กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 904.2 นกกระเรียนโดดเดี่ยวแห่งฟ้าดิน
หวงเจวี้ยนยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว นางแอบยกเท้าขึ้นแสร้งทำท่าจะถีบอีกฝ่าย
ผลคือเด็กหนุ่มชุดขาวกลับล้มหน้าคว่ำไปบนพื้นเสียงดังตุ้บ เขาหันขวับกลับมาเอ่ยอย่างเดือดดาล “แอบเล่นงานข้าใช่ไหม?! จ่ายเงินมาเลย?!”
หวงเจวี้ยนอ้าปากเหวอ
ซาชิงเองก็รู้สึกเหลือเชื่อมาก
ซิ่วหู่ในปีนั้นเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจสง่างาม
ครั้งแรกที่ไปเยือนทะเลสาบเจี่ยวเยว่ ลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งอย่างชุยฉานผู้นี้ อันที่จริงได้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้านานแล้ว แม้แต่ซาชิงที่ไม่ชอบออกไปข้างนอกก็ยังเคยได้ยินคำวิจารณ์บางอย่างที่ศาลบุ๋นมีต่อชุยฉาน
‘อบอุ่นดุจตะวัน แข็งแกร่งดุจภูผา ดุจภาชนะที่วางอยู่ในศาล’ (ภาชนะที่วางอยู่ในศาลเปรียบเปรยถึงสื่อสำคัญที่ใช้สืบทอดและส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงาม)
แต่สรุปแล้วใครเป็นคนพูดกันแน่ กลับมิอาจรู้ได้ มีการคาดเดาว่าเป็นเจ้าสำนักของศาลบุ๋น แต่ก็มีคนบอกว่าเป็นหลี่เซิ่งที่วิจารณ์เองกับปาก ถึงขั้นที่มีคนบอกว่าคำกล่าวนี้มาจากปากของปรมาจารย์มหาปราชญ์ด้วย!
ใต้ชายคาของศาลาริมน้ำ นั่งลงบนพื้น มีกระดานหมากกางกั้นสุ่ยจวิน กระดานหมากหนึ่งมาถึงช่วงปิดท้าย ฝนฟ้ากระหน่ำเทลงมา สายฟ้าแลบปลาบคลอเสียงฟ้าร้อง คนชุดดำคีบเม็ดหมากสีขาว แสงฟ้าลั่นผ่านริมขอบคิ้ว มือวางเม็ดหมากตาไม่กะพริบ
หลี่เย่โหวหยิบพัดกลมที่วัสดุยอดเยี่ยมอัศจรรย์ออกมาจากชายแขนเสื้อ “เป็นทั้งการชดใช้ แล้วก็เป็นทั้งของขวัญ มอบให้เซียนกระบี่เฉินจะเหมาะสมมากกว่า”
หวงเจวี้ยนเสียดายอย่างสุดแสน
นี่คือของเก่าเก็บในวังที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่ง อีกทั้งเวลาปกติเจ้านายก็รักและถนอมของชิ้นนี้เป็นที่สุด พัดเล่มนี้มีชื่อว่า ‘หลบร้อน’ ความหมายดีเยี่ยม ‘แสงจันทร์เผยไอเย็น พัดล้ำค่าใช้ขับร้อนจึงถูกวางไว้’ เล่าลือกันว่าผู้ครองดวงจันทร์ยุคบรรพกาลท่านนั้นเป็นผู้หลอมมันขึ้นมาเองกับมือ
เพียงแต่ว่าผลัดเปลี่ยนมืออยู่ในโลกมนุษย์ทำให้ระดับขั้นได้รับความเสียหาย ทุกวันนี้จึงเป็นแค่สมบัติหนักบนภูเขาที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนเท่านั้น กุญแจสำคัญคือพัดล้ำค่าเล่มนี้สามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธที่ใช้ในการโจมตีได้ แล้วยังสามารถนำมาสยบขุนเขาสายน้ำ รวบรวมโชคชะตา เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการดูดดึงแสงจันทร์ที่ยิ่งได้รับเงื่อนไขพิเศษ
ชุยตงซานเก็บทั้งสมุดและพัดใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วก็ไม่เอ่ยขอบคุณแม้แต่ครึ่งคำ จู่ๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา ยื่นมือไปประคองไหล่ของหลี่เย่โหว ลุกขึ้นยืนช้าๆ “ก่อนจะมา อาจารย์ได้กำชับกับข้าไว้แค่ประโยคเดียว”
เหตุการณ์ทุกอย่างในวันนี้เป็นอย่างที่อาจารย์คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด! แทบไม่คลาดเคลื่อนเลยสักนิด!
โกรธ? ข้าชุยตงซานต้องโกรธคนที่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือตัวเองด้วยหรือ? ตลกล่ะ
หลี่เย่โหวลุกขึ้นตาม ยิ้มเอ่ย “ข้าล้างหูรอฟังแล้ว”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์บอกแล้วว่าเรื่องของการค้าขาย สภาพราคาตลาดมิอาจถดถอย แต่ภายนอกที่ต้องแสดงให้คนอื่นดูก็ยังต้องทำอยู่บ้าง”
หลี่เย่โหวได้ยินเสียงสายพิณก็รู้ถึงความหมายที่พิณจะสื่อ พลันกระจ่างแจ้งในเสี้ยววินาที กลั้นหัวเราะ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเข้าใจผิดคิดว่าได้ผลประโยชน์แล้วยังเล่นแง่ จึงตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เย่โหวจะใช้วิธีการที่ไม่เปิดเผยร่องรอยทำให้สุ่ยจวินเพื่อนร่วมอาชีพอีกสองท่านรู้ถึง ‘ราคาแท้จริง’ ของการค้าขายระหว่างจวนวารีทะเลทักษิณกับภูเขาลั่วพั่วในครั้งนี้”
หลี่เย่โหวประสานมือคารวะ พอยืดตัวขึ้นแล้วก็ยิ้มเอ่ย “รอให้วันใดใต้หล้าสงบสุขอย่างแท้จริงแล้วค่อยเชิญอาจารย์ชุยไปเป็นแขกที่ทะเลทักษิณอีกครั้ง เล่นหมากล้อม ‘ใต้แสงจันทร์เก้ากระดาน’ เพื่อให้บนโลกมนุษย์มีตำราหมากล้อมน้ำสารทเพิ่มขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง”
ชุยตงซานประสานมือคารวะกลับคืนแล้วก็ยิ้มหน้าทะเล้น “ได้เลยๆ อย่าว่าแต่ประลองหมากล้อมที่จวนวารีทะเลทักษิณเลย ต่อให้จับมือไปพี่เย่โหวบินทะยานไปยังดวงจันทร์ก็ยังไม่มีปัญหา เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้คุณภาพของตำราหมากล้อมจะอยู่ไกลเกินกว่าสถานการณ์หมากเมฆหลากสีได้ติด แต่ตำแหน่งที่พวกเราสองที่น้องประลองหมากกันก็สูงกว่านครจักรพรรดิขาวมากนัก ใช่แล้ว คราวหน้าที่เจอกันไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ชุยแล้ว ฟังแล้วอึดอัดนัก หากเจ้าไม่เรียกข้าว่าตงซานก็เรียกข้าว่าสหาย ‘ถงเกิง’ แล้วกัน”
ทุกวันนี้ชุยตงซานตั้งฉายาให้ตัวเองใหม่ว่า ‘ถงเกิง’
หลี่เย่โหวพยักหน้า เตรียมจะออกไปจากพื้นดินของใบถงทวีปแล้ว
ชุยตงซานถามหยั่งเชิง “ไม่ไปนั่งที่ภูเขาเซียนตูบ้านข้าสักหน่อยจริงหรือ?”
หลี่เย่โหวส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ที่จวนวารีมีธุระมากมาย ไม่สะดวกให้รั้งอยู่บนฝั่งนาน”
หวงเจวี้ยนถามเสียงเบา “เจ้าขุนเขาเฉินเป็นอาจารย์ของท่านได้อย่างไร?”
ชุยตงซานเริ่มรู้สึกทนกับสตรีผมยาวความรู้สั้นผู้นี้ไม่ไหวนิดๆ แล้ว จึงกลอกตามองบน “มีความรู้สูงเป็นอาจารย์ วางตัวเที่ยงตรงเป็นแบบอย่าง ทำไมอาจารย์ของข้าจะเป็นอาจารย์ของข้าไม่ได้ เป็นข้าที่ไม่อาจเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ข้าได้ยังจะเข้าท่ามากกว่า”
หลี่เย่โหวช่วยพูดไกล่เกลี่ย “อันที่จริงหวงเจวี้ยนเลื่อมใสอิ่นกวานอย่างมาก”
หวงเจวี้ยนพยักหน้ารับหนักๆ นี่เป็นความจริง
คราวก่อนที่อยู่สวนกงเต๋อ อิ่นกวานหนุ่มยืนอยู่ข้างกายเหวินเซิ่ง ช่วยอาจารย์ของเขาต้อนรับแขก อาจารย์อายุน้อย ทำให้คนรู้สึกเหมือนได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เด็กหนุ่มชุดขาวรีบขมวดคิ้วทันใด “พี่หญิงหวงเจวี้ยน ข้าผิดไปแล้ว คืนนี้ได้พบเจอกัน หากมีเรื่องใดที่ข้าทำไม่ถูกต้อง หวังว่าพี่สาวจะอภัยให้กัน”
หวงเจวี้ยนปรับตัวเข้ากับกลิ่นอายประหลาดบนร่างของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้จริงๆ คนผู้นี้จะถือว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาเลิศล้ำจนใกล้เคียงปีศาจหรือไม่? ตนคงไม่ถูกอีกฝ่ายอาฆาตแค้นแล้วหรอกนะ? ไม่อย่างนั้นเหตุใด้นายท่านถึงต้องคอยย้ำเตือนนางกับซาชิงอยู่หลายครั้ง? หวงเจวี้ยนยิ่งคิดยิ่งเป็นกังวล จึงเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ถือว่าตอบตกลงแล้ว
หลี่เย่โหวพาคนทั้งสองทะยานลมออกไปจากยอดเขา
ซาชิงหันไปมองด้านหลัง เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ดุจนกกระเรียนเดียวดายแห่งฟ้าดิน กลิ่นอายแห่งมรรคาปลอดโปร่งทั้งสูงส่ง
หลี่เย่โหวคล้ายจะเดาความคิดของผู้ติดตามคนนี้ออกจึงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ผิดแล้ว นั่นคือต้นอู๋ถงแห่งฟ้าดิน เสียงลูกหงส์ไพเราะกว่าเสียงหงส์แก่”
หวงเจวี้ยนเอ่ย “นายท่าน ก่อนหน้านี้ตอนที่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ชุย ข้าไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา”
หลี่เย่โหวถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน “เช่นเดียวกัน”
หวงเจวี้ยนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ยังคงเป็นการอยู่ร่วมกับอิ่นกวานท่านนั้นที่ค่อนข้างผ่อนคลายมากกว่า”
หลี่เย่โหวลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เดิมทีเขาอยากพูดว่า นั่นเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งก็อยู่ด้วย อีกทั้งตอนนั้นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อยู่ที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋น
หากเจ้าเป็นศัตรูกับเขาก็ลองดูเถอะว่าจะยังรู้สึกอย่างนี้อยู่อีกไหม
……
เสี่ยวหลงชิว ภูเขาหลงเหมียนภูเขาบรรพบุรุษ ห่างจากยอดเขาซินอี้ที่เป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ไปไม่ไกล มีถ้ำเทพเซียนที่ประตูปิดสนิทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ บนหน้าผาหินด้านข้างแกะสลักอักษรลี่ซูเป็นคำว่า ‘ฟ้าอีกแห่ง’
หลินฮุ่ยจื่อเจ้าขุนเขา ทุกวันนี้ก็ปิดด่านรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่
นอกประตูถ้ำมีหญิงสาวอยู่สองคน อายุน้อยรูปโฉมงดงาม เรือนกายสะโอดสะองสูงโปร่งประหนึ่งดอกบัวแฝด
รูปร่างหน้าตาของพี่สาวน้องสาวสองคนนี้เหมือนแกะสลักออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ทุกวันนี้พวกนางรับหน้าที่คอยคุ้มครองอาจารย์ เห็นเงาร่างสองเงาพลิ้วกายลงจุดที่ห่างไปไม่ไกล ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ออกเสียงเอ่ยเตือน “อาจารย์อาเฉวียน จางอันดับหนึ่ง ตอนนี้อาจารย์ของพวกเราปิดด่านอยู่”
เฉวียนชิงชิวพาเค่อชิงอันดับหนึ่งเดินทางมาที่นี่ด้วยกัน ตรงเอวพกคันเบ็ดขนาดเล็กอันหนึ่งคล้ายพกกระบี่ ใช้เส้นด้ายสีเงินรัดพันตัวคันเบ็ดเอาไว้เหมือนสีของแสงจันทร์
วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษบ้านตนชิ้นนี้ หนึ่งในวิชาอภินิหารของมันก็คือสามารถมองเป็นข้องราชามังกรกึ่งหนึ่งได้ สามารถใช้ดวงจันทร์ในน้ำมาเป็น ‘เหยื่อล่อ’ ตกเอาพวกเผ่าพันธ์เจียวหลงและเผ่าพันธ์น้ำที่ล้ำค่าหายากมาได้มากมาย เพียงแต่ว่าไม่สามารถใช้เลี้ยงพวกมันได้
ภูเขาลูกหนึ่งที่ได้ครอบครองก่อกำเนิดสองคน ในใบถงทวีปของทุกวันนี้ถือว่าเป็นภูเขาชั้นสูงได้แล้ว อารามจินติ่ง ตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่ทางเหนือของทวีปเดียวกันก็ยังไม่ได้โชคดีเช่นนี้
เฉวียนชิงชิวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่สนใจนังหนูน้อยสองคนที่คุณสมบัติธรรมดาเลยสักนิด เพียงตะโกนออกไปเสียงดังว่า “ศิษย์พี่หญิง บรรพจารย์ลุงมาเยือนสำนักเบื้องล่างของพวกเรานานแล้ว ในฐานะเจ้าขุนเขา หากถ่วงเวลาไว้ไม่ยอมมาพบเจอหน้าเสียทีก็ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรแล้วนะ”
บรรพบุรุษของสำนักเบื้องบนท่านนั้นมีชื่อว่าซือถูเมิ่งจิง ฉายา ‘หลงหราน’
ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มียอดฝีมือมากมายดุจก้อนเมฆ เขาเองก็เป็นเซียนเหรินที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่ง ตระกูลของเขาคือหนึ่งในตระกูลบรรดาศักดิ์ชั้นสูงสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คล้ายคลึงกับสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นของธวัลทวีป หรือไม่ก็สกุลเจียงอวิ๋นหลินของแจกันสมบัติทวีป ตระกูลซือถูแตกกิ่งก้านสาขาไปหลายทวีป นอกจากศาลบรรพชนที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ศาลสายรองสายแยกก็มีจำนวนมากมาย อีกทั้งนอกจากบรรพจารย์ลุงท่านนี้ ในตระกูลซือถูเองก็มีผู้มากความสามารถหลายคน ล่างภูเขามีคนเป็นขุนนาง บนภูเขาเป็นเซียนซือ
ลำพังแค่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนก็มีสองคนแล้ว คนหนึ่งในนั้นยังเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลอมกระบี่ ฆ่าปีศาจอยู่ที่นั่นมานานหลายปี อีกทั้งยังมีชีวิตรอดกลับมายังใต้หล้าไพศาล น่าเสียดายที่ไม่เคยมีความคิดจะก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง
เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ที่ศาลบรรพชนของตระกูลอยู่ที่หลิวเสียทวีปท่านนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับต้าหลงชิวเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นซือถูเมิ่งจิง อย่างมากสุดก็ถือว่าเป็นแค่ญาติห่างๆ อีกทั้งยังขึ้นชื่อว่าอารมณ์ร้าย ในอดีตตอนที่อยู่บ้านเกิดก็มักจะงัดข้อกับผูเหอที่เป็นเซียนกระบี่เหมือนกัน แต่อารมณ์ร้ายยิ่งกว่าเป็นประจำ เคยถามกระบี่กันหลายครั้ง ได้ยินมาว่าทั้งสองคนไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ไล่เลี่ยกัน ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ถูกชะตา ยังคงเกลียดขี้หน้ากัน ไม่เคยดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกันมาก่อน
ในถ้ำไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ
คร้านจะอ้อมค้อมกับศิษย์พี่หญิงอีกต่อไป เฉวียนชิงชิวจึงแสร้งทำเป็นถอนหายใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่า “ตามหลักแล้วศิษย์พี่หญิงก็ควรจะหลีกทางให้คนมีความสามารถคนอื่นได้แล้ว ไม่เหมาะจะแบ่งสมาธิมาสนใจกิจธุระยิบย่อยอีกจริงๆ ไม่สู้ปิดด่านสงบใจรักษาบาดแผลไปตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”
“วันนี้ศิษย์น้องสามารถรับปากท่านเรื่องหนึ่งได้ หกสิบปีให้หลัง ไม่ว่าถึงเวลานั้นศิษย์พี่หญิงจะออกจากด่านมาแล้วหรือยัง จะได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตก่อกำเนิดได้หรือไม่ ศิษย์น้องก็ยินดีจะคืนสถานะเจ้าขุนเขาให้ท่าน คนมีความสามารถก็ควรจะได้นั่งในตำแหน่งนั้น”
จางหลิวจู้ที่อยู่ด้านข้างจิตใจสะท้านสะเทือน เจ้าชาติสุนัข นี่คือจะบีบให้คนเขาสละตำแหน่งให้อย่างนั้นหรือ?
เจ้าคนแซ่เฉวียนผู้นี้ทำอะไรไร้คุณธรรมจริงๆ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ปรึกษากับตนก่อน
เดิมนึกว่าเฉวียนชิงชิวมาที่นี่ก็เพื่อเชิญให้ศิษย์พี่หญิงอย่างหลินฮุ่ยจื่อออกจากด่าน จะดีจะชั่วก็ไปพบหน้าบรรพจารย์ลุงที่มาจากต้าหลงชิวท่านนั้นสักครั้ง ไม่อย่างนั้นก็จะเสียมารยาทมากจริงๆ คำว่าปิดด่านของหลินฮุ่ยจื่อในทุกวันนี้ แม้จะไม่อาจบอกได้ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายรอความตาย แต่คนที่มีตาก็ล้วนรู้ชัดเจนดีว่านางถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้ความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต
ในฐานะเค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิว อันที่จริงตนก็ถือเป็นบุคคลที่เป็นหน้าเป็นตาของภูเขาลูกนี้ ก็เหมือนกรอบป้ายที่แขวนอยู่ในห้องโถงไม่ต้องถูกลมพัดถูกฝนตกใส่ แค่มีไว้ให้คนข้างนอกได้มองเห็นเท่านั้น
คลื่นใต้น้ำบางอย่างของเสี่ยวหลงชิวในทุกวันนี้ หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ถึงอย่างไรใครจะมาเป็นเจ้าขุนเขาก็ไม่ถ่วงรั้งเงินเดือนเค่อชิงที่เขาจะต้องได้รับในทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง เค่อชิงของสำนักบนภูเขากับผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ล่างภูเขาต่างก็ถือเป็นงานดีที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ไม่พูดว่าได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาก้อนใหญ่ แต่ก็ถือว่านอนรอรับเงินได้เลย
ดังนั้นจางหลิวจู้จึงไม่เหมาะจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในภูเขาของเสี่ยวหลงชิวครั้งนี้ ไม่อาจทำเรื่องอย่างการจับปลาในน้ำขุ่นได้ เพราะง่ายที่จะเดือดร้อนไปถึงต้าหลงชิวที่เป็นสำนักเบื้องบนเอาได้
ประตูใหญ่ของถ้ำค่อยๆ เปิดออก มีผู้ฝึกตนหญิงลักษะเป็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา บุคลิกของนางเรียบง่ายสง่างาม ก็คือหลินฮุ่ยจื่อที่มีฉายาว่าชิงซวงซ่างเหริน
ตรงเอวของนางห้อยน้ำเต้าสีมรกตลูกหนึ่ง เป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาของเสี่ยวหลงชิว น้ำเต้าฝนธัญพืชที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน
ในฐานะเจ้าขุนเขาคนปัจจุบันของเสี่ยวหลงชิว หลินฮุ่ยจื่อสามารถหลอมกลางให้กับมันได้ ไม่อย่างนั้นหากถูกนำมาหลอมใหญ่ก็ยากที่จะดึงตราผนึกแต่ละชั้นออกไป แล้วจะยังมีคำว่าสืบทอดอะไรให้กล่าวถึงอีก
ไม่เหมือนกับเฉวียนชิงชิวศิษย์น้องที่เป็น ‘วัตถุดิบเซียนลูกหลานของคู่รักบนภูเขา’ หลินจื่อฮุ่ยเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดที่เกิดและเติบโตในท้องถิ่นของใบถงทวีป ตอนอายุน้อยถูกอาจารย์ที่เป็นเจ้าขุนเขาคนก่อนถูกใจในคุณสมบัติถึงได้พาขึ้นเขามาฝึกตน
ส่วนเฉวียนชิงชิวศิษย์น้องของนางก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิดเช่นเดียวกับศิษย์พี่ สร้างสวนป่าที่เอาไว้ให้เซียนซือต่างถิ่นมาท่องเที่ยวขึ้นเองกับมือ ช่วงชิงชื่อเสียงดีงามจากบนภูเขามาได้ไม่น้อย
แต่เขากลับมาจากสำนักเบื้องบน เพียงแค่ว่าตอนเด็กได้ถูกต้าหลงชิวที่เป็นสำนักใหญ่ส่งตัวมาฝึกตนที่นี่ ภายใต้คำสั่งของบิดามารดาจึงกราบเจ้าสำนักคนก่อนเป็นอาจารย์
สีหน้าของหลินจื่อฮุ่ยเย็นชา เหลือบตามองจางหลิวจู้ที่อยู่ข้างกายศิษย์น้อง
ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีฉายาว่า ‘สุ่ยเซียน’ รีบคารวะตามขนบลัทธิเต๋าทันที “คารวะเจ้าขุนเขา”
หลินจื่อฮุ่ยกล่าว “ข้าจะไปพบหวงถิง แล้วค่อยไปพบบรรพจารย์ลุง”
เฉวียนชิงชิวยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปพบบรรพจารย์ลุงก่อน จะไปรอศิษย์พี่หญิงที่ใต้ต้นสนก็แล้วกัน”
ในกระท่อมบนยอดเขาซินอี้ หวงถิงกำลังกินเผือกปิ้งร้อนๆ ที่เพิ่งออกจากเตากับเด็กสาวคนหนึ่ง
หวงถิงเหลือบตามองลิ่งหูเจียวอวี๋ เด็กสาวนั่งอยู่ตรงข้ามกับกระถางไฟ กำลังเป่าลมใส่เผือกร้อนในมือเบาๆ
ในสายตาของหวงถิง ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาของเสี่ยวหลงชิวล้วนมีแต่กลิ่นอายเน่าเหม็นเสื่อมโทรม คลื่นความตายแผ่กระเพื่อมไปอย่างช้าๆ
หากนางเป็นเจ้าสำนักเบื้องบนของต้าหลงชิวก็คงไม่มีหน้าบอกกับคนอื่นแล้วว่าที่ใบถงทวีปมี ‘ภูเขาเบื้องล่าง’ อยู่แห่งหนึ่งชื่อเสี่ยวหลงชิว
ก่อนหน้านี้กองกำลังที่ละโมบอยากครอบครองภูเขาไท่ผิง หลักๆ แล้วมีอยู่สามแห่ง นอกจากเสี่ยวหลงชิวก็ยังมีสำนักว่านเหยากับราชวงศ์สกุลอวี๋
ส่วนเฉวียนชิงชิวเจ้าสุนัขที่อยู่ในร่างคนผู้นั้น อันที่จริงก็เป็นแค่หมาเฝ้าบ้านที่คอยส่ายหางให้กับอารามจินติงเท่านั้น เสียชื่อดีๆ ที่ตั้งมาซะเปล่า
ตอนนั้นหวงถิงถามกระบี่กับเสี่ยวหลงชิว ฟันหลินฮุ่ยจื่อไปหนึ่งกระบี่ก็ไม่ถือว่าใส่ร้ายนาง
หากไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าขุนเขาหญิงผู้นี้ เฉวียนชิงชิวจะสามารถสั่งให้เค่อชิงอันดับหนึ่งคนหนึ่งวิ่งไปรออยู่ที่ภูเขาไท่ผิง ทุกวันคอยเรียกหาสหายให้มาชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำร่วมกันได้อย่างไร?
อันที่จริงหลังจากที่เฉินผิงอันมาเยือนยอดเขาซินอี้ไปรอบหนึ่ง หวงถิงก็เตรียมจะไปจากที่นี่แล้ว จะไปเยือนเมืองหลวงราชวงศ์สกุลอวี๋ก่อนแล้วค่อยกลับภูเขาไท่ผิง
หากไม่เป็นเพราะบนภูเขายังมีลิ่งหูเจียวอวี๋ ต่อให้หวงถิงไปจากเสี่ยวหลงชิว ภายในเวลาหนึ่งร้อยปี ไม่ว่าเจ้าขุนเขาจะยังเป็นนางหรือเฉวียนชิงชิว ก็อย่าหวังว่าจะได้ซ่อมแซมศาลบรรพจารย์เลย
ทุกครั้งที่ซ่อมศาลบรรพจารย์ขึ้นใหม่ก็เท่ากับว่าถามกระบี่กับนาง
อีกทั้งหวงถิงมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าเจ้าเฉวียนชิงชิวผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างแน่ เพียงแต่นางหาหลักฐานออกมาไม่ได้
เซียนเหรินแผ่นดินกลางที่มีฉายาว่า ‘หลงหราน’ ผู้นั้น ตอนนี้ได้มาเยือนภูเขาเบื้องล่างอย่างเสี่ยวหลงชิว
มองดูแล้วจะลำเอียงเข้าข้างเฉวียนชิงชิว ไม่ค่อยพอใจเจ้าขุนเขาอย่างหลินฮุ่ยจื่อเท่าใดนัก
แม้ว่าหลังจากที่เซียนเหรินผู้นี้มาถึงเสี่ยวหลงชิวแล้วจะเก็บตัวไม่ค่อยออกไปไหน แม้แต่ครั้งที่เฉินผิงอันบุกเข้ามาในภูเขาอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปรากฏตัว
แต่การดำรงอยู่ของเขาเดิมทีก็ได้มอบแรงกดดันมหาศาลอย่างหนึ่งให้กับผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิวทุกคนที่เข้าข้างเจ้าขุนเขาหรือไม่ก็เลือกที่จะยืนอยู่ตรงกลางอยู่แล้ว