กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 896.2 คืนนี้สดชื่น
สามารถแบ่งออกได้คร่าวๆ เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ ฝ่ายใน ฝ่ายนอก กลายเป็นเหมือนพระราชวังแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ในเมือง นอกเมือง บวกกับภูเขาใต้อาณัติที่อยู่รอบด้าน ก็กลายเป็นอาณาเขตของเมืองหลวงแล้ว หากยังมีสำนักเบื้องล่างก็จะคล้ายคลึงกับการสร้างเมืองหลวงสำรองแห่งหนึ่งขึ้นมา
ในภูเขามีคนน้อยก็เหมือนน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด
แต่หากสำนักไม่มีมรรคกถาสูงส่งสองสามบทไว้สำหรับการสืบทอด ก็จะกลายเป็นไม้ที่ไร้ราก มิอาจรั้งตัวผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนไว้ได้ ยากที่จะมีภาพบรรยากาศอันรุ่งเรืองได้เช่นกัน
ก็เหมือนอย่างคาถาศิลาขอฝนข้างศาลเทพวารีลำคลองม่ายเหอที่เฉินผิงอันได้มาครองที่เหมาะให้เซียนดินฝึกตนมากที่สุด และใต้หล้าไพศาลก็มีภูเขาใหญ่จำนวนไม่น้อยที่มีมรรคถาหรือไม่ก็คาถาเซียนพื้นฐานที่สืบทอดจากบรรพบุรุษหนึ่งชนิดหรือถึงขั้นหลายชนิดที่สามารถช่วยให้ลูกศิษย์เปิดช่องโพรงได้โดยเร็วที่สุด หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ยังสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้โดยไว ขึ้นเขาเร็ว อีกทั้งฝีเท้ายังมั่นคง ตำราลับและเวทคาถาตระกูลเซียนประเภทนี้ถูกเรียกขานว่า ‘วิชาเปิดประตู’ และ ‘คาถานำทาง’ จะเป็นตัวตัดสินความตื้นลึกของรากฐานพรรคตระกูลเซียนแห่งหนึ่งโดยตรง สามารถดึงดูดตัวอ่อนด้านการฝึกตนจำนวนมากให้จับมือกันฝ่าทะลุขอบเขตก่อนหน้าที่จะเดินขึ้นเขา
และคาถาอย่างคาถาขอฝนก็ถือเป็นมรรคกถากึ่งกลางภูเขาประเภทหนึ่ง สามารถหลบเลี่ยงภัยแฝงที่จะทำให้สำนักแห่งหนึ่งเกิดการชักหน้าไม่ถึงหลังได้
อันที่จริงหากเฉินผิงอันคิดจะไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลจริงๆ ตรงหน้าก็มีวิธีที่เห็นผลทันตา มีทางลัดเส้นหนึ่งให้เดิน
เด็กชายผมขาวที่ตรอกฉีหลงซึ่งทุกวันนี้ยังคงเป็นแค่ ‘ลูกศิษย์นักการที่ไม่ได้รับบันทึกลงทำเนียบ’ ได้สืบทอดความทรงจำส่วนใหญ่ของอู๋ซวงเจี้ยงมา นอกจากวิชาลับบางส่วนที่ไม่ถ่ายทอดให้ใครของตำหนักสุ้ยฉูที่ต้องเก็บรักษาไว้ซึ่งถูกอู๋ซวงเจี้ยงใช้วิชาลับเฉพาะปิดผนึกความทรงจำเหมือนปิดภูเขาแล้ว บนเส้นทางของ ‘วิชาเบ็ดเตล็ด’ ก็ยังคงมากพอชวนทึ่ง เป็นเหตุให้ตัวเด็กชายผมขาวเองกลายเป็นเหมือนคลังลับของมรรคกถาครึ่งหนึ่งแห่งตำหนักสุ้ยฉู เพียงแต่เฉินผิงอันทั้งไม่ยินดีแล้วก็ไม่เหมาะที่จะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้
ถึงอย่างไร ‘คงโหว’ เทวบุตรมารนอกโลกที่ในอดีตคือเทียนหรานผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักสุ้ยฉูก็แค่มาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาลั่วพั่วหรือสำนักกระบี่ชิงผิง ล้วนมีภารกิจหนักหน่วง อนาคตควรค่าแก่การคาดหวัง
ข้างโต๊ะมีสตรีคนหนึ่งขมวดคิ้วน้อยๆ โบกมือไล่ควันขโมงให้สลายหายไป
นางอดทนกับบุรุษโต๊ะข้างๆ มานานมากแล้ว ควันลอยมาตามลมทำให้กลิ่นหอมของชาตนลดหายไปเกินครึ่ง
เพียงแต่ว่าเรื่องทำนองนี้ไม่เหมาะจะให้นางเปิดปากพูดอะไรมาก ก็เหมือนดื่มเหล้าอยู่ในเหลาสุรา หากมีใครเสียงดังเอะอะ เขาก็เสียงดังอยู่ที่โต๊ะเหล้าของตัวเองเท่านั้น
เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของสตรีคนนั้นจึงรีบเก็บกระบอกยาสูบ หันไปมองนางด้วยสายตาขออภัย
สตรียิ้มบางๆ ผงกศีรษะตอบรับ
นางทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยกถ้วยโต่วลี่ (ถ้วยปากกว้างก้นแคบ) ขึ้นถือเป็นการคาระกลับคืน
เพราะถึงอย่างไรต่างก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ออกมาท่องเที่ยวอยู่ด้านนอก คนชุดเขียวยินดียอมถอยให้เช่นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว
จากการรายงานขุนเขาสายน้ำที่มาจากทวีปอื่น หากอยู่ที่อุตรกุรุทวีป อีกฝ่ายไม่ตบโต๊ะ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘มองอะไรของเจ้า’ ก็ถือว่าเกรงใจกันมากแล้ว
ดังนั้นผู้ฝึกตนของใบถงทวีปในทุกวันนี้ ต่อให้มีคนข้ามทวีปเดินทางไกลก็จะเลือกทักษินาตยทวีปก่อน ไม่มีทางยินดีเป็นฝ่ายไปเยือนสองทวีปที่อยู่ทางเหนือแน่
คงเป็นเพราะสังเกตเห็นถึงความขี้ขลาดเหมือนหนูของคนชุดเขียว แสดงว่าต้องไม่ใช่เซียนซือทำเนียบที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนใหญ่แน่นอน
จึงมีลูกค้าโต๊ะน้ำชาอีกโต๊ะที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เป็นชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ท่าทางเปี่ยมไปด้วยพละกำลังเปิดปากถามว่า “แม่นางน้อยพูดจาวางโตไม่เบา ใครมอบคุณสมบัติให้เจ้า ถึงได้กล้าพูดจาส่งเดชถึงลำดับรายชื่อของปรมาจารย์ด้านการฝึกวรยุทธที่อยู่บนยอดเขาพวกนี้”
หากมีเงินจริงๆ ใครเล่าจะเลือกเรือเล็กผุพังลำนี้มาล่องแม่น้ำเพ่ยเจียงชมทัศนียภาพ? แต่กลุ่มของตนกลับไม่เหมือนกัน เป็นเพราะคุณชายอวี่เหวินที่มีชาติกำเนิดจากเชื้อพระวงศ์ทั้งยังฝึกตนประสบความสำเร็จต้องการมาสัมผัสกับความทุกข์ยากของชาวประชา ไม่อย่างนั้นคิดจะเรียกเรือยันต์บนภูเขาลำหนึ่งออกมาท่องแม่น้ำเพ่ยเจียงก็ยังไม่เป็นปัญหา ส่วนชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้ติดตามก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะได้ตำแหน่งปรมาจารย์มาครอบครองแล้ว บวกกับที่เขายังเป็นผู้เลื่อมใสหวงอีอวิ๋น แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางทนรับฟังคำพูดเหลวไหลจากหญิงสาวคนนั้นได้
พูดจาวางโตถึงเพียงนี้ ทำไมถึงไม่ไปถามหมัดกับหวงอีอวิ๋นสักครั้งเล่า? อย่าว่าแต่เจ้าภูเขาเย่ที่แม้แต่จะพบหน้าก็ยังยากเลย ต่อให้เป็นลูกศิษย์อย่างอาจารย์เซวียที่เป็นผู้สืบทอดของนาง หากคิดจะถามหมัดขึ้นมาจริงๆ ถึงเวลานั้นก็อย่าร้องไห้ตอนโดนต่อยเข้าล่ะ
เผยเฉียนเอ่ยอย่างเฉยเมย “การสืบทอดจากอาจารย์”
คุณชายที่รูปโฉมหล่อเหลาซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้นคล้ายจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ ในมือเขาถือพัดพับที่หุบไว้ ใช้เส้นด้ายสีทองห้อยกระบี่ไม้ท้อเล็กจิ๋วน่ารักไว้ตรงปลายด้ามพัด เขายิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางชื่อแซ่ใด อาจารย์ผู้สืบทอดคือใคร?”
เผยเฉียนตอบ “พบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพ ไม่รู้จักมักจี่ ไยต้องถามชื่อแซ่”
ชายฉกรรจ์ที่เปิดปากพูดก่อนใครทนฟังแม่นางน้อยคนหนึ่งพูดจาเป็นคนแก่มากประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จึงกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะหนักๆ เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุนว่า “ใครมอบความกล้าให้เจ้ากัน ถึงได้กล้าพูดจาเช่นนี้กับคุณชายอวี่เหวิน?”
เผยเฉียนเหล่ตามองคนผู้นั้น หัวเราะหึหึตอบว่า “หมัดและเท้า”
ชายฉกรรจ์หัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน แสร้งทำเป็นพูดอย่างกรุ่นโกรธว่า “ใครเป็นคนสอนสตรีร้ายกาจอย่างเจ้ากัน?!”
เฉินผิงอันเปิดปากยิ้มเอ่ย “ข้าเอง”
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ท่าเรือเหย่อวิ๋นบ้านตนซึ่งแค่แขวนชื่อไว้ใต้นามของภูเขาหลิงปี้ เฉินผิงอันหาข้ออ้างอย่างขอไปที บอกว่าหมายตาของชิ้นหนึ่ง เปลี่ยนใจคิดจะเอามันมาไว้ในมือ แล้วย้อนกลับไปเพียงลำพัง ร่ายร่างเมฆาวารี ไปเยือนคุกที่ภูเขาหลิงปี้ใช้ขังผู้ฝึกลมปราณ ไปพบเจอชายฉกรรจ์ที่ถึงกับกล้าคิดแต๊ะอั๋งเผยเฉียน สอนหลักการเหตุผลง่ายๆ ว่ายามออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ‘หากควบคุมดวงตาได้ไม่ดี แต่ก็ควรควบคุมมือของตัวเองให้ดี’ ให้กับอีกฝ่ายโดยไม่คิดเงิน
แล้วถือโอกาสถามประวัติความเป็นมาของคนกลุ่มนี้ให้แน่ชัด ที่แท้ก็เป็นลูกน้องขององค์ชายแคว้นต้าเซี่ยเก่าที่การกอบกู้แคว้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ที่รับคำสั่งให้ออกมาหาเงินข้างนอกอย่างพวกเขามีมากถึงยี่สิบกว่ากลุ่ม ต่างฝ่ายต่างได้รับภารกิจลับ ให้สมัครรวบรวมเซียนซือทำเนียบเก่าที่ภูเขาปริแตกซัดเซพเนจร รวมไปถึงผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาและชายฉกรรจ์ที่กลายเป็นโจร ราชสำนักบ้านตนไม่สนใจชาติกำเนิดของพวกเขาแม้แต่น้อย วีรบุรุษไม่ต้องสอบถามถึงที่มา ขอแค่ยินดีตอบตกลง เดินทางมาเยือน ‘เมืองหลวง’ รอบหนึ่งแล้วลงเอกสารอยู่ในบันทึกของกรมพิธีการกับกรมคลัง ก็สามารถเดินขึ้นฟ้าได้ด้วยก้าวเดียว กลายมาเป็นนายท่านผู้ถวายงานของราชวงศ์ต้าเซี่ย กินอาหารของเชื้อพระวงศ์ มีตำแหน่งขุนนาง ได้เสวยสุข
คงเป็นเพราะเซียนซือที่ลงจากภูเขาเดินทางมาท่องเที่ยวกลุ่มนั้นไม่เคยเห็นใครพูดคุยกับคนอื่นเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่ารู้สึกน่าสนใจ ไม่เหลือไฟโทสะอีกแล้ว
ผู้คนรอบด้านมีคนอดไม่ไหวหลุดเสียงหัวเราะออกมา
สองคนในนั้นคือสตรีที่นั่งกันอยู่คนละโต๊ะ ดวงตาของพวกนางคลอประกายฉ่ำน้ำแฝงไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึก หันมามองคนคนเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
คนที่พวกนางลอบมองก็คือเฉาฉิงหล่าง
ช่างเป็นบุรุษที่รูปงามยิ่งนัก สุภาพอ่อนโยน ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรา
ส่วนบุรุษอีกสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน รูปโฉมก็ไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษที่สวมชุดกว้าสีเขียวตัวยาว ปักปิ่นบนมวยผม…น่าเสียดายที่อายุมากไปสักหน่อย
คุณชายที่มีแซ่ว่าอวี่เหวินกำพัดพับไว้ในมือ ก่อนจะใช้สองมือกุมหมัด ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้อยคำที่เอ่ยโดยไร้เจตนา ขออย่าได้ถือสา”
เฉินผิงอันชูถ้วยชาให้กับโต๊ะนั้น แสดงให้รู้ว่าไม่เป็นไร
เรือท่องเที่ยวขยับเข้าใกล้ท่าเรือแห่งหนึ่ง
ในเมื่อหมัดอยู่ที่ผูซาน ถ้าเช่นนั้นผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นที่อยากจะให้หมัดมีชื่อเสียง แน่นอนว่าก็ต้องมาที่ผูซานเท่านั้น
ด้านข้างท่าเรือแห่งนั้นมีเวทีประลองที่สร้างติดน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ใช้ก้อนหินบนภูเขาสองสีขาวดำปูพื้นเป็นภาพปลาหยินหยาง มองดูแล้วแข็งแกร่งทนทานอย่างยิ่ง
พอดีกับที่มียอดฝีมือในยุทธภพสองคนที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง คู่ควรกับคำเรียกขานว่าปรมาจารย์แล้ว ทั้งสองฝ่ายนัดหมายว่าจะมาประลองฝีมือหมัดเท้ากันที่นี่คืนนี้
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนคนหนึ่งฝีมือสู้คนอื่นเขาไม่ได้ จึงถูกผู้เฒ่าใช้สองหมัดต่างค้อนทุบลงตรงหน้าอกอย่างแรง บังเอิญยิ่งนัก บุรุษที่ร่างปลิวกระเด็นออกไป แผ่นหลังไปกระแทกลงบนเรือที่ประดับประดาด้วยสีสันหลากหลายลำหนึ่งโดยตรง พายุหมัดของผู้เฒ่าหนักหน่วงอย่างมาก พละกำลังรุนแรง บุรุษมิอาจลดทอนขุมกำลังที่จู่โจมทั้งหมดได้ เรือหอเรือนลำนั้นจึงถูกกระแทกจนลอยพ้นผิวน้ำในเสี้ยววินาที กลิ้งตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบ นักท่องเที่ยวที่อยู่บนเรือตกลงไปในน้ำประหนึ่งเกี๊ยวที่ถูกโยนลงหม้อ
ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์พ่อเปิดปากพูด ที่โต๊ะก็ไม่เห็นร่างเผยเฉียนแล้ว นางใช้มือข้างเดียวยันเรือใหญ่ที่เอียงโน้มใกล้จะพลิกคว่ำลงน้ำลำนั้นเอาไว้ ผลักเบาๆ มันก็ถูกวางกลับลงบนผิวแม่น้ำได้อย่างมั่นคง
คนที่ตกลงไปในน้ำของแม่น้ำเพ่ยเจียงก็ถูกพายุหมัดหลายเส้นชักดึงขึ้นมา ไก่ตกน้ำทั้งหลายเหมือนถูกคนหิ้วคอเสื้อพากลับขึ้นมาบนเรือ
เผยเฉียนใช้ฝ่ามือกดลงอีกที สลายคลื่นยักษ์ถาโถมที่ถูกปณิธานหมัดห่อหุ้มทิ้งไป ไม่ให้มันลามมากระทบเรือท่องเที่ยวลำนี้ของตน
กลับมาที่เรือท่องเที่ยว ก่อนจะนั่งลงเห็นว่าผู้ฝึกยุทธสองคนนั้น คนหนึ่งยืนเหยียบอยู่บนผิวน้ำ อีกคนหนึ่งอยู่ที่เวทีประลองริมฝั่ง กุมหมัดขอบคุณตนมาไกลๆ ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนที่เหยียบอยู่บนผิวน้ำมีสีหน้าซื่อสัตย์จริงใจ เปิดปากเชื้อเชิญให้เผยเฉียนขึ้นฝั่งมาพูดคุยกัน เผยเฉียนกลับแค่กุมหมัดให้เท่านั้น ถือเป็นการปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมแล้ว
เซียนซือทำเนียบกลุ่มนั้นเริ่มนั่งไม่ติด โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ที่เคย ‘คุยเล่น’ กับเผยเฉียน กระทั่งบัดนี้ถึงเพิ่งจะเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าอะไรคือการสืบทอดจากอาจารย์ อะไรคือหมัดเท้า และอะไรคือพบเจอกันเพียงผิวเผินไม่ต้องถามชื่อแซ่
แม่นางน้อยผู้นี้ถึงกับเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง?!
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยกับเซียนซือโต๊ะนั้นว่า “แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
คุณชายแซ่อวี่เหวินคนนั้นทั้งรู้สึกอับอาย ทั้งรู้สึกโล่งใจ
พูดถึงแค่สตรีสองคนที่เดิมทีแค่เห็นก็ชื่นชอบในตัวเฉาฉิงหล่าง คราวนี้พอหันมามองบุรุษชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกคนนั้นก็ดูเหมือนว่าอายุจะไม่ถือว่ามากเท่าไรแล้ว
น่าเสียดายที่ในอาณาเขตของภูเขาผูซานห้ามเซียนซือคนใดเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเด็ดขาด
และลูกศิษย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานเมื่อฝึกตนอยู่ในภูเขาก็ต้องมีสมาธิมุ่งมั่นไม่วอกแวก จึงมีการสั่งห้ามเผยแพร่รายงานขุนเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายด้วย
ดังนั้นสำหรับลูกศิษย์ผูซานแล้ว การที่ศาลบุ๋นสั่งห้ามรายงานข่าวในใต้หล้าก็แทบจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อพวกเขา มีเพียงลูกศิษย์ที่ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์เท่านั้นที่ถึงจะรู้สึกเสียดายอยู่หลายส่วน
กฎบ้านเคร่ง ขนบธรรมเนียมเข้มงวด ทั้งในและนอกภูเขาล้วนไม่มีใครกล้าละเมิดกฎ
เฉินผิงอันขึ้นฝั่งตรงจุดหนึ่งของท่าเรือ ยังต้องเดินไปบนเส้นทางภูเขาอีกยี่สิบกว่าลี้จึงจะไปถึงประตูภูเขาของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน
และเดิมทีตัวของผูซานเองก็ไม่ถือว่าเป็นภูเขาใหญ่อะไร ทั้งขนาดและอิทธิพลของภูเขาอาจจะเทียบกับภูเขาทายาทของแคว้นเล็กแห่งหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
อันที่จริงแล้วเดิมทีกลุ่มคนที่มีคุณชายอวี่เหวินเป็นผู้นำควรจะลงเรือที่นี่เหมือนกัน พวกเขาได้พกเอาจดหมายลับลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ฉบับหนึ่งมา หมายจะปรึกษาธุระกับอาจารย์เซวียแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าว
เพียงแต่ว่าคุณชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยก็คิดว่าจะลงเรือที่ท่าเรือแห่งถัดไป อ้อมเส้นทางไปสักเล็กน้อย จะได้ชมทัศนียภาพได้มากกว่าเดิม
เสี่ยวโม่สะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ทิ่มไม้เท้าไผ่เขียวลงพื้นเบาๆ ยิ้มถามว่า “คุณชาย อย่างเรือนอวิ๋นฉ่าวที่ฝึกทั้งเวทเซียนและเรียนวรยุทธไปพร้อมกันเช่นนี้ น่าจะมีให้เห็นไม่มากกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางชี้ไปที่เผยเฉียน “เจ้าต้องถามนาง เผยเฉียนเดินทางผ่านทวีปใหญ่มาเยอะกว่าข้า จึงพบเห็นอะไรมามากกว่า”
เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ตนเดินทางผ่านทวีปใหญ่ๆ มาหลายแห่งก็จริง เพียงแต่ว่าเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปตลอดทาง ต้องหักออกไปครึ่งหนึ่ง แต่อาจารย์พ่อกลับไม่เหมือนกัน ต้องคิดเพิ่มอีกหนึ่งเท่าต่างหาก
ตนถูกหัก อาจารย์พ่อได้บวกเพิ่ม ก็ต่างกันมากแล้วไม่ใช่หรือ
เห็นเพียงว่าเสี่ยวโม่รอฟังคำตอบจากตน เผยเฉียนก็ได้แต่พูดกว่า “แนวทางการฝึกตนของลูกศิษย์เรือนอวิ๋นฉ่าว ไม่ถือว่าพบเห็นได้มากนักในใต้หล้าไพศาล แต่หากลูกศิษย์ผูซานสร้างโอสถได้สำเร็จหรือเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองได้ เว้นจากเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่ง และยังต้องได้รับคำอนุญาตจากทางศาลบรรพจารย์เสียก่อน ถึงจะสามารถเดินไปบนเส้นทางสองเส้นในเวลาเดียวกันได้แล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือจำเป็นต้องเลือกหนึ่งจากสอง ได้แต่ตั้งใจหลอมลมปราณหรือไม่ก็เรียนวรยุทธอย่างเดียวเท่านั้น ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสำนักอยู่แห่งหนึ่ง จำนวนคนบนภูเขามีไม่มาก ทว่าผู้ฝึกกระบี่ของศาลบรรพจารย์ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนสายยันต์เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ในประวัติศาสตร์ของเกราะทองทวีปยังมีสำนักอีกแห่งหนึ่งที่คล้ายๆ กับผูซาน เพียงแต่ว่ามีความสามารถด้านการหลอมโอสถเพิ่มเข้ามา เพียงแต่ว่าประตูภูเขาถูกเผ่าปีศาจทำลายไม่เหลือแล้ว ทุกวันนี้เหลือลูกศิษย์ไม่ถึงสิบคน เซียนดินก็มีอยู่แค่คนเดียว พวกบรรพจารย์และผู้อาวุโสในสำนักของพวกเขาล้วนรบตายกันไปหมดแล้ว แม้แต่ผู้ปกป้องมรรคาสักคนก็ยังไม่มี พวกเขาคิดอยากจะฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ในอดีตของสำนักกลับคืนมาก็ยากมาก”
เผยเฉียนเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาในหลายสมรภูมินับตั้งแต่ทางทิศใต้ไปจนถึงทางทิศเหนือของเกราะทองทวีป
และนางเองก็เคยช่วยเซียนดินหนุ่มที่มีใจพร้อมตายคนนั้นเอาไว้
เฉินผิงอันอธิบายว่า “นี่ก็เป็นเพราะประเภทหมัดของผูซานมีกระบวนท่ามากมาย ยอดเยี่ยมเลิศล้ำ ประวัติศาสตร์ยาวไกล ซึ่งต้นกำเนิดนั้นมาจาก ‘ภาพเซียน’ หกภาพที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของผูซาน แบ่งออกเป็นภาพที่มีชื่อว่าพิศน้ำตก ตั้งแท่นบูชา สาวไหม (มาจากคำว่าเต่าเลี่ยน ซึ่งเต่าเลี่ยนจะหมายถึงกรรมวิธีในการต้มไหม สาวไหมเพื่อใช้ทอผ้า) จั๋วฉิน (ชื่อพิณชนิดหนึ่งในยุคโบราณ) ยอดฝีมือขับกวี ตะกร้าไม้ไผ่งมจันทร์ ดังนั้นการเรียนวรยุทธของเรือนอวิ๋นฉ่าว เมื่อผ่านการสืบทอดมาหลายรุ่นหลายสมัย บวกกับการคอยปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเสริมให้สมบูรณ์อย่างต่อเนื่องของเจ้าขุนเขาและบรรพจารย์แต่ละรุ่น สุดท้ายจึงสามารถใช้ภาพเซียนทั้งหกมาวิวัฒนาการให้เกิดเป็นกระบวนท่าและวิชาหมัดได้หกสิบกว่าอย่าง ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า ‘ท่ามาจากภาพ หมัดพุ่งเข้าไปในภาพ’”
สำนักที่เป็นเช่นนี้ก็เหมือนอย่างที่เผยเฉียนกล่าว มองไปทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลก็ยังมีไม่มาก แม้จะบอกว่าผู้ฝึกตนเดินไปบนเส้นทางสองสาย เรือนกายแข็งแกร่ง มีประโยชน์มากกว่าโทษ แต่ข้อเสียก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นผูซานที่ถูกบดบังไปด้วยเมฆหมอกซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลแห่งนี้ เวทคาถาสูงหมัดสูงยิ่งกว่า ทว่าจนถึงทุกวันนี้กลับยังมิอาจกลายเป็นตระกูลเซียนอักษรจงได้ อันที่จริงในประวัติศาสตร์ของผูซานก็เคยมีโอกาสอยู่สองครั้ง ครั้งหนึ่งคือตอนที่เย่อวี้กู้บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาได้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ หลังออกจากด่านได้ลงจากภูเขาไปเที่ยวหาสหาย หมายจะไปรำลึกความหลังกับสหายรักอย่างสวินยวนแห่งสำนักกุยหยก
น่าเสียดายที่การลงเขาครั้งนั้นก่อให้เกิดหายนะใหญ่เทียมฟ้า ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถูกยอดฝีมือเล่นงาน แต่เย่อวี้กู้ที่กลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส แม้จะใกล้ตายก็ยังไม่ยอมบอกว่าเป็นฝีมือใคร ไม่เคยเล่าให้ศาลบรรพจารย์หรือลูกศิษย์ผู้สืบทอดฟังแม้แต่คำเดียว นี่จึงกลายเป็นคดีปริศนาของบนภูเขาที่พันปีก็มิอาจคลี่คลายได้อีกคดีหนึ่ง
กระทั่งบัดนี้ใบถงทวีปถึงได้เริ่มพลิกเปิดบัญชีเก่า ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด พูดกันไปหลากหลายเป็นเรื่องเป็นราว ราวกับได้เห็นมาเองกับตาอย่างไรอย่างนั้น บอกว่าเป็นบรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ที่ขึ้นชื่อว่าจิตใจคับแคบของสำนักใบถงคนนั้นที่กังวลว่าหากเย่อวี้กู้เลื่อนเป็นเซียนเหรินขึ้นมา แล้วใช้วิชาหมัดของขอบเขตปลายทาง ผูซานที่เปิดภูเขามาได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปี ไม่แน่ว่าอาจสามารถงัดข้อกับสำนักใบถงได้โดยตรง ดังนั้นตู้เม่าจึงลงมือด้วยตัวเอง แอบไปดักกลางทางลงมืออย่างอำมหิต สุดท้ายทำให้เย่อวี้กู้ขอบเขตถดถอยอย่างหนัก กลับมาที่ผูซานได้แค่ไม่กี่ปีก็บาดเจ็บสาหัสมิอาจรักษา ก่อนจะจากโลกนี้ไปอย่างน่าเศร้า
——