กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 896.1 คืนนี้สดชื่น
แสงอาทิตย์พลันสาดส่องลงบนภูเขา แสงจันทร์ค่อยๆ ลอยขึ้นสูง
บนโลกมนุษย์ร่วมกันจุดตะเกียงบนฟ้า
แม่น้ำที่ไหลคดเคี้ยวลงสู่มหาสมุทรเส้นหนึ่ง ปราณน้ำเข้มข้น เลียบช่วงลำคลองมีท่าเรือน้อยใหญ่สิบหกแห่งกระจายกันไปเพื่อให้เรือข้ามฟากบนภูเขามาจอดเทียบท่า การค้าเจริญรุ่งเรือง บริเวณโดยรอบท่าเรือทุกแห่งล้วนมีเมืองเล็กที่สร้างขึ้นติดกับน้ำ มีขนาดใหญ่เท่าอำเภอไหวหวง พอถึงยามค่ำคืนแสงไฟก็สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน สองฟากฝั่งมีศูนย์ฝึกยุทธตั้งเรียงราย ก่อตั้งเป็นพรรคในยุทธภพมากมาย ต่อให้จะปรากฏอยู่ในสายตาของตี้ซือที่ตรวจสอบสภาพภูมิศาสตร์ซึ่งแค่พอจะมีความรู้เบื้องต้น ก็ยังมองออกว่าภาพบรรยากาศโชคชะตาบู๊ของที่แห่งนี้ยิ่งใหญ่อย่างมาก เป็นหนึ่งในทวีป
อู๋ซูเดินทางไกลไปเยือนทวีปอื่นยี่สิบกว่าปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังเดินทางไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วย บวกกับอริยะบู๊ท่านนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องการรับลูกศิษย์ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรับลูกศิษย์เปิดภูเขามาแค่คนเดียว เป็นเหตุให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของใบถงทวีปเหลือเพียงเย่อวิ๋นอวิ๋นคนเดียวเท่านั้น นี่จึงทำให้ทุกวันนี้ภูเขาผูซานมีคำเรียกขานอย่างไพเราะซึ่งได้รับการประเมินไว้สูงอย่างมาก
‘วิชาหมัดในหนึ่งทวีป มีเพียงที่ผูซาน’
และเรือนอวิ๋นฉ่าวของภูเขาผูซานนั้นก็คู่ควรกับคำเรียกขานที่ไพเราะนี้จริงๆ ในวันเริ่มต้นฤดูร้อนและเริ่มต้นฤดูหนาว สองวันนี้ของทุกปีผูซานจะต้องทำการสอนหมัดตามกฎบรรพบุรุษ นอกจากกระบวนท่าหมัดวิชาลับของเรือนอวิ๋นฉ่าวที่จะไม่สอนแล้ว วิชาอื่นๆ ล้วนไม่มีเก็บซ่อนเอาไว้ ยินดีที่จะทุ่มเทสอนให้กับผู้ฝึกยุทธจากแต่ละฝ่ายที่มาเรียนวิชาหมัดที่นี่อย่างหมดหน้าตัก ขณะเดียวกันผู้ฝึกยุทธของผูซานทุกคนที่ลงไปจากภูเขาก็จะจัดการประลองยุทธสามครั้งเพื่อประลองวิชาด้านการต่อสู้ หรือไม่ก็ช่วยป้อนหมัดให้กับผู้อื่น หากมีคนต่างถิ่นที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันเอาชนะได้ก็จะได้รับเสียงไชโยโห่ร้องกึกก้อง ถูกเชื้อเชิญให้ไปเป็นแขกที่เรือนอวิ๋นฉ่าว ถูกเรียกขานว่าแขกผู้มีเกียรติ
ดูเหมือนว่าดวงจันทร์บนฟ้าจะเอ็นดูประกายน้ำของที่แห่งนี้มากเป็นพิเศษ บนพื้นผิวของลำคลองจึงเต็มไปด้วยแสงจันทร์ทอประกาย ประหนึ่งทางช้างเผือกที่อยู่บนโลกมนุษย์ สีสันของราตรีสงบผ่อนคลาย ลมแม่น้ำพัดโชยมาเบาๆ ทัศนียภาพงดงามทำให้คนมองจิตใจปลอดโปร่งโล่งเบา
เรือหอเรือนท่องเที่ยวลำหนึ่งล่องมาตามกระแสน้ำ ด้านบนมีหอเรือนแค่สองชั้น เตี้ยกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง ขอแค่มีเรือท่องเที่ยวลำอื่นลอยสวนผ่านไปก็มักจะต้องตกอยู่ในสภาพการณ์ที่คนอื่นก้มหน้ามองข้า ข้าแหงนหน้ามองคนอื่นเสมอ
ร้านน้ำชาเปิดโล่งแห่งหนึ่งบนชั้นสอง เฉินผิงอันสั่งชาบนภูเขามาสองกาจากฉาเหนียง (สตรีที่คอยรับหน้าที่ชงชา ขายชา ยกชามาเสิร์ฟ) กาหนึ่งคือชาเมฆหมอกและอีกกาหนึ่งคือชาสุ่ยเซียนเก่าแก่ นางจึงมอบขนมและผลไม้บางส่วนมาให้เปล่าๆ
เมื่อครู่นี้ฉาเหนียงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแนะนำชาสุ่ยเซียนนี้ บอกว่าคือชาเหยียนฉาที่มีชื่อเสียงชนิดหนึ่งบนภูเขาเซียนแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ยากมากที่จะได้มาครอง ต้นชาร้อยปีเรียกว่าสูง พันปีถึงจะเรียกว่าเก่าแก่ ดังนั้นราคาแพงจึงมีเหตุผลที่มันแพง หากลูกค้ารู้สึกว่ารสชาติธรรมดา ขอแค่มีคำติว่าไม่ดี ทางเรือหอเรือนก็สามารถลดราคาให้ได้
ดูจากท่าทางของนาง หากไม่สั่งชาสุ่ยเซียนเก่าแก่นี้ก็คงจะไม่มอบขนมและผลไม้ให้แล้ว เฉินผิงอันคลี่ยิ้มบางๆ เป็นเวรกรรมที่ต่งครึ่งเมืองคนร่วมบ้านเกิดผู้นั้นสร้างขึ้นอีกแล้ว
น้ำพุ ใบชา เหล้าหมักตระกูลเซียน อุปกรณ์ในการชงชาหรือดื่มเหล้า ขอแค่เป็นของที่เพิ่งมีชื่อเสียงได้แค่ไม่กี่ปีอยู่ในแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งของดีราคาไม่ต่ำ คาดว่าจำนวนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งต้องมีความเกี่ยวข้องกับต่งสุ่ยจิ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
ชาแน่นอนว่าเป็นชาดี ในตำราบันทึกการท่องเที่ยวที่ยังไม่จัดพิมพ์ของสวีหย่วนเสียเล่มนั้นก็เคยบันทึกชาสุ่ยเซียนเก่าแก่นี้ไว้โดยเฉพาะ ปัญหาคือปีนั้นขนาดพี่ใหญ่สวียังได้ดื่มสุ่ยเซียนเก่าแก่นี้ ราคาของใบชาในท้องถิ่นสูงหรือต่ำ แค่คิดก็พอจะรู้ได้
ผลคือเพียงแค่ติดตามเรือข้ามฟากเคลื่อนย้ายสถานที่มา นำมาขายที่นี่ หนึ่งการาคาตั้งสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ต่อให้หน้าหนากล้าพูดว่ารสชาติน้ำชาธรรมดาจริงๆ เรือหอเรือนแห่งนี้ช่วยลดราคาให้ก็ยังต้องจ่ายหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ในด้านการทำการค้า ต่งสุ่ยจิ่งที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมต้องมีจุดเริ่มต้นที่ขอบเขตบินทะยาน
เฉินผิงอันหยิบยานั่งลืมตนเม็ดสุดท้ายของตำหนักพยัคฆ์เขียวออกมาจากชายแขนเสื้อ กลืนไปพร้อมกับน้ำชา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาของตำหนักพยัคฆ์เขียวต่อจากนี้ต้องมีเม็ดชุดขนนกอีกสองเตาส่งไปถึงภูเขาเซียนตูอย่างรวดเร็วแน่นอน
ด้วยนิสัยการอยู่ร่วมกับผู้อื่นของเทพเซียนผู้เฒ่าลู่ ไม่พูดถึงตัวของเฉินผิงอันเอง แม้แต่สำนักเบื้องล่าง ในอนาคตอีกหลายร้อยปีก็ไม่ต้องกลุ้มแล้วว่ายานั่งลืมตนจะมีไม่พอใช้
หากใช้คำพูดของเทพเซียนผู้เฒ่าก็คือของดีของบ้านตัวเอง แน่นอนว่าต้องมอบให้คนกันเองก่อน
ไม่เป็นไร ภูเขาลั่วพั่วและยอดเขาชิงผิงย่อมต้องตอบแทนให้แน่นอน ในอนาคตปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำของในอาณาเขตภูเขาชิงจิ้ง มีแต่จะเปี่ยมล้นยิ่งกว่าช่วงที่ปราณวิญญาณของตำหนักพยัคฆ์เขียวโชติช่วงที่สุด
ผ่านท่าเรืออีกสามแห่ง และยังเหลือระยะทางน้ำอีกประมาณสองร้อยลี้ก็จะไปถึงหน้าประตูภูเขาของเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานแล้ว
เผยเฉียนถาม “อาจารย์พ่อ เรื่องที่ผู้ฝึกยุทธของเรือนอวิ๋นฉ่าวลงจากภูเขาไปช่วยสอนหมัดให้คนอื่น ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราสามารถเรียนรู้เอาอย่างได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้องเรียนรู้ได้แน่นอน”
เฉาฉิงหล่างกล่าว “เงื่อนไขก็คือขนบธรรมเนียมประจำตระกูลต้องดีมาก กลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธบนภูเขามากเพียงพอ อีกทั้งยามที่คบค้าสมาคมกับคนอื่นล่างภูเขา ต้องไม่พูดจาตามแต่ใจมากเกินไป จะว่าอย่างไรดีล่ะ หมัดทั้งอยู่บนเวทีประลอง แต่หมัดก็อยู่นอกหมัดเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นทั้งๆ ที่สอนหมัดอย่างจริงจัง ป้อนหมัดอย่างระมัดระวัง แต่กลับเพราะพูดแค่ประโยคสองประโยคผิดไป ทำให้คนเข้าใจผิด ย่อมเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ไม่เพียงแต่ทำลายชื่อเสียง ยังก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด สร้างศัตรูไว้ทั่วทุกหนแห่ง ใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบปีก็จะถูกโดดเดี่ยวอยู่ในยุทธภพ ถึงเวลานั้นทั้งๆ ที่พวกเราหวังดี แต่กลับต้องเจอถ้อยคำเลวร้าย ไม่ว่าใครก็มิอาจทนรับได้ ไปๆ มาๆ ด้านหนึ่งรังเกียจว่าอีกฝ่ายไร้คุณธรรม อีกด้านรู้สึกว่าอีกฝ่ายใช้อำนาจรังแกคนอื่น สองฝ่ายจึงกลายเป็นเกลียดแค้นกันเอง”
เผยเฉียนกล่าว “ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของพวกเราก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
เฉาฉิงหล่างยิ้มเอ่ย “ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ตาม หากมีการเตรียมการมาก่อนย่อมสำเร็จได้ แต่หากไม่เตรียมการจะล้มเหลว”
เฉินผิงอันดื่มน้ำชาหนึ่งอึก พยักหน้ายิ้มกล่าว “พูดได้ดีกันทั้งคู่”
นี่เรียกว่ากวนน้ำให้ขุ่นเสียที่ไหน ลูกศิษย์เปิดขุนเขากับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ ต่างก็ดีกันทั้งคู่เลยนี่นา
ลมแม่น้ำโชยมาแผ่วๆ ประกายแสงระยิบระยับ พอเข้าช่วงหน้าหนาว ต่อให้อยู่บนเรือหอเรือน นักท่องเที่ยวก็ไม่รู้สึกหนาว
นี่ก็ต้องยกคุณความชอบให้กับรากภูเขาที่หนาแน่นมากพอของภูเขาผูซานแล้ว เป็นเหตุให้ขุนเขาสายน้ำรอบด้าน ต่อให้จะอยู่ในช่วงหิมะละลายก็ยังมีอากาศอบอุ่น คล้ายกับกระถางไฟธรรมชาติ
สกุลเย่ของเรือนอวิ๋นฉ่าวเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่บนภูเขายังคงให้การยอมรับ ได้ครอบครองโฉนดที่ดินมากมาย แม้แต่มหาบรรพตของแคว้นเล็กสองแห่ง บวกกับทะเลสาบใหญ่อีกสองแห่ง อันที่จริงต่างก็เป็นอสังหาส่วนตัวของผูซาน
คนทั้งสี่นั่งล้อมโต๊ะน้ำชาอยู่ด้วยกัน เฉินผิงอันนั่งไขว่ห้าง ควักกระบอกยาสูบออกมา เป็นแค่วัสดุไม้ไผ่เขียวธรรมดาในภูเขาเท่านั้น ตรงปากที่ใช้สูบทำมาจากหินหยกขาวในลำคลองหลงซวีซึ่งเอามาแกะสลัก เส้นยาสูบสีเหลืองทองหนึ่งถุงถูกเฉินผิงอันขยำเป็นก้อนเล็กๆ
เอาอย่างตอนที่หยางเหล่าโถวสูบยา ก็มีแค่สถานการณ์สองอย่างเท่านั้น หากไม่จำเป็นต้องตั้งใจคิดเรื่องบางอย่าง คิดเรื่องน่ากังวลทั้งใกล้และไกลไปพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นก็เหมือนอย่างตอนนี้ วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร จึงไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น
เสี่ยวโม่เห็นว่ามีแสงสว่างจากดวงจันทร์จึงดื่มชาพลางเปิดอ่านนิยายที่เขียนบรรยายถึงเรื่องลี้ลับซับซ้อนโดยเฉพาะ หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องเล่าของแม่น้ำเพ่ยเจียงสายนี้
เนื่องจากบนเส้นทางน้ำหลักของแม่น้ำเพ่ยเจียง ตรงต้นน้ำและปลายน้ำสองแห่งต่างก็สร้างศาลเทพวารีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเอาไว้ แบ่งออกเป็นตั้งบูชาตงไห่ฟู่และชิงหงจวิน จุดที่น่าประหลาดใจมากที่สุดก็คือในศาลที่แตกต่างกัน ชาวบ้านในท้องถิ่นกลับบูชาเทพวารีสององค์ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเจ้าพ่อและเจ้าแม่แห่งผืนดินของศาลเทพแห่งผืนดินบางแห่ง ตามคำกล่าวในตำรา เหนียงเนียงเทพวารีที่ศาลสร้างไว้ตรงต้นน้ำของแม่น้ำเพ่ยเจียง ชาติก่อนคือมังกรสาวตงไห่ท่านหนึ่ง นับแต่เด็กมาก็ชอบบทประพันธ์ แต่เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์น้ำสายของเจียวหลง เกิดมาจึงไม่อาจ ‘แบกรับตัวอักษร’ เอาไว้ได้ ดังนั้นนางจึงมักจะนำพาพวกนางกำนัลของวังมังกรแปลงร่างกลายเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ในโลกมนุษย์ โดยสารเรือลอดผ่านมหาสมุทรไปยังแม่น้ำเพ่ยเจียงด้วยกัน ให้บัณฑิตที่พักอยู่ตรงท่าเรือช่วยคัดลอกเนื้อหน้าในตำราให้ แล้วนำไปเก็บไว้ในหอหนังสือส่วนตัวของวังมังกร เพื่อที่จะได้เอาไว้โอ้อวดกับคนวัยเดียวกัน คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ซานจวินพสุธาท่านหนึ่งเกิดหลงใหลในความงาม ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาซึ่งมีชิงหงสุ่ยจวินเป็นผู้นำขบวนพาคนไปดักรอตรงทางเข้ามหาสมุทร พลิกคลื่นโถมทับเรือมังกรลำนั้น หลังจากที่ซานจวินทำสำเร็จก็นำนางไปเลี้ยงดูอย่างลับๆ กักขังมังกรสาวไว้ในอาณาเขตต้นน้ำของแม่น้ำเพ่ยเจียง ช่วยสร้างคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่งให้กับนาง เนื่องจากทุกครั้งที่มังกรสาวร้องไห้คร่ำครวญจะทำให้แม่น้ำเพ่ยเจียงเกิดอุทกภัย ทุกๆ สิบปีซานจวินจึงจำต้องอนุญาตให้นางได้ออกมามองทะเลอยู่ไกลๆ ที่ศาลซึ่งตั้งอยู่ตรงทางเข้ามหาสมุทร เพื่อคลายความคิดถึงที่มีต่อบ้านเกิด…
เสี่ยวโม่ยกถ้วยดื่มชาเมฆหมอกที่มีเฉพาะที่ผูซานและแม่น้ำเพ่ยเจียง เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เจ้าซานจวินผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งนัก ละโมบในความงาม ใช้ทรัพยากรสาธารณะในทางที่ผิด มังกรสาวผู้น่าสงสาร ได้แต่คิดถึงบ้านเกิดอย่างตรอมตรมมิอาจกลับบ้านได้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่ เจ้าสามารถไปเที่ยวเยือนศาลชิงหงที่ตั้งอยู่ปากทางเข้ามหาสมุทรเพียงลำพังได้ ถึงอย่างไรก็เป็นระยะทางทางน้ำแค่เจ็ดแปดร้อยลี้เท่านั้น พริบตาเดียวก็ไปถึงแล้ว ความจริงเป็นอย่างไร เมื่อได้เจอคนในเหตุการณ์ทั้งสองคนพร้อมกัน แค่ถามต่อหน้าก็รู้ได้แล้ว”
เสี่ยวโม่กล่าว “รอให้คุณชายคุยธุระกับทางภูเขาผูซานเสร็จเสียก่อน เสี่ยวโม่ค่อยดูว่าจะมีโอกาสไปเยือนศาลชิงหงหรือไม่”
เผยเฉียนเอ่ย “ไม่เหมือนกับนิยายเรื่องเล่าประหลาดล่างภูเขาของอาจารย์เสี่ยวโม่ อันที่จริงบนภูเขายังมีตำนานฉบับที่แตกต่างกันอยู่ด้วย บอกว่าตอนนั้นเพื่อหนีการแต่งงาน เป็นมังกรสาวที่ไม่ยินดีจะออกไปจากแม่น้ำเพ่ยเจียงเอง เนื่องจากมีใจให้กับชิงหงจวินมาตั้งนานแล้ว จึงขอให้ซานจวินร่วมแสดงละคร ซานจวินสงสารคู่ยวนยางที่ชะตารันทดอย่างพวกเขา เพียงแต่ว่าตัวเองเป็นถึงซานจวินของมหาบรรพตจึงไม่สะดวกที่จะแตกหักกับกองกำลังของวังมังกร บวกกับที่ชิงหงจวินซึ่งเป็นลูกน้องใต้อาณัติมีระดับร่างทองของเทวรูปไม่สูงมากพอ ไม่คู่ควรกับมังกรสาวที่สถานะสูงศักดิ์ วังมังกรมีอำนาจมาก ทั้งยังให้ความสำคัญกับระบบสายเลือด จึงไม่มีทางยอมให้เกิดการแต่งงานนี้ขึ้นเด็ดขาด ซานจวินจึงได้แต่กลายเป็นคนเลวถูกผู้คนก่นด่า”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้า “คำกล่าวนี้น่าเชื่อถือมากกว่า”
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งในฉับพลัน “หากกล่าวเช่นนี้ ซานจวินท่านนี้ก็น่าเคารพอย่างมาก แล้วก็ควรต้องแสดงความยินดีกับมังกรสาวและชิงหงจวิน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันทางนิตินัย เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าอยู่ห่างกันเพียงเอื้อมมือ ทว่ากลับเหมือนมีแม่น้ำมหาสมุทรกางกั้นมากนัก”
เฉินผิงอันยิ้มไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่พ่นควันขโมงอย่างเนิบช้า หากหมี่ลี่น้อยอยู่ที่นี่ด้วยต้องมีเรื่องให้คุยกันยิ่งกว่านี้เป็นแน่
เรือนฉ่าวอวิ๋นผูซานที่คนทั้งกลุ่มกำลังจะไปเยี่ยมเยือน สายวรยุทธหนึ่งในนั้นคล้ายคลึงกับศาลเหลยกงของธวัลทวีป แม้ว่าชื่อเสียงจะเลื่องลือไปทั้งทวีป แต่เป็นวิชาหมัดเล็กที่ยากจะแตกกิ่งก้านสาขามาตั้งแต่แรกเริ่ม ธรณีประตูสูง เข้มงวดในการรับลูกศิษย์ คนที่เรียนหมัดคิดอยากจะเดินเข้าห้องได้อย่างแท้จริง ฝึกวิชาหมัดได้ล้ำลึกถึงแก่นก็ไม่ง่ายเลย
ควันธูปของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานค่อนข้างคล้ายคลึงกับกึ่งๆ จื่อซุนฉงหลินของลัทธิพุทธลัทธิเต๋า
เรือนอวิ๋นฉ่าวแซ่เย่มาโดยตลอดก็เหมือนกับที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแซ่เจียงมาเสมอ เนื่องจากเจ้าประมุขสกุลเย่ของภูเขาผูซานคนปัจจุบันอย่างเย่อวิ๋นอวิ๋นชอบสวมชุดสีเหลือง จึงมีฉายาว่าหวงอีอวิ๋น
ก่อนหน้านี้บนภูเขาของใบถงทวีปได้คัดเลือกคนสิบคนบนวิถีวรยุทธในประวัติศาสตร์ของหนึ่งแคว้นออกมา
คนที่มีชีวิตอยู่มีแค่สองคนเท่านั้น นอกจากอริยะบู๊อู๋ซูที่พกดาบไม้ไผ่สะพายหอกไม้แล้ว ก็เป็นเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ชอบสวมชุดสีเหลืองนั่นเอง
หนึ่งชายหนึ่งหญิง ผู้มีอิทธิพลด้านการเรียนวรยุทธสองท่าน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีบันทึกถึงการถามหมัด ราวกับว่าต้องการเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ต่างคนต่างใช้หมัดสยบพื้นที่ของครึ่งทวีปกันไป
เพียงแต่ฝ่ายแรกชอบบุกเดี่ยวไปในยุทธภพ บวกกับที่ชื่อเสียงมีทั้งดีและไม่ดี แน่นอนว่าไม่เหมือนหวงอีอวิ๋นและภูเขาผูซานที่มีผู้ติดตาม มีคนเลื่อมใสมากมายในใบถงทวีป
ในทางส่วนตัวแล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาค่อนข้างจะไม่พอใจอู๋ซู เหตุผลก็คือบุคคลอันดับหนึ่งด้านการเรียนวรยุทธท่านนี้ทั้งไม่กลับบ้าน แล้วก็ไม่สนใจจะดูแลบ้าน สงครามใหญ่เกิดขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบเขากลับดีแต่ไปสร้างชื่อเสียงไว้ที่ขุนเขาสายน้ำของทวีปอื่น ออกหมัดดุดัน สังหารเผ่าปีศาจไปนับไม่ถ้วน แต่กลับปล่อยให้ภูเขาสายน้ำของบ้านเกิดกลายเป็นซากปรักหักพังคาตาได้ลงคอ
เผยเฉียนเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์พ่อ ผู้อาวุโสเย่ทันนี้ คราวก่อนที่พบเจอกันที่หาดหวงเฮ้อ ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่คอขวดปราณโชติช่วง พื้นฐานก็ปกติ ต่อให้พอจะเลื่อนติดอันดับสิบคนได้อย่างกล้อมแกล้ม ลำดับรายชื่อก็น่าจะอยู่รั้งท้าย อย่างมากสุดก็อยู่แค่อันดับแปดหรืออันดับเก้า ไม่น่าจะอยู่สูงได้ถึงอันดับที่หก”
บนรายงานขุนเขาสายน้ำถึงกับมีเซียนซือจำนวนไม่น้อยที่เอ่ยทวงความเป็นธรรมแทนหวงอีอวิ๋น รู้สึกว่าลำดับนี้ต่ำเกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ควรอยู่หลังอู๋ซู
เผยเฉียนกลับรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้จะทำเล่นๆ กันได้อย่างไร
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากบวกกับตบะขอบเขตหยกดิบของปรมาจารย์เย่เข้าไปด้วย อยู่อันดับที่หกก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก”
แต่หากดูจากแค่ลำดับความสูงต่ำบนวิถีวรยุทธอย่างเดียวก็เป็นอย่างที่เผยเฉียนพูดจริงๆ ลำดับรายชื่อของผู้ฝึกยุทธเย่อวิ๋นอวิ๋นอยู่อันดับสุดท้ายยังหมดหวังด้วยซ้ำ
สถานการณ์แบบนี้หากพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย ก็คือคนในยุคปัจจุบันรังแกคนยุคโบราณที่มิอาจเปิดปากพูดได้อีกแล้ว
ย้อนกลับมามองอู๋ซูที่อยู่อันดับสี่ กลับไม่ได้เป็นปัญหามากนัก
และบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน ผู้มากพรสวรรค์ที่อาศัยภาพเซียนหกภาพมาริเริ่มวิชาหมัดผูซาน อันที่จริงก็อยู่แค่อันดับที่ห้าเท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางท่านนี้มีนามว่าเย่อวี้กู้ แท่นที่ตั้งบูชาและลำดับในการเซ่นไหว้อยู่ในอันดับที่สามของศาลบรรพชนสกุลเย่ ถูกตั้งบูชาให้เป็นบรรพบุรุษผู้ไม่เคลื่อนย้าย
คนผู้นี้เคยสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ภายหลังก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ทรงพลังอย่างมาก ‘เดียวดายเพียงลำพัง ร้อยยี่สิบปีหมัดสยบสามทวีป’
คำว่าสามทวีปนั้นหมายถึงใบถงทวีปอันเป็นบ้านเกิด บวกกับแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางเหนือ ส่วนแจกันสมบัติทวีปในเวลานั้นต้องบอกว่าได้แต่ถูกดึงมาให้ผสมครบจำนวนเท่านั้น
ในความเห็นของเฉินผิงอัน หากไม่ผิดไปจากที่คาด ตอนที่เย่อวี้กู้อยู่บนยอดสูงสุดของการเรียนวรยุทธ ยังไม่เลื่อนขั้นเป็นเทพมาเยือนขั้นสุดท้ายของขอบเขตปลายทาง คงจะเป็นเพราะมิอาจฝ่าคอขวดของชั้นคืนความจริงไปได้ เย่อวี้กู้เคยท่องไปทั่วใต้หล้าเพื่อแลกเปลี่ยนมาด้วยภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ของขอบเขตปราณโชติช่วง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่มากนัก ปีนั้นถึงได้จำต้องหันไปเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแทน ใช้สถานะของผู้ฝึกตนมาเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน เย่อวี้กู้ย่อมได้อายุขัยมาเพิ่มเติม ใช้วิธีขัดเกลาไปอย่างช้าๆ ค่อยๆ สร้างพื้นฐานให้กับร่างกาย หาโอกาสที่จะพัฒนาไปอีกก้าวบนเส้นทางการเรียนวรยุทธ
เพียงแต่ว่าเรื่องที่เย่อวิ๋นอวิ๋นสวมแค่ชุดสีเหลืองทำให้เฉินผิงอันอดนึกถึงเป่าผิงน้อยไม่ได้
ไม่รู้ว่าหวงอีอวิ๋นผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับยอดฝีมือคนใด หรือคำทำนายอะไร
ความคิดของเฉินผิงอันล่องลอยไปไกล สำนักกระบี่ชิงผิงบนภูเขาเซียนตูบ้านตนไม่เหมือนกับภูเขาลั่วพั่วที่เป็นสำนักเบื้องบน มีคำว่า ‘สำนักกระบี่’ เพิ่มเข้ามา แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ชุยตงซานน่าจะตั้งใจสร้างสำนักเบื้องล่างให้กลายเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าต้องมีผู้ฝึกกระบี่ นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนที่ทำให้สำนักวิถีกระบี่แห่งหนึ่งมั่นคงไม่เคลื่อนขยับยาวนานพันปี เพียงแต่ว่าผู้ฝึกลมปราณสายต่างๆ จะมีเยอะมากกว่า นี่ก็คือการแตกกิ่งก้านอย่างอุดมสมบูรณ์ที่สำนักใหญ่บนยอดเขาแห่งหนึ่งสมควรมี
ภูเขาของสำนักค่อนข้างใหญ่ที่เอาจำนวนมากเป็นที่ตั้ง คนหลายร้อยหรือถึงขั้นพันกว่าคน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาตะวันเที่ยงที่เป็นประเภทนี้ สำนักโองการเทพของแจกันสมบัติทวีป เนื่องจากได้ครอบครองพื้นที่มงคลชิงถานที่อยู่ระดับกลาง ลูกศิษย์ที่อยู่ในบันทึกทำเนียบของสำนักมีมากถึงสองพันคน และสำนักใหญ่บางแห่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เมื่อรวมเข้ากับสำนักเบื้องล่างและภูเขาใต้อาณัติแล้วสามารถมีคนมากได้ถึงหลายหมื่นคน แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นผู้ฝึกลมปราณได้ทั้งหมด แต่เป็นการนับรวมคนในครอบครัวของเซียนซือบนภูเขาและพวกสาวใช้ แม่ครัว คนทำงานจุกจิกในจวนเซียนและยอดเขาแต่ละแห่งเข้าไปด้วย
——