กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 897.1 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 897.1 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
สายฝนเทกระหน่ำลงมาตอนเที่ยงวัน สีท้องฟ้ามืดครึ้ม บนเส้นทางเต็มไปด้วยดินโคลนเฉอะแฉะ เศษโคลนกระเด็นไปทั่ว
มีสะพานเชือกสายหนึ่งทอดขวางข้ามแม่น้ำ คลื่นน้ำใต้สะพานถาโถมรุนแรง สะพานเหล็กโบราณปูพื้นด้วยแผ่นไม้โยกคลอนไปตามพายุฝนโถมกระหน่ำจนเกือบจะพลิกตลบอยู่หลายรอบ
คนกลุ่มหนึ่งเดินถือร่มอยู่ริมน้ำ มีมือดาบชุดเขียว ข้างกายคือสตรีสวมชุดสีเหลือง
ด้านหลังพวกเขามีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งติดตามมา บุรุษเรือนกายสูงโปร่งหล่อเหลาดุจต้นไม้หยก สตรีรวบผมเป็นมวยกลมกลางศีรษะ
และยังมีบุรุษลักษณะคล้ายผู้ติดตามอีกสองคน คนหนึ่งแก่ คนหนึ่งหนุ่ม คนที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ถือไม้เท้าไผ่เขียวเดินอยู่ท้ายสุด
ฝนเม็ดใหญ่ราวกับเมล็ดถั่วเหลืองตกกระทบลงบนร่มกระดาษน้ำมันส่งเสียงดังเปาะแปะ
ห่างออกไปไกลพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีเปลวเพลิงจุดหนึ่งเล็กเหมือนแสงหิ่งห้อย
เฉินผิงอันมองสะพานแขวนเหนือแม่น้ำที่ส่ายโยกไปตามลม ถามว่า “สถานที่ที่ภาพเซียนเหรินนั้นปรากฎครั้งแรกสุดก็คือแม่น้ำชื่อหลินแห่งนี้หรือ?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้า พูดเสียงหนัก “คือที่แห่งนี้แหละ”
ยามฟ้าสางของวันนี้ เย่อวิ๋นอวิ๋นพลันมาหาเฉินผิงอัน พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่าต้องการขอให้เขาช่วยเหลือ ในเมื่อนางไม่มีทางจับโจรพร้อมหลักฐานจากตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่งได้สำเร็จอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็อยากลองดูว่าจะสามารถสาวเบาะแส เพื่อให้นางมีเหตุผลที่ฟังขึ้นในการถามหมัดบนภูเขากับตู้หันหลิงหรือไม่
จักรพรรดิบนภูเขาแห่งใบถงทวีปท่านนี้ถึงกับกล้าคิดจะเป็น ‘คู่บำเพ็ญตนชั่วครู่’ กับตนเชียวหรือ?
เย่อวิ๋นอวิ๋นก็อยากจะรู้นักว่าผู้ฝึกตนอารามจินติ่งคนหนึ่งที่เก็บหัวเก็บหาง หากเอามรรคกถาบนร่างมาชั่งน้ำหนักจะหนักได้สักกี่จินกี่ตำลึงกันแน่ ส่วนทุกวันนี้ตู้หันหลิงเป็นก่อกำเนิดหรือได้แอบเลื่อนขั้นเป็นหยกดิบแล้ว แค่นางได้ถามหมัดสักครั้งก็จะเป็นดั่งน้ำลดหินผุด ถึงเวลานั้นก็จะรู้ได้แล้วว่าหลังจากเส้นเอ็นและโครงกระดูกของเรือนกายที่เป็นกิ่งทองใบหยกของเจ้าอารามตู้ เมื่อถูกแยกร่างออกมาแล้วจะหนักกี่ตำลึงกันแน่
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้เสียสติสักหน่อย นางไม่มีทางไปศึกษา ‘วิชาจับประคองบินทะยาน’ ของภาพวาดฝาผนังภาพนั้นอีกแน่ ได้มอบให้คลังลับของผูซานเก็บรักษาไว้แล้ว
ถึงอย่างไรติดค้างน้ำใจคนครั้งหนึ่งคือติดค้าง ติดค้างสองครั้งก็คือติดค้างเหมือนกัน เย่อวิ๋นอวิ๋นจึงอยากจะดึงตัวเฉินผิงอันมาสืบเสาะความจริงที่แม่น้ำชื่อหลินแห่งนี้ด้วยกัน ดูสิว่าเขาจะช่วยนางหาเบาะแสที่หลุดรอดไปได้บ้างหรือไม่
อีกฝ่ายรับปากว่าจะลงเขามาด้วย
ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องของซิ่วหู่ ความคิดจิตใจละเอียดรอบคอบอย่างแท้จริง เป็นเจ้าขุนเขาเหมือนกัน สองฝ่ายไม่ได้ห่างชั้นกันแค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย เรื่องอย่างการใช้สมองเล่นงานคนอื่นยังคงเป็นพวกบัณฑิตที่เชี่ยวชาญมากกว่า เมื่อคืนวานตอนอยู่ในศาลา เจ้าขุนเขาหนุ่มแค่มองภาพเซียนไม่กี่ทีก็สามารถมองทะลุเวทอำพรางตาหนาชั้นไปได้ อีกทั้งเอ่ยแค่ไม่กี่ประโยคก็ช่วยเปิดเผยความลับสวรรค์ให้นางแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นเริ่มอธิบายความเป็นมาของภาพเซียนเหรินที่นางได้มาอยู่ในมือให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด “ภาพเซียนเปลี่ยนมือมาตลอดทาง สถานที่ที่ข้าได้มาครองอย่างแท้จริงกลับเป็นที่ท่าเรือเล็กบนภูเขาแห่งหนึ่ง มีชื่อว่าท่าเรือลวี่ซาง ตั้งอยู่ในอาณาเขตของแคว้นหยวน เป็นเพื่อนบ้านกับแคว้นเซียนย่วนใต้ฝ่าเท้าของพวกเราแห่งนี้ เมื่อหลายปีก่อนข้าได้ยินมาว่าชายแดนแคว้นหยวนที่เพิ่งกอบกู้แคว้นได้ไม่นานมีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ไม่ทันระวังเผยพิรุธ เซวียไหวจึงรีบรุดไปที่นั่นทันที ตามรายงานสายลับของสำนักศึกษาต้าฝูได้อนุมานว่าอีกฝ่ายคือผู้ฝึกตนผีเผ่าปีศาจที่มีขอบเขตเป็นก่อกำเนิด ข้ากังวลว่าอีกฝ่ายจะยังเก็บซ่อนขอบเขต วิญญูชนของสำนักศึกษาไปที่นั่นก็ต้องพาตัวไปตาย เซวียไหวช่วยคนไม่ได้ จึงลงจากภูเขาไปคนเดียวอีกครั้ง น่าเสียดายที่ไปอยู่ที่นั่นสิบกว่าวัน ค้นภูเขาแล้วก็ไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ”
“ระหว่างนั้นบังเอิญเดินทางผ่านท่าเรือลวี่ซางที่ผูซานให้คนอื่นเช่าไป ตอนนั้นมีผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง ผู้เฒ่าพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาตั้งแผงขายของที่ข้างทางด้วยกัน ข้ากวาดตามองผ่านล้วนมีแต่ของที่ไม่มีราคา ชิ้นหนึ่งในนั้นคือกล่องทองที่ทำอย่างประณีติ ระดับขั้นพอใช้ได้ พอจะเอามาใช้บรรจุสิ่งของได้ จึงคิดว่าจะเอาไปมอบให้กับเย่เสวียนจี ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นว่าสายตาข้าหยุดอยู่ที่ของชิ้นนั้นก็เริ่มโอ้อวดสรรพคุณ บอกว่ามันเป็นของเก่าแก่ที่หลุดออกมาจากในวังของแคว้นหยวน แล้วยังเป็นของตกแต่งโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ในห้องทรงพระอักษรด้วย แค่มองก็รู้ว่าเป็นของจริง อีกทั้งมันอยู่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ของแคว้นหยวนมาหลายรุ่น ผ่านเวลามาหลายร้อยปีจึงได้สัมผัสกลิ่นอายมังกร ผู้ฝึกตนเฒ่ายกสองมือเปิดราคาสิบเหรียญเงินเหรียญทองแดง คงกลัวข้าจะรังเกียจว่าแพงเลยบอกว่าแปดเหรียญก็ได้ ราคามิอาจต่ำไปมากกว่านี้ได้แล้วจริงๆ”
ฟังมาถึงตรงนี้ เฉาฉิงหล่างก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง กล่องทองที่เชื้อพระวงศ์ใช้ในวังขายแค่สิบอีแปะเท่านั้นหรือ? จึงหันไปมองเผยเฉียนที่อยู่ด้านข้าง นางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเล่ห์กลในยุทธภพและบนภูเขา ต้องเข้าใจดีเป็นแน่
เผยเฉียนหัวเราะร่าอธิบายว่า “ร้านผ้าห่อบุญจะมีคำพูดที่เป็นรหัสลับอยู่ชุดหนึ่ง บอกว่าเงินสิบเหรียญ แท้จริงแล้วคือเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญ หากว่าเป็นคนที่แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่เข้าใจ ร้านผ้าห่อบุญร้านนั้นก็จะ…เชือดหมูอย่างเต็มที่แล้ว”
เฉินผิงอันถาม “ด้านในกล่องทองที่ถูกเก็บเป็นความลับอยู่ในวังหลวงแคว้นหยวนบรรจุภาพเซียนภาพนี้ไว้พอดีหรือ?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างมีโทสะ “ปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ อันที่จริงตอนนั้นกล่องทองใบนั้นว่างเปล่า ข้าถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าเก็บของดีใหญ่เทียมฟ้าได้ รอกระทั่งข้าใช้เงินแปดเหรียญเกล็ดหิมะซื้อกล่องทองใบนั้นมา ผู้ฝึกตนอิสระถึงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ถามว่าข้าเข้าใจเรื่องอักษรภาพหรือไม่ ในมือเขายังมีสมบัติที่ระดับขั้นดียิ่งกว่าอีกชิ้นหนึ่ง เป็นของสะสมที่มีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบของแคว้นหยวน ผู้ฝึกตนเฒ่ายกมือขึ้นสาบานว่าหากโกหกก็ขอให้ฟ้าผ่าหัว ข้าไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง แค่บอกว่าสามารถลองดูได้ เด็กหนุ่มท่าทางทึ่มทื่อที่อยู่ข้างกายผู้ฝึกตนเฒ่าจึงค้นหาในถุงผ้าป่านที่วางอยู่ข้างเท้าแล้วดึงเอาม้วนภาพเซียนชิ้นนั้นออกมาโยนลงบนแผงง่ายๆ”
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ทั้งคนแก่ทั้งเด็กร้องรับเข้ากันได้ดียิ่งนัก ถือเป็นร้านผ้าห่อบุญที่ได้มาตรฐานแล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำสัพยอกนี้ เอ่ยต่ออีกว่า “ตอนนั้นพอข้าหยิบม้วนภาพมาไว้ในมือก็รู้แล้วว่าของชิ้นนี้ต้องไม่ธรรมดา เพราะจิตแห่งมรรคาของข้าเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมทันที นี่ก็คือการที่ผู้ฝึกตนจับลางของโอกาสบนมหามรรคาได้ รอกระทั่งข้าคลี่ม้วนภาพออกเล็กน้อย กว่าจะทำให้จิตแห่งมรรคามั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ไม่นาน จึงได้รับการประทาน ‘โชควาสนา’ ที่ลี้ลับมหัศจรรย์จากบนภูเขา จึงจ่ายเงินเกล็ดหิมะอีกสิบเหรียญซื้อภาพเซียนนั้นมาไว้อย่างไม่ลังเล หลังจากที่ซื้อขายกันเรียบร้อย ข้าเพิ่งขยับเท้าเดินห่างออกจากแผงนั้นมาได้แค่ไม่กี่ก้าวก็สังเกตเห็นว่าผู้ฝึกตนเฒ่าพาเด็กหนุ่มหอบเสื่อเผ่นหนีไปแล้ว ตอนนั้นข้ายังรู้สึกว่าน่าขัน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นคนโง่”
“หลังจากข้าได้ภาพเซียนมาก็คิดว่าตัวเองระมัดระวังมากพอแล้ว เพราะยังเคยไปเยือนคลังเก็บเอกสารของวังหลวงแคว้นหยวนมารอบหนึ่ง ของเก่ากลายเป็นซากปรักไปแล้ว ที่ข้าไปเยือนจึงเป็นคลังแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นหลังสงคราม ดังนั้นจึงมั่นใจว่าต้องมีเอกสารคดีลับที่หายไปไม่น้อย ข้ายังเจอกล่องทองไม้การบูรโบราณลักษณะคล้ายๆ กันอีกกองใหญ่ แน่นอนว่าไม่ใช่ของตกแต่งห้องหนังสือของฮ่องเต้อย่างที่ร้านผ้าห่อบุญนั่นพูดถึง ภายหลังข้าตรวจสอบสมุดบัญชีก็หารายการที่เกี่ยวกับภาพโบราณภาพนั้นเจอจริงๆ พอมั่นใจว่ามีเรื่องนี้อยู่ ตัวอักษรบนนั้นระบุไว้อย่างชัดเจน ที่แท้ก็ได้มาจากที่ว่าการเก็บหินแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำชื่อหลินของแคว้นหยวนเมื่อสามร้อยปีก่อน เป็นช่างเก็บหินที่บังเอิญงมเจอกล่องเหล็กใบหนึ่งจากก้นแม่น้ำ แม้ว่าจะไม่ใช่หินสวยงาม แต่ที่ว่าการแห่งนั้นก็ไม่กล้าเก็บเอาไว้เอง ปีนั้นจึงส่งกล่องเหล็ก ม้วนภาพและหินสวยงามที่ขุดเจอจากแม่น้ำเข้าเมืองหลวงมาเป็นของบรรณาการพร้อมกัน และฮ่องเต้แคว้นหยวนในยุคนั้นก็มีความรู้สึกที่ธรรมดาต่อม้วนภาพนั้น พอดูแล้วก็โยนไปเก็บไว้ในคลังเก็บเอกสาร ส่วนกล่องเหล็กบรรจุภาพวาดที่หากอิงตามคำบันทึกในเอกสารบอกไว้ว่า ‘ทั้งหกด้านล้วนวาดภาพลายน้ำ’ กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว สุดท้ายข้ายังไม่ค่อยวางใจจึงมาที่แม่น้ำชื่อหลินแห่งนี้ด้วยตัวเอง แหวกน้ำลงไปตรวจสอบก้นแม่น้ำหกร้อยลี้ สายน้ำที่ไหลแยกออกไปก็ไม่ปล่อยผ่าน อยากดูว่าจะมีซากปรักจวนเซียนหรือไม่ เพียงแต่ว่าตอนนั้นไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ”
แล้วก็เพราะคำพูดของผู้ฝึกตนเฒ่าร้านผ้าห่อบุญถูกพิสูจน์ว่าเป็นคำเท็จ เย่อวิ๋นอวิ๋นจึงกลับยิ่งคิดว่าเป็นความจริง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คลังเก็บเอกสารของวังหลวงถูกโจรบุกปล้นเป็นเรื่องปกติอย่างมาก อีกทั้งล้วนเป็นโจรในบ้านที่ป้องกันได้ยากด้วย”
มองแม่น้ำชื่อหลินที่สายน้ำไหลเชี่ยวขุ่นมัว อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็อดนึกถึงลำคลองหลงซวีของบ้านเกิดไม่ได้ ปีนั้นตนออกจากบ้านเกิดได้ไม่นาน คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินข่าวก็พากันเคลื่อนไหว แทบจะทุกครอบครัวต่างก็แบกตะกร้าไม้ไผ่ลงน้ำไปหาสมบัติ ก็เพื่องมหาหินดีงูที่เมื่อก่อนไม่ว่าใครก็แค่มองเป็นของเด็กเล่นเท่านั้น เพียงแต่ว่าชาวบ้านในเมืองเล็กรู้ช้าเกินไป ผลเก็บเกี่ยวจึงน้อยนิด
นี่คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่านกที่ตื่นเช้าย่อมมีหนอนให้กินกระมัง?
ดังนั้นเมื่อคืนวานตอนที่อยู่ในศาลาภูเขาผูซาน เฉินผิงอันจึงเอ่ยประโยค ‘ข่าวบนภูเขาก็คือเงินเทพเซียน’ กับหวงอีอวิ๋นด้วยความจริงใจยิ่ง
ก่อนหน้านี้ระหว่างทางที่ทะยานลมกันมา เซวียไหวที่มีความรู้กว้างขวางได้พูดถึงแม่น้ำชื่อหลินสายนี้ให้พวกเฉินผิงอันฟังแล้ว นับแต่โบราณมาก็ไม่เคยมีเทพวารีหรือพ่อปู่ลำคลองคนใดมาเฝ้าพิทักษ์ แต่ในแม่น้ำมีหินสวยงาม เสียงใสกังวานสีสันเหมือนหยก สีไม่เหมือนกัน แต่สีมรกตมีค่อนข้างเยอะ แต่หากเป็นสีแดงชาดจะดีเยี่ยมที่สุด ลายหินเหมือนเกล็ดปลาหลีสีแดง มีชื่อเสียงอย่างมาก ใหญ่หน่อยก็สามารถเอามาทำเป็นหินฮวงจุ้ยของตระกูลชั้นสูงได้เลย เล็กหน่อยก็สามารถนำมาทำเป็นของตกแต่งในห้องหนังสือของพวกปัญญาชน ดังนั้นในประวัติศาสตร์ของแคว้นหยวนจึงมีหน่วยเก็บหินถูกก่อตั้งขึ้นที่ริมแม่น้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อเก็บหินเข้าไปเติมคลังของแคว้นให้เต็ม
และทุกครั้งที่ราชสำนักยกเลิกคำสั่งปิดน่านน้ำก็มีจะคนแข็งแรงที่ว่ายน้ำเก่งแอบไปงมหาหินใต้น้ำ ต้นกำเนิดเงินทองของท่าเรือลวี่ซาง ในระดับใหญ่แล้วก็มาจากสิ่งนี้ เพียงแต่ว่าพวกพ่อค้ามักจะหากำไร วิธีการที่ใช้ทำปลอมแปลงขึ้นมาหรือเอามาประกบประกอบกันจึงมีมากมาย จะจงใจ ‘เจาะภูเขา’ ให้เป็นรูเล็กๆ นี่เรียกว่าหินมีรู ซึ่งราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัว ได้เงินทองหมื่นตำลึงมาเปล่าๆ คือหลักการเดียวกันกับปิ้งเหมย กวานเหมยที่ถูกคนจงใจตัดแต่งให้เป็นรูปทรงประหลาดแล้วราคาจะสูงกว่าเหมยป่าทั่วไปนั่นเอง นานวันเข้าคนท้องถิ่นแคว้นหยวนและพวกเซียนซือในบริเวณใกล้เคียงบางส่วนจึงรู้กันโดยไม่ต้องบอกกล่าว สรุปก็คือแค่มีไว้หลอกเอาเงินพวกคนต่างถิ่นที่โง่เง่าแต่เงินเยอะเท่านั้น
ลูกศิษย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานมากความสามารถและมีรสนิยม แทบทุกคนจะต้องมีของตกแต่งโต๊ะหนังสือจากหินสวยงามที่แกะสลักชิ้นสองชิ้น แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นของปลอม
ตระกูลมีชื่อเสียงในแถบภาคกลางของใบถงทวีป ระดับความสูงต่ำของชาติตระกูลพวกเขา ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นเกาเหลียง หัวอวี๋ เจี่ย อี่ ปิ่งและติง ทั้งหมดหกระดับ และใบถงทวีปยังเป็นทวีปที่มีการปิดทวีปแน่นหนาที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของไพศาล นั่นเป็นเพราะที่ดินชั้นยอดมีมากมาย ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ในหนึ่งทวีปมีที่ราบอยู่เยอะ ล้วนเป็นบ้านเกิดแห่งข้าวปลาอาหาร สถานที่งดงามในภูเขาสายน้ำที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นก็มีมากจนนับไม่ถ้วน ไม่อย่างนั้นแม้ปีนั้นจำนวนสำนักของใบถงทวีปจะมีไม่มาก แต่ทุกแห่งล้วนเป็นตระกูลเซียนขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานลึกล้ำเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ทว่าพอถึงท้ายที่สุดก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีเรือข้ามทวีปแม้แต่ลำเดียว
ส่วนตระกูลเซียนบนภูเขากับหวังและโหวเชื้อพระวงศ์ องค์หญิงญาติฝั่งมารดา ก็เรียกได้ว่าร่ำรวยเหมือนได้ครองภูเขาและมหาสมุทร เป็นคนที่มีฐานะดีที่สุด
ผูซานที่ได้ครอบครองโฉนดที่ดินบนภูเขาหนึ่งหีบก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่า ‘แดนบิน’ ทั้งหลายของผูซานนับว่ายังมีที่มาถูกต้องชอบธรรม เป็นบรรพจารย์แต่ละรุ่นที่ใช้เงินเทพเซียนของจริงหรือไม่ก็ใช้ความสัมพันธ์ควันธูปซื้อมาด้วยราคาที่ถูกมาก
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ในเมื่อเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่หลายร้อยปีแล้ว ถ้าอย่างนั้นการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำไหลในประวัติศาสตร์ บอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่คือเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ ตอนนั้นเจ้าขุนเขาเย่มาเยี่ยมเยือนแม่น้ำชื่อหลินแห่งนี้เคยถามชาวบ้านในท้องถิ่น เคยตรวจสอบแผนที่แต่ละยุคสมัยของแคว้นหยวน หรือเคยเปิดอ่านอักขรานุกรมท้องถิ่นบ้างหรือไม่?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเงียบไม่ตอบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
ตอนนั้นตนรีบร้อนเดินทาง ไหนเลยจะคิดถึงเรื่องมากมายขนาดนี้ได้
เพื่อคลี่คลายสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของหวงอีอวิ๋น เฉินผิงอันจึงจำต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ในเอกสารลับของคลังเก็บเอกสารวังหลวง เกี่ยวกับกล่องเหล็กใบนั้น นอกจากภาพลายน้ำหกด้านแล้วยังมีตัวอักษรที่บันทึกไว้นอกเหนือจากนี้หรือไม่?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นรีบพยักหน้าทันที “มี หกด้านนอกจากภาพน้ำแล้วยังแบ่งออกเป็นตัวอักษรโบราณอีกด้านละสองตัว ได้แก่คลอนแคลน วกวน ขุ่นมัว ซัดสาด มืดลึก ใสตื้น”
เฉินผิงอันจึงได้แต่เอ่ยประโยคที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ “เจ้าขุนเขาเย่เป็นคนรอบคอบมาก”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มอย่างฝืดฝืน คำพูดดีๆ จากบุรุษข้างกายผู้นี้ ทำไมฟังแล้วเหมือนคำด่านะ
เพียงแต่เฉินผิงอันก็ยังอดไม่ไหวถามอีกประโยคว่า “ภาพน้ำหกด้าน ในห้องเก็บเอกสารของคลังใหม่แคว้นหยวนมีการคัดลอกลายไว้หรือไม่?”
ตามหลักแล้วคลังเก็บเอกสารของวังหลวงต้องมีฉบับสำเนาที่เกี่ยวข้องเก็บไว้อย่างแน่นอน อีกทั้งห้องเก็บจะต้องอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว
ดังนั้นเจ้าขุนเขาเย่จึงเงียบต่ออีกครั้ง
ทำไมตนถึงกลายมาเป็นเหมือนเด็กนักเรียนประถมเจอกับอาจารย์สอนหนังสือที่กำลังตรวจการบ้านกันนะ
เฉินผิงอันรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย
ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นบัญชีเลอะเลือนที่ต้องคิดย้อนหลังกันไปทีละบัญชี เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์