กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 901.1 หนึ่งกระบี่ข้ามทวีป
ซากปรักวังมังกรลำน้ำใหญ่ในใบถงทวีป สตรีชุดขาวอยู่ด้านในตำหนัก คนชุดเขียวด้านนอกประตู
เพื่อนบ้านสองคนกลับมาพบเจอกันอีกครั้งในต่างบ้านต่างเมือง แต่กลับไม่มีบรรยายกลมเกลียวของคนบ้านเดียวกันที่มาเจอกันต่างถิ่นเลยแม้แต่น้อย
บนผนังชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ยอดเขาจี๋หลิงยอดเขาหลักของภูเขาลั่วพั่วแห่งแจกันสมบัติทวีป กระบี่ยาวที่อยู่ในฝัก ปราณกระบี่ประหนึ่งมังกรบนฝาผนังที่กำลังบินทะยาน
ทันใดนั้นแสงกระบี่พลันเปล่งวาบ กระบี่ยาวออกจากฝัก เพียงชั่วพริบตาก็ออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง พุ่งออกจากอาณาเขตขุนเขาเหนือของต้าหลีในเสี้ยววินาที
ถึงขั้นที่ว่าซานจวินเว่ยป้อไม่ทันช่วยอำพรางภาพบรรยากาศของปราณกระบี่ให้ด้วยซ้ำ โชคดีที่กระบี่ยาวแหวกอากาศไปอย่างว่องไว ผู้ฝึกตนบนโลกได้เห็นแค่แวบเดียวก็มองไม่เห็นร่องรอยใดๆ อีก
เว่ยป้อยืนอยู่บนยอดเขาภูเขาพีอวิ๋น อดเป็นกังวลไม่ได้ จึงมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว มาหาจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนแค่ยิ้มให้คำตอบที่เรียบง่ายว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ผ่านไป
เว่ยป้อพอจะวางใจลงได้เล็กน้อย ก็จริงนะ ต่อให้อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้างกายเฉินผิงอันก็มีทั้งชุยตงซาน แล้วยังมีอาจารย์เสี่ยวโม่อยู่ด้วย
ในตำหนักหลักของวังมังกรลำน้ำใหญ่ คราวก่อนที่อยู่ในเพิงน้ำชาของแม่น้ำชื่อหลิน ฉิวตู๋มองขอบเขตที่แท้จริงของเซียนกระบี่ชุดเขียวไม่ออก หญิงชราแค่อาศัยความรู้สึกคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ในเมื่อกล้าคุมเชิงกับมังกรแท้จริงตัวหนึ่ง อีกทั้งพลังอำนาจยังไม่เป็นรองแม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน หรือถึงขั้นอาจเป็นขอบเขตบินทะยานด้วย
ไม่อย่างนั้นอยู่ในที่ตั้งเก่าของวังมังกรซึ่งใกล้กับมหาสมุทรเช่นนี้ ต่อให้เจ้าเป็นเหวยอิ๋งเซียนกระบี่ใหญ่แห่งสำนักกุยหยก เจอกับสตรีที่ชื่อว่าหวังจูผู้นี้ ขอแค่ไม่เปลี่ยนสถานรบ แพ้ชนะก็ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้ว
จื้อกุยยิ้มตาหยีถามว่า “ยายแก่ หากข้าตีกับเซียนกระบี่เฉินขึ้นมาจริงๆ เจ้าคิดจะช่วยใคร?”
หญิงชราตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าผู้อาวุโสรับคำสั่งจากมังกรที่แท้จริง ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะไม่เกี่ยงแม้แต่คำเดียว”
หากชู่ชู่สามารถติดตามมังกรที่แท้จริงไปฝึกตนได้ ก็จะมีความหวังบนมหามรรคา อนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด
แม่นางน้อยของบ้านตนมีคุณสมบัติในการฝึกตนดีเยี่ยม หากสามารถฝึกฝนคาถาน้ำไปได้ถึงขีดสุด ในอนาคตอย่าว่าแต่ก่อสำนักตั้งพรรคเลย ต่อให้เดินไปถึงยอดเขาของไพศาลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ก็เหมือนอย่างฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ที่ผู้คนให้การยอมรับว่าเวทอัคคีของเขาเป็นอันดับหนึ่งในโลก ก็สามารถสยบกำราบให้ตั้นตั้นฮูหยินที่เป็นขอบเขตบินทะยานเหมือนกันได้แต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวซ่อนตัวอยู่ในหลุมน้ำลู่เท่านั้นไม่ใช่หรือ
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
คนหนึ่งกล้าถาม คนหนึ่งก็กล้าตอบจริงๆ
พวกเจ้าเล่นเป็นเด็กขายของกันอยู่หรือไร
แต่หญิงชรากลับไม่มีจิตสังหารใดๆ
ถูกยันต์ของเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์กักขังมานานหลายปี เป็นเหตุให้ฉิวเฒ่าตัวนี้ทั้งไม่มีปณิธานที่จะก่อตั้งสำนัก แล้วก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะพิสูจน์มรรคา การกระทำทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อแม่นางน้อยคนนั้นมากกว่า
สรรพชีวิตที่มีสติปัญญา ต่างก็มีธรรมชาตินิสัยของตัวเอง ซึ่งคุณสมบัติเด่นมากมายของเผ่าพันธ์เจียวหลงจะเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ
จื้อกุยยืนอยู่เชิงบันไดล่างสุด เหลือบตามองฉิวเฒ่าตัวนั้น
หญิงชราผู้นี้เหมือนสตรีลิ้นยาวของบ้านเกิดที่มาตักน้ำยิ่งนัก แข็งนอกอ่อนใน หญ้ายอดกำแพงเอนไหวไปตามสายลม
ดังนั้นยิ่งมองจึงยิ่งรู้สึกใกล้ชิดสนิทใจ
จื้อกุยพลันหันไปมองมุมหนึ่ง จิตแห่งมรรคาสั่นสะท้านเล็กน้อย
นางขยับเบนสายตามองไปยังเฉินผิงอันที่อยู่นอกตำหนักใหญ่ด้วยสายตาเยียบเย็น
หากจะบอกว่าปราณสังหารของนางก่อนหน้านี้เข้มกว่าจิตสังหาร ถ้าอย่างนั้นตอนนี้จิตสังหารก็เข้มกว่าปราณสังหารแล้ว
ความเคียดแค้นที่อยู่ในใจนางเหมือนวัชพืชที่ลุกลามขยายเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ไร้เหตุผลให้อธิบาย
ราวกับกำลังบอกว่า แม้แต่เจ้าก็ยังคิดจะฆ่าข้าหรือ?!
เฉินผิงอันที่อยู่นอกประตูกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
จื้อกุยสีหน้าเขียวคล้ำ หัวเราะเย็นชา หันหลังให้ประตูใหญ่ เดินขึ้นบันไดไปช้าๆ มาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้มังกรตัวนั้น นางหันตัวกลับ เอามือกดลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้
เนื่องจากซากปรักวังมังกรแห่งนี้อยู่ในสถานะกึ่งๆ เปิดประตู แม้แต่ฉิวตู๋ก็ยังสัมผัสได้ถึงปราณยิ่งใหญ่โอฬารที่อยู่ ‘นอกประตู’ หญิงชราหวาดผวาพรั่นพรึง ตกใจจนหน้าเผือดสี
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ในยุคบรรพกาลที่เจียวหลงบนโลกทำหน้าที่โปรยฝนลงบนพื้นดินตามกฎ ตอนที่หญิงชรายังมีหน้าที่เป็นหมัวมัวสอนมารยาทให้กับที่แห่งนี้ วังมังกรลำน้ำใหญ่เคยเจอกับคลื่นลมครั้งหนึ่ง มีเซียนกระบี่กลุ่มหนึ่งจับมือกันมาถามกระบี่ที่ลำน้ำใหญ่
เพียงแต่ว่าการถามกระบี่ที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามครั้งนั้น โชคดีที่หลงจวินแห่งมหาสมุทรบูรพาปรากฏตัวด้วยตัวเอง พยายามไกล่เกลี่ยให้อย่างสุดความสามารถ จึงเป็นฟ้าร้องดังฝนตกเบา ทั้งสองไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย
คนชุดเขียว แซ่เฉิน
บุคลิกอบอุ่นอ่อนโยน ลงมืออำมหิตเด็ดขาด
ในอดีตก็มีเซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อคนหนึ่ง สวมชุดเขียวพกกระบี่ อยู่ๆ ก็เผยกายขึ้นมาบนโลกของไพศาล ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ รู้แค่ว่าก่อนศึกพิฆาตมังกร คนผู้นี้เคยอาศัยหนึ่งคนหนึ่งกระบี่รับกระบี่จากผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งในถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของสู่โบราณ นับแต่นั้นมาโชคชะตาวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปก็ทรุดลงอย่างไม่มีวันฟื้นคืนมาได้อีก
หญิงชราพลันหน้าซีดขาว เอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าคือคนพิฆาตมังกร?!”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
จื้อกุยจุ๊ปากพูดกลั้วหัวเราะ “เหมือนกับนิสัยยามลงมือทำเรื่องต่างๆ ของเจ้าจริงๆ”
มักจะต้องระมัดระวัง ระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ที่มากมหาศาล หวังเพียงว่าจะไม่ทำความผิดก็พอ
คนปกติหากร่ำรวยสูงศักดิ์แล้วไม่กลับบ้านเกิดก็เหมือนคนสวมชุดแพรเดินยามค่ำคืน
แต่เพื่อนบ้านที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ร่ำรวยขึ้นมากะทันหันแต่กลับไม่ทำให้เพื่อนบ้านตกตะลึง
อันที่จริงก่อนที่ปราณกระบี่ขุมนั้นจะขยับเข้ามาใกล้วังมังกรลำน้ำใหญ่ นางก็พอจะมองเบาะแสออกแล้ว
เฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นแค่ยันต์หุ่นเชิดแผ่นหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็เพิ่มยันต์ยุคบรรพกาลหลายชนิดที่หายสาบสูญไปนานแล้วเข้าไป
ก็เหมือนกับค่ายกลยันต์ที่ผ่านการปลุกเสกชั้นแล้วชั้นเล่า
ร่างจริงกลับอยู่นอกวังมังกร
มิน่าเล่าถึงได้ไม่มีกลิ่นอายแห่งชีวิต อาศัยสิ่งนี้มาปิดบังความลับ ปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร บวกกับที่มหามรรคาของเขาใกล้ชิดกับสายน้ำ รวมถึงวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินสามารถสกัดกั้นฟ้าดินเล็กได้ สุดท้ายจึงทำให้ตัวแทนนั้นแฝงกายเข้ามาในที่แห่งนี้ได้โดยที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็น
แล้วก็จริงดังคาด มีคนชุดเขียวอีกคนพกกระบี่พลิ้วกายเข้ามายังที่แห่งนี้
เป็นเฉินผิงอันสองคนที่ปรากฏกายพร้อมกัน
ฝ่ายหลังยื่นสองนิ้วประกบกัน เรือนกายของฝ่ายแรกก็สลายหายไป กลายเป็นกระบี่จิ๋วเล่มหนึ่งที่เป็นมายาเลื่อนลอยคล้ายสายลมวสันต์ฤดู
เฉินผิงอันเก็บจันทร์ในบ่อเล่มนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ดวงจิตเมล็ดงาหวนคืนสู่ร่างจริง ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ปาดค่ายกลยันต์ทับซ้อนที่อยู่บนกระบี่บินทิ้งไป
วิชาอภินิหารสายยันต์ของเฉินผิงอันวิชานี้มาจากความคิดสมมติบางอย่างของสหายรักหลิวจิ่งหลง ในฐานะเจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย หลิวจิ่งหลงนั้นเป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ แล้วก็เป็นทั้งอาจารย์ค่ายกล
จื้อกุยสีหน้ามืดทะมึน “เหตุใดถึงคลายพันธะสัญญาโดยพลการ?”
เฉินผิงอันคร้านจะตอบคำถามประเภทนี้
เจ้าผูกพันธะสัญญาโดยไม่บอกข้า ข้าคลายพันธะสัญญายังต้องถามเจ้าด้วยหรือ?
จื้อกุยโมโหไม่น้อย เพียงแต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มหวาน เพราะหวนนึกถึงเรื่องราวมากมายในอดีต
เด็กบ้านนอกขาโคลนของตรอกหนีผิงผู้นี้ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นคนแปลกหน้า
ปีนั้นซ่งจี๋ซินถูกเฉินผิงอันทำให้โมโหจนควันแทบผุดออกจากทวารทั้งเจ็ด คนวัยเดียวกันสองคนมีกำแพงชั้นหนึ่งกั้นขวาง มักจะเป็นซ่งจี๋ซินที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงเอาเฉินผิงอันมาแก้เบื่อหา ทั้งท้าทาย ทั้งเหน็บแนม ถ้อยคำโหดร้ายเจ็บแสบเป็นกระบุงถูกโยนเข้าใส่
บ้านที่อยู่ติดกันแทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง นี่กลับทำให้ซ่งจี๋ซินอัดอั้นเป็นทบทวี ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเฉียบคม แค่การเงียบงันก็ทำให้ซ่งจี๋ซิน ‘ปล่อยหมัดรัวๆ แต่กลับต่อยไม่โดนอะไร’ ได้แล้ว
อย่างมากสุดเฉินผิงอันก็แค่แสดงสีหน้าแววตา หรือบางครั้งก็เอ่ยประโยคไม่เจ็บไม่คันมาประโยคหนึ่ง
ก็สามารถทำให้ซ่งจี๋ซินสะอึกอึ้งพูดไม่ออก หลายครั้งเกือบจะเต้นแร้งเต้นกา หมายจะปีนกำแพงไปต่อยตี สองมือกำเป็นหมัดแน่นจนเส้นเลือดเขียวปูดโปน แต่กลับทำอะไรไม่ได้ หากจะพูดถึงการต่อยตี นับตั้งแต่เล็กจนโตซ่งจี๋ซินก็ไม่เคยมีความมั่นใจว่าจะงัดข้อกับเฉินผิงอันได้จริงๆ
หรือหากว่าเฉินผิงอันถูกคำพูดของซ่งจี๋ซินทำให้รำคาญใจ เขาก็จะพูดประโยคหนึ่งว่า ตนเป็นลูกศิษย์ของเตาเผา เงินเดือนเดือนหนึ่งมีมากน้อยแค่ไหน พอถึงช่วงปลายปีก็ซื้อกลอนคู่ไม่ได้
แต่ประโยคที่เรียบง่ายเช่นนี้กลับมีความนัยแฝงอยู่มากมาย แน่นอนว่าย่อมต้องทำให้ซ่งจี๋ซินที่ฉลาดเกินวัยคิดจินตนาการไปไกล ง่ายที่จะคิดมาก จากนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าทิ่มแทงใจ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันกำลังจะบอกว่าเจ้าซ่งจี๋ซินแม้จะมีเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ แต่ข้าอาศัยความสามารถของตัวเองหาเงินมาได้ใช่หรือไม่ หรือหากคิดให้มากกว่านั้นก็เหมือนเป็นการบอกเตือนซ่งจี๋ซินลับๆ ซ้ำไปซ้ำมาว่าเจ้าซ่งจี๋ซินคือบุตรนอกสมรสของขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผา ดังนั้นเทศกาลชิงหมิงจึงไม่ต้องไปที่สุสาน เงินทั้งหมดที่เจ้ามีล้วนหล่นลงมาจากฟ้า…
ตอนนั้นจื้อกุยก็รู้สึกแล้วว่าเพื่อนบ้านน้ำเต้าตันผู้นี้ก็แค่อยากจะเป็นคนดีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นขอแค่เขายินดีเปิดปากด่ากับคนอื่น ไม่แน่ว่าหญิงหม้ายของตรอกหนีผิงและยายหม่าของตรอกซิ่งฮวาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินผิงอันได้
จื้อกุยยิ้มถาม “เจ้าไม่ใช่คนที่รักศักดิ์ศรีหน้าตาเสียหน่อย ในเมื่อขอบเขตถดถอยแล้วไยต้องทำเป็นอวดเก่งด้วยเล่า?”
เฉินผิงอันถือเย่โหยวไว้ในมือ ก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูมาในตำหนัก มองเสามังกรพวกนั้นในระยะประชิด พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก่อนหน้านี้อยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี มีผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินบอกว่าในเมื่อราชครูไม่อยู่แล้ว ไม่สู้ควรทำอย่างไรอย่างไร ไม่ทันระวังถูกข้าไปได้ยินเข้า จุดจบจึงดีมากเป็นพิเศษ”
จื้อกุยเบ้ปาก “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเขาจริงๆ หรือไร?”
คนที่สามารถควบคุมนางได้ ไม่อยู่แล้ว
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองข้ามขอบเขตบินทะยานของจื้อกุยไปอย่างสิ้นเชิง ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
จื้อกุยพลันหัวเราะหยัน “ถึงกับพาผู้ช่วยมาด้วยหรือนี่?”
เฉินผิงอันยกกระบี่ยาวในมือขึ้น มือซ้ายปาดไปบนตัวกระบี่เบาๆ ตัวกระบี่ใสสะอาดมองดูคล้ายน้ำฤดูใบไม้ร่วงคล้ายกระจก
ผู้ครองกระบี่มองสบตามันประหนึ่งจอกแหนล่องลอยเต็มน้ำฤดูใบไม้ร่วง
จื้อกุยมองมือที่ถือกระบี่ของเฉินผิงอัน นางพลันยืดแขนบิดขี้เกียจ อ้าปากหาว คล้ายกับว่าอารมณ์ดีขึ้นในบัดดล
จิตใจของสตรีดุจเข็มใต้มหาสมุทรลึก
สีหน้าของฉิวตู๋ปั้นยาก
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าพวกเขาคือศัตรูคู่แค้นที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อน?
คงไม่ใช่ว่าบุรุษลุ่มหลงสตรีแค้นเคือง เคยมีความรักความแค้นที่พัวพันตัดกันไม่ขาดหรอกกระมัง?
จื้อกุยใช้เสียงในใจถาม “ทุกวันนี้ข้ามีสถานะเป็นสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพาแล้ว ยังต้องถูกคนเลี้ยงมังกรที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นมาตามตอแยอีกหรือไร?”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ย “แน่นอน พวกเขาแค่รอให้เจ้าทำผิดเท่านั้น”
จื้อกุยเดินลงบันไดมา เปิดปากยิ้มถาม “มาคุยเล่นกันหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หมุนตัวเดินนำไปทางประตูของตำหนักใหญ่ก่อน
จื้อกุยใช้นิ้วคีบชุดคลุมตัวยาว วิ่งเหยาะๆ ก้าวเร็วๆ ตามไป
ทิ้งไว้เพียงหญิงชราที่มองตาค้าง
เดินออกมาจากตำหนักใหญ่แล้ว จื้อกุยกยิ้มถาม “ตั้งใจมาหาข้าหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่บังเอิญเท่านั้น การที่ข้าติดตามมาครั้งนี้เพราะกังวลว่าหมัวมัวเฒ่าที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวจะถูกเจ้าคิดบัญชีย้อนหลัง
ครั้งนี้ฉิวตู๋ได้หวนกลับมายังสถานที่เดิมที่เคยอยู่ คิดจะมาเลือกเอาสมบัติที่อยู่ในวังมังกรไป ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์อะไร แต่หากถูกจื้อกุยรู้เข้า นางต้องได้รับผลที่ตามมาแน่
นอกจากจะรู้สัญญาระหว่างศาลบุ๋นแผ่นดินกลางกับจื้อกุยแล้ว เฉินผิงอันยิ่งรู้นิสัยของเพื่อนบ้านในอดีตผู้นี้ดี จื้อกุยจะต้องอาฆาตแค้นอีกฝ่ายแน่นอน ปีนั้นในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของบ้านเกิดมีเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมากมายที่นางเป็นฝ่ายไร้เหตุผล จื้อกุยก็ยังคิดเล็กคิดน้อย จดจำทุกเรื่องไว้ขึ้นใจ แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่ถือเป็นเรื่องที่นางมีเหตุผลเต็มเปี่ยม ถึงเวลานั้นหากจื้อกุยลงมือกับฉิวตู๋ขึ้นมาก็มีแต่จะไม่รู้หนักเบา
นอกจากนี้ลำคลองม่ายเหอที่อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเฉวียนเคยเป็นลำน้ำหลักช่วงหนึ่งของลำน้ำเก่า เฉินผิงอันกังวลว่าตำหนักปี้โหยวและเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอจะเดือดร้อนกับอุบัติภัยครั้งนี้
เรื่องที่ไม่คาดฝันเพียงหนึ่งเดียวก็คือเฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับนางที่นี่
เวลาหกสิบปีที่บ้านเกิดในอดีต อาจารย์ฉีติดที่สถานะของตัวเองจึงไม่อาจใกล้ชิดสนิทสนมกับนางมากเกินไป
แต่การที่จื้อกุยได้อิสระกลับคืนมา ค่ำคืนที่มีหิมะตกคืนนั้น นางปีนออกจากบ่อโซ่เหล็ก เดินโซซัดโซเซมาถึงตรงหนีผิง จะเป็นการ ‘บกพร่องในการสำรวจตรวจสอบ’ ของอาจารย์ฉีได้อย่างไร?
แน่นอนว่าต้องเป็นการกระทำที่ตั้งใจ