กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 899.2 อนาคต
ปีนั้นเขากับเกาเฉิงวิญญาณวีรบุรุษแห่งนครจิงกวานชายหาดโครงกระดูกได้รับคำสั่งให้ไปที่ดินแดนพุทธะสุขาวดีด้วยกัน จงขุยเคยถามคำถามกับมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธที่มีชื่อเสียงคุณธรรมสูงส่งท่านหนึ่ง ถามสองคำถาม จุติกลับชาติมาเกิดใหม่ ข้ายังคงเป็นข้าอยู่อีกไหม? ต่อให้สติปัญญาเปิดออก ฟื้นคืนความทรงจำเดิม จดจำเรื่องราวของชาติก่อนได้ ถ้าอย่างนั้นใครใหญ่ใครเล็ก ใครคือใคร?
เฉินผิงอันพอจะเดาปมปัญหาในใจของจงขุยได้คร่าวๆ แล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาค่อนข้างลำบากใจ ไม่ใช่เพราะว่าคนที่อยู่ในสถานการณ์เลอะเลือน คนที่อยู่นอกสถานการณ์มองเห็นได้ชัดเจนไปเสียหมด แต่บางทีอาจเป็นเพราะคนที่อยู่ในสถานการณ์คิดอย่างกระจ่างแจ้งทะลุปรุโปร่งเกินไป
จงขุยเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อาศัยใบบุญของเจ้าทำให้ข้าได้พบกับอูถีแห่งนครเซียนจาน เขากับฉงโอวอาจารย์ของเขาเก็บหัวเก็บหางอยู่บนเส้นทางไปเยือนปรโลกอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากผีขอบเขตบินทะยานสองตนนี้อยู่ที่นั่นแล้วระมัดระวังตัวอย่างมาก น่าจะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนอิสระของฝ่ายพวกเรากระมัง ล้วนเป็นขอบเขตบินทะยานกันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้แตกกิ่งก้านสาขา ใหตายก็ไม่ยอมรวบรวมกองทัพหยิน ทำเรื่องอย่างการแบ่งอาณาเขตตั้งตนปกครองเอง ทั้งยังมีวิธีเฉพาะตัวที่ช่วยอำพรางลมปราณ เพียงแค่ค่อยๆ กลืนกินปราณที่ใสสะอาดเป็นอาหารเท่านั้น ดังนั้นทางฝั่งนครผีจึงค่อนข้างปวดหัวกันมาก ไม่ถึงกับว่าเป็นหนามตำตาอะไร แต่หากปล่อยไว้อย่างนี้ไม่สนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่สมควร อาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าบกพร่องต่อหน้าที่”
“ดังนั้นตอนนั้นที่ได้พบอูถี ข้าจึงใช้อารมณ์ทำให้หวั่นไหว ใช้เหตุผลทำให้เขาใจ เรียกเขาว่าผู้อาวุโสทุกคำ กว่าจะโน้มน้าวให้เขาเชื่อได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังช่วยหาตำแหน่งขุนนางมาให้เขาก่อนจะจากกันด้วย”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ยินมาว่าอีกเดี๋ยวผู้อาวุโสอูถีก็จะดึงหัวไชเท้าออกจากดินแล้ว ได้ผลเก็บเกี่ยวมาเล็กน้อย หากไม่ผิดไปจากที่คาด เวลานี้ผู้อาวุโสอูถีน่าจะง่วนอยู่กับการตามหาอาจารย์คนนั้นกระมัง”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถามว่า “ทุกวันนี้กุยหลิงเซียงบรรพจารย์เปิดขุนเขาของนครเซียนจาน...?”
จงขุยส่ายหน้า “เจอกับอูถีแล้ว ข้าก็ได้ตรวจสอบคดีสองสถานที่ แต่กลับไม่ได้เบาะแสใดๆ ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่ข้ายังไม่เคยไป วันหน้าค่อยหาโอกาสดูว่าจะสามารถไปเปิดหาบันทึกของที่นั่นได้หรือไม่”
เฉินผิงอันจึงถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘ตำราเขียว’ ชื่อติดตำราเขียวก็เท่ากับว่าได้ติดอันดับเซียนอย่างที่นิยายในโลกยุคหลังกล่าวถึง
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เจ้าอารามผู้เฒ่าติดตามมรรคาจารย์เต๋าไปท่องเที่ยวเมืองเล็ก เป็นฝ่ายไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เจ้าอารามผู้เฒ่ามอบภาพเต๋าหายากแผ่นนั้นมาให้ ในยุคบรรพกาลถือว่า ‘หากไม่ได้มีชื่ออยู่ในตำราเขียวก็มิอาจถ่ายทอดให้ได้’
อันที่จริงเส้นทางของมืดและสว่างมีความต่าง นี่ต่างหากจึงจะเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองตามความหมายที่แท้จริง
ก็เหมือนอย่างเฉินผิงอันที่เคยท่องเที่ยวผ่านภูเขาสายน้ำของสามทวีป ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกับผู้ฝึกตนลมปราณ เซียนซือทำเนียบกับผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ความสัมพันธ์ระหว่างกันสลับซับซ้อน มีการช่วงชิงกันอย่างต่อเนื่อง แต่น้อยครั้งนักที่จะมีคดีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ฝึกลมปราณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศาลเทพอภิบาลเมือง
ส่วนคดีที่เกี่ยวกับนครผี คฤหาสน์หลบร้อนก็มีบันทึกถึงอยู่น้อยนิด มีเพียงเนื้อหาไม่ปะติดปะต่อที่กระจัดกระจาย ที่ศาลเทพอัคคีเมืองหลวงต้าหลี เหล้าหมักจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผาในมือเฟิงอี๋ที่ใช้ดินหมื่นปีปิดผนึก ทุกๆ ร้อยปีเคยเป็นของบรรณาการที่ต้องส่งมอบให้กองกำลังสามฝ่ายของโลกมืด แต่ตอนนั้นเฟิงอี๋คล้ายจะจงใจไม่พูดถึงกองกำลังบางแห่ง แค่พูดถึงหกตำหนักของจวนผีนครเฟิงตู ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีหน้าที่บนพื้นดินกับชิงจวินภูเขาฟางจู้ที่ดูแลทะเบียนทั้งหมดของเซียนดินให้เฉินผิงอันฟังเท่านั้น ตามคำกล่าวของเฟิงอี๋ ภูเขาฟางจู้ที่ชิงจวินปกครอง ในฐานะจวนของซือมิ่งที่ดูแลเรื่องการยกเลิกทะเบียนตาย ดูแลชื่อของผู้ที่ถือกำเนิด ฐานะสูงกว่าห้ามหาบรรพตในยุคโบราณเสียอีก กฎเกณฑ์เข้มงวด พิธีการซับซ้อน แต่เป็นระเบียบขั้นตอน เหมือนกับวงการขุนนางของโลกมนุษย์
จากนั้นเฉินผิงอันก็เล่าเรื่องบางอย่างของเซียนเว่ย หวังว่าภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ผิดกฎ ไม่ละเมิดข้อห้าม จงขุยจะช่วยตรวจสอบประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ในชาติก่อนให้
จงขุยพยักหน้าตอบตกลง จดจำชื่อของผู้ฝึกตนแห่งแจกันสมบัติทวีปที่สวมรอยเป็นนักพรต ชื่อว่าเหนียนจิ่ง นามว่าเซียนเว่ย ฉายานักพรตซวีเสวียน รวมไปถึงภูมิลำเนาและอักษรเกิดแปดตัวของเขาเอาไว้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีคนอยู่ในราชสำนักก็สะดวกอย่างนี้เอง”
จงขุยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “มีสหายอย่างข้าคือความสามารถของเจ้า สามารถลำพองใจในตัวเองได้เลย”
เฉินผิงอันกระดกเหล้าดื่มหนึ่งอึก ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก “ได้เรียนรู้แล้ว ได้เรียนรู้แล้ว”
เฉินผิงอันเหลือบตามองเจ้าอ้วน ใช้เสียงในใจถาม “อวี่จิ่นผู้นี้มาอยู่ข้างกายเจ้าได้อย่างไร?”
จงขุยเขย่ากาเหล้า “เป็นความต้องการของหลี่เซิ่ง ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร แต่อยู่ด้วยกันนานเข้า อันที่จริงก็นับว่าพอใช้ได้ แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คืออวี่จิ่นยอมอยู่ในการควบคุม ไม่อย่างนั้นข้าคงถูกเจ้าอ้วนที่นิสัยยากจะคาดเดาผู้นี้เล่นงานจนตายไปหลายร้อยรอบแล้ว”
เจ้าอ้วนที่เรียกตัวเองว่าซูกู ฉายาว่ากูซูผู้นี้ ชื่อจริงคืออวี่จิ่น ตอนที่มีชีวิตอยู่ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิที่พันปีก็ยากจะพานพบ ทว่าหลังจากตายไปกลับโดนคนด่าประณามนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะอย่างไร คนผู้หนึ่งที่เป็นฮ่องเต้ อีกนิดเดียวก็จะเกือบสร้างวีรกรรม ‘หนึ่งแคว้นคือหนึ่งทวีป’ ได้เร็วกว่าสกุลซ่งต้าหลี ในตำราประวัติศาสตร์ของโลกยุคหลังด่าว่าเขาโหดเหี้ยมป่าเถื่อนแค่ไหนก็คงไม่เกินกว่าเหตุ เพียงแต่ว่าหากเอาแต่ด่าว่าเขาหูหนวกตาบอด กลับไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไรแล้ว
จงขุยยกกาเหล้าขึ้นชนกับเฉินผิงอันเบาๆ “โอ้โห ข่าวสารของเจ้าว่องไวมากเลยนะ รู้ชื่อจริงของเจ้าอ้วนด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าก็แค่กลัวว่าอวี่จิ่นจะมาแก้แค้นข้าไม่ใช่หรือ รู้เขารู้เรา เตรียมพร้อมไว้ก่อนย่อมไร้อันตราย”
ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่พูดถึงเรื่องลับๆ ในวังบางอย่าง ทุกวันนี้เฉินผิงอันอาจจะเป็นคนที่เข้าใจอวี่จิ่นมากกว่าอวี่จิ่นอีกก็เป็นได้
ชื่อแคว้น รวมไปถึงศักราชในแต่ละปี พระราชโองการสำคัญที่ป่าวประกาศ กลยุทธ์ในการปกครองแคว้น ประวัติส่วนตัว สมญานามที่แต่งตั้งให้ย้อนหลังของขุนนางใหญ่ทั้งบุ๋นและบู๊ในราชสำนัก ขอแค่มีบันทึกอยู่ในสวนกงเต๋อของศาลบุ๋น เฉินผิงอันก็ล้วนคัดลอกเอาไว้โดยไม่ปล่อยให้ตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว นอกจากนี้ยังตั้งใจถามถึงข่าวลือบางอย่างที่ไม่สะดวกจะจดลงในบันทึกของศาลบุ๋นกับจิงเซิงซีผิงอย่างละเอียดด้วย
ดังนั้นในหอหนังสือที่ทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันจึงมีเอกสารลับฉบับหนึ่งเพิ่มมานานแล้ว เป็นเอกสารที่จดบันทึกเรื่องของผีอวี่จิ่นโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมองอวี่จิ่นเป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่งอีกด้วย
เวทห้าอสนี ฉากสายฟ้าของภูเขามังกรพยัคฆ์ พูดถึงแค่ใน ‘มหัศจรรย์แท้จริงตำราสีชาด’ ที่บันทึกยันต์หลายชนิดซึ่งเอาไว้ใช้กำราบภูตผีโดยเฉพาะ เฉินผิงอันยังตั้งใจสร้างยันต์เหลืองเจ็ดแปดร้อยแผ่นเพราะเหตุนี้ นี่ก็เพื่อว่า ‘สักวันหนึ่งจะโชคดีได้พบเจอกัน มีโอกาสได้รับรองแขกผู้สูงศักดิ์’
ผู้ฝึกตนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ยกตัวอย่างเช่นอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่หนึ่งในสามสุดยอดของไพศาล
เอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย หากเฉินผิงอันไม่ได้ขอบเขตถดถอย ยังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบและผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคืนความจริง เขาคนเดียวไม่จำเป็นต้องอาศัยกำลังภายนอกก็สามารถงัดข้อกับผีขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งได้แล้ว ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะไม่เคยต่อสู้กับเซียนเหรินมาก่อน อวิ๋นเหมี่ยวแห่งหอเซียนจิ่วเจิน หันอวี้ซู่แห่งสำนักว่านเหยาล้วนเคยผ่านมาก่อนทั้งนั้น
หากอวี่จิ่นไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกายจงขุย แต่แค่พบเจอกันบนทางแคบ ต่อให้ข้างกายไม่มีเสี่ยวโม่เป็นผู้ติดตาม เฉินผิงอันก็ไม่ต้องหวาดกลัวผีที่ขอบเขตถดถอยเป็นเซียนเหรินตนหนึ่ง
จงขุยจุ๊ปากไม่หยุด “คำพูดประโยคนี้ช่างน่าเตะยิ่งนัก”
มีหนิงเหยาเป็นคนรัก ใครจะกล้ามาหาเรื่องเฉินผิงอันง่ายๆ
บางทีการเล่นงานลับหลังอาจจะมีอยู่บ้าง แต่หากจะพูดถึงการท้าทายภายนอกที่ชัดเจนกลับไม่ค่อยเป็นไปได้แล้ว
ทุกวันนี้ผู้ครองใต้หล้าในนามสองคน หนิงเหยาแห่งใต้หล้าห้าสี เฝ่ยหรานแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
อีกทั้งทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่มีความหวังบนมหามรรคา
ต่ำกว่าขอบเขตสิบสี่ลงไป ใครบ้างจะกล้าไม่ลองชั่งน้ำหนักของตัวเองดู?
บางทีตอนนี้อาจจะยังพูดได้ง่าย หนึ่งเพราะหนิงเหยายังไม่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ บุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าห้าสีผู้นี้ยังไม่ค่อยน่าตกใจกลัวมากถึงเพียงนั้น อีกอย่างก็คือตอนนี้ยังไม่มีการ ‘เปลี่ยนฟ้า’ อย่างแท้จริง ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ในใต้หล้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนไม่กล้าเอาแต่ใจเกินไปนัก
รอกระทั่งเปลี่ยนฟ้าจริงๆ ก็เหมือนพันธนาการที่หายไป นิสัยใจคอหรือควรจะพูดว่าจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ทุกคนต่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ยามที่ทำเรื่องอะไรขึ้นมาก็จะไม่ทำตามกฎเกณฑ์เช่นนั้นอีกแล้ว
และหนิงเหยามีนิสัยเป็นอย่างไร ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าไพศาลก็พอจะเข้าใจอย่างคร่าวๆ แล้ว หากนิสัยดี นางก็คงไม่ถึงขั้นพกกระบี่บินทะยานมายังใต้หล้าไพศาลโดยที่ไม่บอกกล่าวแก่ศาลบุ๋นสักคำหรอก
เมื่อจงขุยจากไป อวี่จิ่นก็พลันรู้สึกเกิดความกดดันเล็กน้อย
เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายมีคนมากอำนาจมาก ตนยังเป็นมังกรข้ามแม่น้ำตัวหนึ่ง มังกรแข็งแกร่งมิอาจกดข่มงูเจ้าถิ่นได้ หากเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ เจ้าจงขุยผู้นี้ต้องเข้าข้างคนนอกแน่นอน
เจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นคล้ายจะได้รับบาดเจ็บ สะเทือนไปถึงรากฐานมหามรรคา จำต้องมาหลบปิดด่านรักษาตัวอยู่ที่นี่ ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจงขุยจะไม่เลว ถึงกับยินดีออกจากด่านมาชั่วคราว ดังนั้นปราณมรรคาปณิธานกระบี่บนร่างก่อนหน้านี้ถึงได้เปิดเผยออกมา นั่นคือลางของจิตแห่งมรรคาที่ไม่หยุดนิ่ง ขอบเขตที่ยังไม่มั่นคง
เมื่อครู่ตนถึงได้ยอมขยับไปหนึ่งก้าว หัวเราะแสดงการยอมอ่อนข้อให้
เจ้าอ้วนมองแม่นางน้อยแล้วเริ่มวางมาดผู้อาวุโส ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าเจ้ารู้จักจงขุยมาตั้งแต่เด็กแล้วหรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ
ฟ้าดินสภาพจิตใจของผีตนนี้ค่อนข้างซับซ้อน มีทั้งศพเกลื่อนพื้น สภาพน่าสังเวชในโลกมนุษย์ที่ผู้คนอดยากหิวโหยเดินทางไกลนับพันลี้ แล้วก็มีภาพแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่พื้นดินอุดมสมบูรณ์ เสียงร้องรำทำเพลงรื่นเริงอยู่ในโลกแห่งสันติสุข ยังมีชุดคลุมมังกรที่คนผอมคนหนึ่งสวมแล้วตัวหลวมโพรก เขานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ร่ำสุราอยู่กับตัวเอง เหม่อมองประตูใหญ่แต่ละบานที่เปิดอ้า จากเหนือไปใต้ สายตาไล่มองทอดยาวออกไปเรื่อยๆ
อวี่จิ่นทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง พยักหน้าเอ่ยว่า “เวลาเพียงชั่วพริบตาก็โตเป็นสาวแล้ว”
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก
อวี่จิ่นหรือจะรู้พรสวรรค์ที่พิเศษของเผยเฉียน เจ้าอ้วนรู้แค่ว่าแม่นางน้อยที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ใช้นามแฝงว่า ‘เจิ้งเฉียน’ คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่ง มีชื่อเสียงไม่น้อยบนภูเขาของไพศาล
แต่กลับไม่รู้ว่าสามคนที่ตัวเองเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ แท้จริงแล้วคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง คนหนึ่งเป็นเซียนเหริน คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด
ยิ่งไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นเท่ากับเป็นซิ่วหู่ครึ่งตัวของแจกันสมบัติทวีป
แล้วก็ไม่รู้ว่าคนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวเคยดื่มเหล้ากับเจ้าอารามผู้เฒ่า เมื่อหมื่นปีก่อนชอบถามกระบี่กับผู้แข็งแกร่งเป็นที่สุด
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่อวี่จิ่นออกมาจากสุสานใต้ทะเล คนที่เขาอยากเจอมากที่สุดก็คือซิ่วหู่ชุยฉานราชครูต้าหลี คนที่เขาเต็มใจมองเป็นคนร่วมเส้นทางครึ่งตัว
แม่น้ำภูเขาที่ยิ่งใหญ่จึงจะเป็นสาวงามที่สุด กองทัพม้าเหล็กย่ำกีบเท้าสะเทือนพื้นดินดุจเสียงอสนีบาต เหยียบย่ำไปทั่วขุนเขาสายน้ำ ก็คือการแสดงความโปรดปรานอย่างหนึ่ง (ความโปรดปรานนี้หมายถึงฮ่องเต้ที่ให้ความโปรดปรานนางสนม)
จงขุยพลันเอ่ยว่า “ยื่นมือมา”
เฉินผิงอันส่งมือข้างหนึ่งไปให้
จงขุยจับชีพจรเขาเหมือนหมอ
ทันใดนั้นฟ้าดินเกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติ กลางอากาศเหนืออาณาเขตของภูเขาเซียนตูมีเมฆทะมึนมารวมตัวกัน ทะเลเมฆกลิ้งหลุนๆ ตลบอบอวล รวมตัวกันหนาชั้น บดบังแสงแดด พริบตาเดียวเวลากลางวันก็เหมือนกลายเป็นกลางคืน
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ไปที่นั่น
ในเมื่อจงขุยเป็นสหายของคุณชายบ้านตน ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อใจได้
เผยเฉียนเป็นกังวลอย่างมาก
ชุยตงซานพลันสะบัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ เรียกกระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งออกมาลักษณะคล้ายรวงข้าว มันพุ่งทะยานไปว่องไวดุจสายรุ้ง แสงกระบี่หมุนวนอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว วาดวงกลมสีทองขนาดใหญ่ยักษ์วงหนึ่ง ชั่วพริบตาก็คล้ายจะกักกันภาพเหตุการณ์ผิดปกตินั้นเอาไว้ไม่ให้มันแพร่งพรายความลับสวรรค์ออกไป
หนังตาของอวี่จิ่นกระตุกริกๆ เด็กหนุ่มชุดขาวที่ชื่อว่าชุยตงซานผู้นี้ถึงกับเป็นเซียนเหรินที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำ หรือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่?
ดังนั้นอวี่จิ่นจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ความเข้าใจผิดบางอย่างไม่สู้ปล่อยให้ลอยหายไปตามสายลมดีไหม?”
ทั้งอนาถทั้งขมขื่น ใต้หล้านี้มีผีน่าสงสารที่ชะตาชีวิตรันทดยิ่งกว่าตนอีกไหม?
ทุกเรื่องมีแต่ยากกับยาก ต้องตกเป็นรองคนอื่นอยู่ร่ำไป