของใบถงทวีปได้
หลังจากเฉินผิงอันได้ยินเรื่องนี้ก็รีบช่วยลูกศิษย์และสำนักเบื้องล่างตรวจสอบหาช่องโหว่ทันใด บอกว่าทางการเป็นผู้ผลิตอะไรกัน ไม่เหมาะสม ต้องบอกว่าเป็นของที่เชื้อพระวงศ์ใช้ซึ่งผลิตจากวังหลวงต่างหาก
ตอนนั้นทุกคนที่อยู่บนภูเขาเซียนตูต่างพากันเงียบงัน
ขนาดเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็ยังไม่ได้เปิดปากพูด
หลิวเม่าจุดตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ แสงสว่างสลัวราง โชคดีที่หน้าต่างปิดสนิทจึงไม่มีลมทำให้เปลวไฟส่ายไหว
ห้องหนังสือไม่ใหญ่ ไม่เหมาะไว้ใช้รับรองแขก แล้วนับประสาอะไรกับที่ในห้องมีเก้าอี้อยู่แค่สองตัว เฉินผิงอันจึงให้พวกเสี่ยวโม่รออยู่ข้างนอก
เฉินผิงอันเอาสองมือไพล่หลัง มองภาพอักษรบนผนัง พยักหน้าเอ่ยชื่นชม “ฝีพู่กันนี้ของเจ้าอารามไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการแต้มนัยน์ตามังกร ทำให้ห้องมอซอสว่างไสวงดงามขึ้นมาได้”
ที่แท้คัมภีร์หน้าหนึ่งก็ถูกหลิวเม่าใช้ไม้ถานมู่อัดเข้ากรอบแล้วนำไปแขวนไว้บนผนัง เพียงแต่ว่าเนื้อหาของคัมภีร์หวงถิงบทเดียวกลับมีลายมือสองแบบ
ตัวอักษรสิบหกตัวท้ายก็คือประโยค ‘แยกทางแบ่งร่าง จำแลงกายตามอำเภอใจ บนเสริมคนที่แท้จริง ฟ้าดินร่วมก่อเกิด’ ที่เฉินผิงอันเคยเขียนเสริมไปเมื่อคราวก่อน
หลิวเม่านั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ เฉินผิงอันย้ายเก้าอี้ที่เหลือเพียงตัวเดียวมานั่งลงตรงข้ามโต๊ะหนังสือ ยกขานั่งไขว่ห้าง หยิบกระบอกยาสูบที่ทำจากไม้ไผ่ออกมา ถุงยาสูบหนึ่งใบ เคาะกระบอกยาสูบกับโต๊ะ ยิ้มถามว่า “ไม่ถือสากระมัง?”
หลิวจื้อเม่าส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เชิญเซียนกระบี่เฉินตามสบาย”
ในใจแอบตกตะลึง ชอบของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงวางกระบอกยาสูบและถุงยาสูบลงบนโต๊ะ หมุนตัวเดินไปที่ชั้นหนังสือ หยิบหนังสือสองสามเล่มออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้ววางไว้บนชั้นหนังสือตรงหน้า โบกมือง่ายๆ สองสามที ก็คือ ‘คัมภีร์คำนวณเกาะกลางทะเล’ ‘วิชาคำนวณซี่ฉ่าว’ ฯลฯ หลังจากนำของกลับมาคืนเจ้าของ เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “เห็นชัดเจนแล้วหรือยัง ก่อนหน้านี้ยืมหนังสือไปจากเจ้า ทั้งหมดหกเล่ม บอกว่าจะต้องเอามาคืน แล้วจะไม่คืนได้อย่างไร”
หนังสือหกเล่มนี้ล้วนเป็นตำราของสำนักคำนวณ เพราะถึงอย่างไรอดีตองค์ชายสามของราชวงศ์ต้าเฉวียนท่านนี้ก็ยังเคยรับหน้าที่เป็นขุนนางจ่งไฉ (ขุนนางหลักที่ดูแลการเรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์ของส่วนกลาง) ที่อยู่เบื้องหลัง ช่วยเรียบเรียง ‘จารึกภูมิศาสตร์หยวนเจินสิบสองปี’ ที่มีมากถึงสี่ร้อยฉบับให้กับทางราชสำนัก
ตามคำกล่าวของหลิวเม่าครั้งก่อน ตำราเล่มนั้น ไม่เลว จะแย่งก็เชิญแย่งเอาไปเลย
พวกคนที่ชอบเก็บสะสมตำราของล่างภูเขาต่างก็มีความชอบเช่นนี้ ยืมหนังสือเหมือนยืมภรรยา มอบหนังสือเหมือนมอบอนุภรรยา
หลิวเม่าเหลือบมองชั้นวางหนังสือ อดทนข่มกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืน อ้อมโต๊ะหนังสือเดินเร็วๆ ไปทางชั้นวาง คิดว่าจะเอาตำราคำนวณเหล่านั้นออกมาจัดวางไว้ในตำแหน่งเดิม ต้องไม่ให้คลาดเคลื่อนเลยสักเสี้ยว มิเช่นนั้นหลิวเม่าจะรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ หากจะบอกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
พอตำรา ‘คณิตเก้าบท’ เข้ามาอยู่ในมือ หลิวเม่าก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ พอเหลือบตามอง จริงดังคาด! หลิวเม่ารีบเอาหนังสืออีกห้าเล่มที่เหลือออกมา เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด ตำราพวกนี้พิมพ์อย่างหยาบๆ ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าเป็นฉบับชาวบ้านที่ร้านหนังสือส่วนตัวจัดพิมพ์กันขึ้นเอง ห่างชั้นจากตำราหกเล่มที่เขาเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีหนึ่งแสนแปดพันลี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สำหรับนักสะสมแล้ว นี่ไม่ถือว่าเป็นการประเมินราคาสูงต่ำอะไรด้วยซ้ำ หลิวเม่าโกรธจนหน้าเขียวคล้ำน้อยๆ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่เอาหนังสือพวกนั้นส่งคืนให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันผลักมือของหลิวเม่าออกเบาๆ พูดบ่นว่า “มียืมมีคืน ยืมอีกย่อมไม่ยาก แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเราสองคนเป็นสหายเก่าที่รู้จักกันมาตั้งนานหลายปีแล้ว จะเกรงใจกันไปไย เอาไปๆ!”
หลิวเม่ายืนกรานเป็นพิเศษ เอาไปกับมารดาเจ้าเซียนกระบี่เฉินเถอะ เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษาอะไรทั้งนั้น หากไม่เป็นเพราะสองฝ่ายขอบเขตห่างกันมากเกิน หลิวเม่าก็คงจะลงมือตีคนแล้ว อย่างน้อยก็ต้องออกปากไล่แขกแล้ว
ตำราที่เขารักพวกนั้นก็เหมือนสาวงามที่โฉมสะคราญดุจบุปผาดุจหยก เจ้ามาลักพาตัวเอาไปก็ยังพอทำเนา แต่กลับคิดจะเอาสตรีแก่หน้าเหลืองหลายคนมอบกลับคืนมาให้ แล้วยังจะทำหน้าหนาบอกกับข้าว่าพวกเราหายกันแล้ว?
เฉินผิงอันจึงวางหนังสือพวกนั้นลงบนโต๊ะ จากนั้นหยิบด้ามไม้ท่อนหนึ่งออกมา กวักมือเอ่ย “คราวก่อนทำหลุดมือ คราวนี้เอามาชดเชยให้”
ก่อนจะมาที่นี่ เพื่อตามหาร่องรอยของเฝ่ยหราน เฉินผิงอันจึงบดขยี้ด้ามไม้ของแส้ปัดฝุ่นธรรมดาชิ้นหนึ่งที่หลิวเม่าชื่นชอบจนปริแตก
คราวนี้หลิวเม่าไม่ปฏิเสธ