กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 900.5 เพื่อนบ้าน
อวี๋ฟู่ซานขมวดคิ้ว “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
เป็นอีกคนที่ไม่อ่านรายงานขุนเขาสายน้ำ
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีเรื่องแบบนี้จริง”
อวี๋ฟู่ซานถาม “เป็นคนไม่ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น เจ้าต้องการอะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง”
อวี๋ฟู่ซานครุ่นคิด ก่อนจะถามด้วยแววตาประหลาด “พวกเจ้าเป็นคู่รักกันหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นแค่สหาย”
อวี๋ฟู่ซานร้องอ้อหนึ่งที พลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คือว่าที่คู่บำเพ็ญเพียรสินะ?”
เผ่าน้ำก่อกำเนิดเฒ่าที่มีเวทคงความเยาว์ผู้นี้จุ๊ปาก “นี่ถือว่าฉวยโอกาสปล้นตอนไฟไหม้ ซ้ำเติมคนล้ม รุกรานตอนคนอื่นอ่อนแอหรือไม่?”
จากนั้นเถ้าแก่ผู้นี้ก็เอ่ยอีกประโยคที่โหดร้ายกว่าเดิม “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะเป็นบัณฑิตครึ่งๆ กลางๆ ที่สอบไม่ติดสำนักศึกษากระมัง?”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร เรื่องแบบนี้ยิ่งอธิบายก็จะยิ่งเข้าใจผิด
สหายพูดคุยเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงไปไม่ถึงขอบเขตหยกดิบเสียที
เวลาถึงสามพันปีเต็มได้แค่อดทนเลื่อนผ่านจากขอบเขตประตูมังกรมาเป็นขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ก็โชคดีที่หวงอีอวิ๋นใจกว้าง ไม่ได้ถือสาคำล้อเล่นนั้น
ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ตบะขอบเขตก่อกำเนิดของเขา ทั้งยังมิอาจเดินลงน้ำกลายเป็นเจียวได้ เพราะถูกจำกัดอยู่ที่ธรณีประตูก่อกำเนิดที่เป็นรากฐานของมหามรรคา ดังนั้นหากจะพูดถึงระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายก็พูดได้แค่ว่าธรรมดา ธรรมดาอย่างมาก ก่อนหน้านี้หากเย่อวิ๋นอวิ๋นเจ้าอารมณ์กว่านี้สักหน่อย ปลาแบกภูเขาตัวนี้จะไม่จมน้ำตายอยู่ในลำคลองไปเลยหรือ
อวี๋ฟู่ซานถาม “เจ้าเป็นสหายของหวงถิงจริงๆ หรือ?”
ก็จริงนะ ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งจะคู่ควรกับหวงถิงของข้าได้อย่างไร
เฉินผิงอันพยักหน้า “ในอดีตตอนเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่ใบถงทวีป ยังเคยโชคดีได้เจอกับเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิง”
อวี๋ฟู่ซานเงียบงันไม่พูดจา คิดพิจารณาอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า “หากสามารถให้หวงถิงมาหาข้าที่นี่ ข้าก็จะเชื่อเจ้า จากนี้จะจัดการอย่างไร ข้าต้องคุยกับหวงถิงก่อนค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “สหายอวี๋ฟู่ซานทำอะไรหนักแน่นรอบคอบ ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้”
อวี๋ฟู่ซานกำลังจะถามชื่อแซ่และสำนักของอีกฝ่ายก็เห็นว่าอีกฝ่ายหยิบเอาแท่นฝนหมึกที่ทำจากอิฐโบราณของรัชสมัยก่อตั้งแคว้นสกุลอวี๋ชิ้นหนึ่งขึ้นมา หันหน้ามายิ้มถามว่า “ลดห้าส่วนได้หรือไม่?”
อวี๋ฟู่ซานยิ้มถามย้อน “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ห้าส่วน? ทำไมเจ้าไม่แย่งไปเลยล่ะ?
คิดไม่ถึงว่าแขกที่สวมชุดกันฝนจะเริ่มควักเงินจริงๆ
เรือหลากสีลำหนึ่งขยับเข้าใกล้จุดหมาย เย่อวิ๋นอวิ๋นสามารถมองเห็นภูเขาเซียนตูซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นมหาบรรพตเก่าลูกนั้นได้อย่างชัดเจน
นางพลันนวดคลึงหว่างคิ้ว นอกจากเรื่องของถานหรงแล้ว อันที่จริงยังมีเรื่องที่ยากจะเปิดปากพูดยิ่งกว่า ก่อนที่นางจะออกเดินทางได้ไปเยือนจวนวารีของตงไห่ฟู่มารอบหนึ่ง ผลคือการไปครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาไม่เล็ก เหนียงเนียงเทพวารีที่จู่ๆ ก็เกิดเพ้อฝันขึ้นมาคนนั้นงอแงจะให้เย่อวิ๋นอวิ๋นนำกระดาษจดหมายเขียนบทกวีลายน้ำพิมพ์ไม้ ผลงานโดนเด่น น้ำและไม้สง่าเรียบง่าย สีสันดอกไม้ซับซ้อน การพิมพ์ประณีติงดงามอย่างถึงที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการคัดลอกที่สวยงามมาก บอกว่าหากได้พบกับใต้เท้าอิ่นกวานจะต้องให้อีกฝ่ายช่วยขอการลงนามจากเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะมาให้ตนให้จงได้ เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ต่อให้ต้องรออีกเป็นสิบปี หกสิบปีก็ไม่เป็นไร กระดาษจดหมายหลากสีที่เกินไปก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญขอบคุณที่นางมอบให้ใต้เท้าอิ่นกวานก็แล้วกัน
หญิงชราใช้เสียงในใจถาม “เจ้าขุนเขาเย่ ที่ตั้งสำนักของเซียนกระบี่เฉินท่านนี้ค่อนข้างจะ…ขอไปทีเกินไปหน่อยหรือไม่?”
กวาดตามองไปรอบด้าน ไม่ว่าหญิงชราจะมองอย่างไรก็เห็นเป็นสถานที่แร้นแค้นที่ไม่เหมาะจะเอามาเปิดภูเขาก่อตั้งพรรคเลยจริงๆ
ไม่ถือว่าเป็นสถานที่ชัยภูมิดีที่สภาพแวดล้อมช่วยปลูกฝังอบรมกล่อมเกลาความสามารถพิเศษอะไรได้เลยจริงๆ
โชคชะตาภูเขาธรรมดา โชคชะตาน้ำบางเบา ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินก็แค่ดีกว่าคำว่า ‘สถานที่ไร้อาคม’ เล็กน้อยเท่านั้น
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มกล่าว “ปีนั้นผูซานของพวกเรา ต่อให้ไม่อาจถือว่าภูเขาแร้นแค้นน้ำแห้งแล้ง แต่ก็มีสภาพพอๆ กับที่นี่ แต่พวกเราก็ค่อยๆ บริหารจัดการกันไปทีละนิด”
เห็นว่าหวงอีอวิ๋นไม่ยินดีจะพูดอะไรมาก หญิงชราก็ไม่ซักไซ้ต่อ
โอสถทองบางส่วนในสำนักที่ได้บุกเบิกยอดเขาเป็นของตัวเอง คาดว่าภาพบรรยากาศก็น่าจะไม่แพ้ให้กับสถานที่แห่งนี้เลย
เว้นเสียจากว่า…อีกฝ่ายได้ย้ายมหาบรรพต ชักนำแม่น้ำลำคลอง สร้างให้มีจากไม่มี อีกทั้งตอนนี้ยังร่ายเวทคาถาอำพรางตาบางอย่างด้วย?
คนของทางฝั่งภูเขาเชียนตูที่มารับรองแขกของคือเผยเฉียนกับบัณฑิตที่ชื่อว่าเฉาฉิงหล่าง อันที่จริงก่อนหน้านี้เคยเจอกันในเพิงน้ำชาบ้านเกิดตนมาก่อนแล้ว
หญิงชรากลับมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเฉาฉิงหล่างผู้นี้
เพียงแต่ว่าไม่ได้เจอเซียนกระบี่เฉินกับชุยเซียนซือ
การรับรองแขกบนยอดเขามี่เซวี่ยเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่กลุ่มของเย่อวิ๋นอวิ๋นกลับไม่สนใจในเรื่องนี้
ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขาเซวียไหวก็ได้หยั่งเชิงถามเผยเฉียนแล้วว่าทั้งสองฝ่ายจะหาโอกาสถามหมัดกันสักครั้งได้หรือไม่
เผยเฉียนยิ้มเอ่ยว่าต้องถามอาจารย์พ่อก่อน ขอแค่อาจารย์พ่อพยักหน้าตอบตกลงก็ไม่มีปัญหา
หญิงชราหาที่พักให้กับชู่ชู่ได้แล้วก็ไปหาเย่อวิ๋นอวิ๋น บอกกล่าวกับนางว่าตัวเองอยากจะลองไปเดินเที่ยวดูอาณาเขตรอบๆ เสียหน่อย
แน่นอนว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นไม่มีความเห็นต่าง
หลังจากที่หญิงชราออกมาจากยอดเขามี่เซวี่ยแล้วก็อำพรางร่องรอย ร่ายวิชาน้ำแห่งชะตาชีวิตออกเดินทางไกลไปอย่างเงียบเชียบ
มาถึงจุดตัดระหว่างทะเลและพื้นดินแห่งหนึ่ง ใครเล่าจะคิดได้ว่าสถานที่ที่อยู่ติดกับทะเล แต่กลับเป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งตลอดทั้งปีแห่งนี้จะเป็นที่ซ่อนตัวของวังมังกรลำน้ำใหญ่
อาศัยสมบัติลับชิ้นหนึ่งเปิดตราผนึกออกแล้วเดินท่องไปในที่ตั้งเก่าของวังมังกรลำน้ำใหญ่ หญิงชราเห็นของแล้วก็คิดถึงคน หอเรือนงดงามในทุกหนทุกแห่งไม่เหลือพลังชีวิตใดๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะจวนขององค์หญิง ในอดีตเคยครึกครื้นถึงเพียงใด สหายนั่งกันอยู่เต็มห้องโถง เสียงชนแก้วคลอเสียงหัวเราะ แขกที่นั่งอยู่ด้านในมีเซียนน้ำนับไม่ถ้วน ซานจวินมากมายดุจก้อนเมฆ หญิงชรายืนอยู่หน้าประตูมีสีหน้าหม่นหมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางหลั่งน้ำตากับตัวเองเงียบๆ
ในยุคบรรพกาล หลงจวินแห่งสี่มหาสมุทรควบคุมดูแลโชคชะตาน้ำในใต้หล้า เจียวหลงในมหาสมุทรได้ครอบครองกลศ (ภาชนะใส่น้ำเทพมนตร์ของพราหมณ์ ทำด้วยโลหะ ลักษณะคล้ายคนโทมีฝาปิดและพวยอย่างกาน้ำ) ที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของวังมังกร ไปเคลื่อนเมฆโปรยฝนให้บนพื้นดิน หยดน้ำหนึ่งหยดบนฟ้า น้ำฝนหนึ่งฉื่อบนพื้น
ก่อนไปขดตัวนอนพักผ่อนบนหินพักมังกรทั้งหลาย
ทุกสิ่งล้วนกลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว
ฉิวตู๋ไม่ได้ไปค้นหาสมบัติล้ำค่า ตรวจสอบสมบัติมากมายแล้วเอาเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองทันที แต่ยืนเช็ดน้ำตา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตำหนักใหญ่ของหลงจวินลำน้ำใหญ่
หญิงชรายืนอยู่นอกธรณีประตู ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที หญิงชราพลันเงยหน้าขึ้น เห็นว่าบนขั้นบันไดด้านล่างเก้าอี้มังกรมีหญิงสาวอยู่คนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะนั่งอยู่บนขั้นบันได
หญิงชรานึกว่าตัวเองตาฝาดไป หรือบางทีอาจเป็นภาพลวงตาก็เป็นได้ เพียงแต่ว่านาทีถัดมา เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริงๆ หญิงชราก็พลันกรีดร้องเสียงแหลม ตวาดอย่างเดือดดาล “ใครกล้าบุกเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามของวังมังกร?!”
ทว่าครู่ต่อมาหญิงชราก็ให้รู้สึกเจ็บปวดเสียใจ
สตรีผู้นั้นกระตุกมุมปาก “ประโยคนี้ไม่ควรเป็นข้าที่ต้องถามเจ้าหรอกหรือ?”
นางหลุบตามองมาจากที่สูง สีหน้าเย่อหยิ่ง ดวงตาสีขาวหิมะคู่นั้นเต็มไปด้วยแววดูแคลน พอจะมองเห็นเส้นแสงสีทองไหลวน ประหนึ่งมีเจียวหลงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่ว่ายอยู่ในบ่อโบราณลึกสองบ่อ
ฉิวเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดตัวหนึ่ง ตะโกนได้เสียงดังขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าพละกำลังเต็มเปี่ยม ทำให้นางอดนึกถึงพวกสตรีปากยาวที่อยู่ข้างบ่อน้ำของเมืองเล็กในอดีตไม่ได้
หญิงชราขมวดคิ้ว “ข้าผู้อาวุโสคือคนเก่าแก่ของวังมังกรลำน้ำใหญ่แห่งนี้ แม่นางคือ?”
ในยุคบรรพกาล วังมังกรในใต้หล้ามีวังมังกรสี่สมุทรที่ได้รับความเคารพสูงสุด นอกจากนี้ยังมีวังมังกรลำน้ำใหญ่อีกสิบแปดแห่ง ส่วนแม่น้ำลำคลองหรือทะเลสาบที่อยู่บนบกจำนวนไม่น้อยต่างก็มีอักษรคำว่าฉางต่อท้าย เช่นเถียนถังฉาง ซีหูฉาง เป็นต้น
ระดับขั้นเข้มงวด มิอาจล้ำเส้น มีการแบ่งแยกสูงต่ำชัดเจน พูดถึงแค่เรื่องเสามังกรก็มีข้อพิถีพิถันข้อใหญ่ แบ่งออกเป็นแกะสลักมังกรห้ากรงเล็บ สี่กรงเล็บ สามกรงเล็บ นอกจากนี้สีสันของเสามังกรก็มีเกณฑ์ปฏิบัติที่ชัดเจน อิงตามใกล้ไกลใกล้ชิดห่างเหิน และยังมีการแบ่งเป็นสีทอง สีแดงเข้ม สีเขียวมรกต สีดำ ฯลฯ อย่างมังกรพันเสาในตำหนักใหญ่แห่งนี้ก็คือสี่กรงเล็บสีมรกต นี่หมายความว่าเจ้าของวังมังกรแห่งนี้ แม้จะมีฐานะสูง แต่ชาติกำเนิดไม่เที่ยงตรง ไม่ใช่ทายาทสายตรงของสายหลงจวินสี่มหาสมุทรในอดีต
หญิงสาวผู้นั้นอ้าปากหาว เอ่ยหยอกล้อว่า “เจ้าก็พูดเองแล้วว่าเป็นคนเก่าแก่ แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ มาขโมยของหรือ?”
ฉิวตู๋หน้าแดงก่ำ รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเล็กน้อย
สตรีประหลาดที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ทว่ากลับสามารถเข้ามาในวังมังกรลำน้ำใหญ่ได้ ทั้งไม่ลงมือยึดครองเอาสมบัติเก่าเก็บทั้งหลายไป แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอารมณ์มาสนทนาพาทีกับหญิงชราด้วย
แม้นางจะไม่อาจรับหน้าที่เป็นผู้ครองชะตาน้ำบนผืนดิน ถึงขั้นที่ว่ายังเป็นได้แค่หนึ่งในสุ่ยจวินของสี่สมุทรเท่านั้น แต่ทางฝั่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางได้รับปากนางเรื่องหนึ่ง ที่ตั้งเก่าของวังมังกรในอดีตทั้งหลาย หากก่อนหน้านี้ได้ถูกกองกำลังตระกูลเซียนของแต่ละฝ่ายขุดค้นยึดครองมาเป็นของตนแล้วก็ไม่อนุญาตให้นางพลิกบัญชีเก่าตามไปทวงคืนถึงบ้าน
ขณะเดียวกันวังมังกรที่ยังไม่มีการคลายตราผนึก ยังคงอยู่ในสถานะที่ถูกปิดตาย ไม่ว่าขนาดจะเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าระดับขั้นจะสูงหรือต่ำ
ก็ล้วนเป็นของนางทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่นที่แห่งนี้
อันที่จริงก่อนหน้านี้นางก็เคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เคลื่อนย้ายของสิ่งใดไป
นางแค่เอามันมาทำเป็นหินพักมังกรหลบร้อนตากอากาศแห่งหนึ่งเท่านั้น
คุ้มกันกองกำลังทหารของไพศาลส่งไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เรื่องที่เทพวารีต้องเป็นผู้คุมกัน ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผ่อนคลาย ครั้งนี้ถือว่านางแอบมาพักหายใจหายคอที่นี่ระหว่างทำงานหลวง
ฉิวตู๋เห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นพลันสูดจมูกแล้วเหลือบมองมาทางตนหลายที สุดท้ายนางเท้าคางด้วยมือข้างเดียว คลี่ยิ้ม สีหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “เคยเจอกับความลำบากใหญ่หลวงด้วยน้ำมือของคนประหลาดมากความสามารถบางคนมาก่อนหรือ? ไหนลองเล่ามาสิว่าปีนั้นเจ้าทำความผิดอะไร”
หญิงชราเงียบไม่ตอบ
ไม่ยินดีจะเปิดเผยข้อด้อยของตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่นางเองก็ไม่กล้านินทาว่าร้ายเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ลับหลังด้วย
หญิงสาวจุ๊ปากหัวเราะ “ก็แค่ยันต์ของนักพรตภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นเดียวเท่านั้น แต่กลับกดกระดูกสันหลังของฉิวเฒ่าห้าพันปีตัวหนึ่งให้หักได้แล้วหรือ? กระดูกอ่อนเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงได้วิ่งมาขโมยของบ้านคนอื่นเขา คิดจะเอาสมบัติของวังมังกรไปมอบให้ยอดฝีมือบนภูเขาคนไหนล่ะ? ไหนลองว่ามาสิ หรือว่าจะให้ข้าเดาเองดี?”
นางเลิกคิ้ว แล้วจู่ๆ ก็คล้ายจะเกิดความสนใจขึ้นมา “เป็นเซียนกระบี่ใหญ่เหวยแห่งสำนักกุยหยกที่อยู่ทางทิศใต้? หรือว่าเป็นตู้เจินเหรินแห่งอารามจินติ่งทางทิศเหนือ?”
หญิงชราเห็นว่าอีกฝ่ายพูดจาวางโตก็ยิ่งกลัดกลุ้ม คิดจะหาข้ออ้างสักข้อถอยออกไปจากที่ตั้งเก่าของวังมังกรก่อนแล้วค่อยวางแผนในระยะยาวอีกที
สตรีหรี่ตาลง “ชอบแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้แบบนี้หรือ?”
ฝ่ามือขาวนวลราวหยกข้างหนึ่งตบขั้นบันไดเบาๆ โชคชะตาน้ำบริสุทธิ์สีเขียวมรกตเป็นวงๆ กระเพื่อมออกมาจากในตำหนักใหญ่
ทว่าหญิงชรากลับเหมือนโดนอสนีสวรรค์ผ่าตรงเข้าที่จิตแห่งมรรคา เลือดพลันออกจากทวารทั้งเจ็ด ใช้มือกดหูสองข้าง ลำคอขยับขึ้นลงเล็กน้อย ได้แต่ส่งเสียงอึกอักเท่านั้น
สตรีที่ลงมืออย่างอำมหิตผู้นั้นยิ้มตาหยี “นี่ก็สมใจปรารถนาแล้วไม่ใช่หรือ?”
สตรีเก็บมือมา สะบัดชายแขนเนื้อวางตบลงบนหัวเข่าเบาๆ หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ทายาทเจียวหลงในใต้หล้า อดทนผ่านร้อนหนาวมาได้นานถึงสามพันปี ในที่สุดความขมขื่นก็หมดสิ้นความหวานชื่นมาเยือน แย่งกันข้ามประตูมังกรขึ้นฟ้า จะได้เปลี่ยนจากปลาเป็นมังกร?! ข้าล่ะอยากจะไปยืนบนยอดเขาสูงสุดของประตูมังกรแล้วถามพวกเจ้าแต่ละคนนักว่าตลอดสามพันปีที่ผ่านมา ยากลำบากอย่างไรกันแน่ มีชีวิตที่ไม่ง่ายแบบใดกันแน่ ข้าว่าเจ้าขุนเขาเฉิงแห่งสำนักศึกษาต้าฝู แล้วก็เจียวเฒ่าแห่งถ้ำเฟิงสุ่ยตนนั้นต่างก็มีความสุขกันดี จะใช้คำว่า ‘ทน’ ได้อย่างไร ทนอะไรกัน?”
เห็นว่าหญิงชราหมอบกราบอยู่กับพื้น ร้องโอดครวญคลอด้วยเสียงสะอื้น
สตรีเอ่ยอย่างเดือดดาล “หนวกหู!”
หญิงชราถูกบีบให้ต้องเผยร่างจริง ขดตัวอยู่บนตำหนักใหญ่ หายใจรวยริน เรือนกายของฉิวยาวเจ็ดร้อยจั้งประหนึ่งแบกรับน้ำหนักของห้ามหาบรรพตเอาไว้
สตรีลุกขึ้นยืน เดินลงบันไดมา ยกเท้าเหยียบลงไปบนหน้าผากใหญ่ยักษ์ของฉิวเฒ่า สีหน้าคลุมเครือ “จะยังมาขโมยของอีกหรือไม่?”
ในที่สุดสายตาของหญิงชราที่รู้สึกตัวอย่างเชื่องช้าก็ฉายประกายประหลาดใจ “เป็นเจ้า?!”
หญิงสาวหัวเราะหยัน “นังแก่หูตาพร่าลาย ในที่สุดก็รู้แล้วหรือว่าข้าเป็นใคร?”
ฉิวเฒ่าตื่นเต้นสุดขีด ข่มกลั้นความเจ็บปวด ดวงตาที่โตเหมือนโคมไฟคู่นั้นมีน้ำตาเอ่อคลอ ใช้ภาษาเฉพาะของเผ่าพันธ์เจียวหลงบรรพกาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “บ่าวใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ โชคดีได้พบกับมังกรที่แท้จริง ช่างเป็นความโชคดีมหาศาล แม้ตายไปก็ไม่เสียดาย…”
จื้อกุยกลับไม่รับน้ำใจ เพิ่มแรงที่ฝ่าเท้าลงไปอีก “ถ้าอย่างนั้นก็ไปตายซะ”
ฉิวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางถึงกับไม่มีความเจ็บแค้นเสียดายอะไรจริงๆ ทั้งไม่วิงวอนขอชีวิต และในสายตาก็ไม่มีความไม่ยินยอมใดๆ กลับกันบนศีรษะมหึมาของฉิวเฒ่ายังมีรอยยิ้มให้เห็น
จื้อกุยหรี่ตาลง “พอตราผนึกคลายออกก็รีบร้อนมาขโมยของที่นี่ พูดมาเถอะ คิดจะเอาไปขอความดีความชอบกับเซียนซือบนภูเขาคนใด ส่ายหางขอความเมตตาเพื่อแลกมาด้วยเส้นทางในอนาคตอย่างนั้นรึ?”
ฉิวเฒ่าตอบตามสัตย์จริง มิกล้าปิดบัง
จื้อกุยถาม “ชุยตงซาน? ภูเขาเซียนตู? อยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไกลแค่ไหน?”
ตรงธรณีประตูของตำหนักใหญ่มีคนช่วยตอบคำถามให้ “ไม่ถือว่าไกล”
จื้อกุยเงยหน้าขึ้นมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าประตู
สีหน้าของนางเป็นปกติ แต่แท้จริงแล้วกลับใจสั่นเล็กน้อย เหตุใดอยู่ใกล้ในระยะประชิดเช่นนี้ ตนถึงสัมผัสลมปราณของอีกฝ่ายไม่ได้เลย?
ใช่แล้ว เป็นชายใจหญิงที่ชอบเครื่องประทินโฉมคนนั้น!
ถึงได้ทำให้มหามรรคาของเจ้าหมอนี่ใกล้ชิดกับน้ำถึงเพียงนี้
เหอะ เหมือนวิญญาณตามติดไม่ยอมไปผุดไปเกิดจริงๆ ทุกวันนี้ก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกันครึ่งตัวอีกแล้วไม่ใช่หรือ
คนผู้นั้นยืนอยู่นอกประตูตลอด เอ่ยว่า “แค่พอสมควรก็พอแล้ว”
จื้อกุยลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยกยังเท้าข้างที่เหยียบอยู่บนหน้าผากของฉิวเฒ่ามา หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ข้าก็นึกว่าใครกัน ถึงได้มีบารมีขุนนางใหญ่โตถึงเพียงนี้”
ฉิวเฒ่าไม่มีการสยบกำราบบนมหามรรคาที่ดุจพลานุภาพสวรรค์ไพศาลส่วนนั้นแล้วก็รีบคืนร่างเป็นมนุษย์ ลุกขึ้นยืนโซเซ หันไปมองทางนอกประตู ถึงกับเป็นเซียนกระบี่เฉินท่านนั้น?
บทสนทนาต่อมาก็ยิ่งทำให้หญิงชราทั้งอกสั่นขวัญผวา ทั้งสับสนมึนงง
“ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านขนาดนี้เชียว?”
“นั่นก็ต้องมีเรื่องชาวบ้านให้ยุ่งเสียก่อนถึงจะยุ่งได้”
“เมื่อก่อนเจ้าไม่ได้เป็นแบบนี้นะ”
“แต่เจ้ากลับไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย”
จากนั้นคนในประตูกับคนนอกประตู เพื่อนบ้านในอดีตต่างก็พากันเงียบงัน
ทว่าชั่วพริบตานั้นหญิงชรากลับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เข้มข้นขุมหนึ่ง ถึงกับทำให้ฉิวเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดรู้สึกหายใจไม่ออก
มังกรแท้จริงบนโลกที่เป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง?
กับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง?
ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆ นึกจะแตกคอก็แตกคอกันอย่างนี้?