กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 904.4 นกกระเรียนโดดเดี่ยวแห่งฟ้าดิน
หลังจากเฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่ออกมาจากอาณาเขตของภูเขาเซียนตูก็ทะยานลมขึ้นเหนือไปตลอดทาง หมายจะไปเยือนเสี่ยวหลงชิวสักรอบ
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยว่าสังเกตเห็นว่ามีเซียนเหรินคนหนึ่งอยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไม่ไกล น่าจะเป็นผู้อาวุโสบนภูเขาคนหนึ่งที่ช่วยปกป้องภูตน้อยตบะตื้นเขินสองตนออกเดินทางไกล เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ได้นั่งเรือข้ามฟาก แล้วก็ไม่ได้เรียกเรือยันต์ออกมา เด็กทั้งสองเพียงแค่เดินเท้าอยู่บนเส้นทางภูเขาเท่านั้น
เฉินผิงอันจึงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ใบถงทวีปในทุกวันนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินไม่ได้มีให้พบเห็นบ่อยนัก อย่างบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบนที่มาจากแผ่นดินกลางของเสี่ยวหลงชิวนั้นถือว่าเป็นมังกรข้ามแม่น้ำ
จึงให้เสี่ยวโม่ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออยู่ไกลๆ คิดไม่ถึงว่าพอลองมองดูถึงกับทำให้เฉินผิงอันยิ้มกว้างทันที
เขาไม่ได้รู้จักเซียนเหรินที่ช่วยปกป้องมรรคาให้เด็กน้อยสองคนอย่างลับๆ แต่เป็นเพราะแขกคนหนึ่งที่มาเยือนสำนักเบื้องล่างของตนโดยไม่คาดคิด
เจิ้งโย่วเฉียน ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของศิษย์พี่จวินเชี่ยนในตอนนี้
เฉินผิงอันจึงทะยานลมตรงไปหาทันที แล้วก็ได้เจอเด็กสองคนบนเส้นทางภูเขากลางป่า
ข้างกายของเจิ้งโย่วเฉียนยังมีแม่นางน้อยหน้าตาดุจหยกสีชมพูแกะสลักคนหนึ่งติดตามมาด้วย
น่าจะเป็นเพราะนั่งเรือข้ามฟากมาถึงใบถงทวีปแล้ว เนื่องจากตอนนี้ที่ภูเขาเซียนตูยังไม่มีท่าเรือ เจิ้งโย่วเฉียนจึงได้แต่เดินเท้าเอาเท่านั้น
เฉินผิงอันบอกให้เสี่ยวโม่ไปพูดคุยกับเซียนเหรินคนนั้น ส่วนตัวเองปรากฏกายยืนอยู่บนเส้นทางภูเขาเพียงลำพัง ยิ้มเรียก “โย่วเฉียน”
ภูตน้อยที่เพิ่งหลอมร่างได้สำเร็จแค่ไม่กี่ปีเห็นเฉินผิงอันแล้วก็ขยี้ตา ก่อนจะรีบประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “เจิ้งโย่วเฉียนคารวะอาจารย์อาน้อยอิ่นกวาน!”
อันที่จริงเจิ้งโย่วเฉียนเคยเจออาจารย์อาเฉินท่านนี้ครั้งหนึ่งแล้ว คือที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากันครั้งแรก เจิ้งโย่วเฉียนก็เรียกเขาว่าใต้เท้าอิ่นกวานก่อน
รอกระทั่งเฉินผิงอันบอกกับเขาว่าเรียกแค่อาจารย์อาน้อยก็พอ เจิ้งโย่วเฉียนก็พลันเกิดความคิดดีๆ ใช้วิธีที่พบกันครึ่งทางเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์อาน้อยอิ่นกวาน!
พอได้ยินคำเรียกขานที่ฟังแปร่งหูนี้อีกครั้ง เฉินผิงอันก็หลุดขำอย่างอดไม่ไหว ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “โย่วเฉียน คราวหน้าเรียกแค่อาจารย์อาน้อยก็พอแล้ว”
เจิ้งโย่วเฉียนกลัวตน ก่อนหน้านี้เคยได้ฟังศิษย์พี่จวินเชี่ยนเล่าต้นสายปลายเหตุแล้ว ต้องโทษพวกข่าวลือและรายงานยุ่งเหยิงไร้สาระของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเลยเชียว
ที่แท้เจ้าตัวน้อยมีชาติกำเนิดจากพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าใบถงทวีป ด้วยโชควาสนานำพาจึงกราบศิษย์พี่จวินเชี่ยนเป็นอาจารย์ เวลานี้ถือว่าอยู่ในระบบของสายเหวินเซิ่งอย่างเป็นทางการแล้ว ภายหลังได้ติดตามศิษย์พี่จวินเชี่ยนไปท่องใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตลอดทางเจิ้งโย่วเฉียนยังได้ยินข่าวลือที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกพวกนั้น พูดง่ายๆ ก็คือในภาพจำของเจิ้งโย่วเฉียนเวลานั้น อาจารย์อาน้อยที่ยังไม่เคยได้พบหน้ากัน มีระดับความน่ากลัวพอๆ กับ ‘ฉีออกเดินทาง’ บวกกับ ‘หมี่ผ่าเอว’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยทีเดียว ดูเหมือนว่าหากได้เจอกับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจและพวกภูตทั้งหลายจะไม่พูดจาไร้สาระแม้แต่คำเดียว เจอหน้ากันปุ๊บก็จะต้องบิดหัว ถลกหนังดึงเส้นเอ็น พูดถึงแค่ตอนที่อิ่นกวานท่านนี้เฝ้ากำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่เพียงลำพังก็เคยยกมือข้างหนึ่งขึ้นคว้าร่างผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่กล้าบังอาจทะยานลมผ่านหัวกำแพงมาได้ง่ายๆ จากนั้นก็กดอีกฝ่ายลงบนหัวกำแพงอย่างโหดเหี้ยม มือหนึ่งหักแขนของเผ่าปีศาจ เท้าหนึ่งกระทืบเอวอีกฝ่ายจนหัก สุดท้ายก็ถลกหนังสับออกเป็นชิ้นๆ แล้วสวาปามกินอีกฝ่ายทั้งเป็นใต้แสงตะวันกลางวันแสกๆ …เจิ้งโย่วเฉียนที่มีชาติกำเนิดจากภูตจะไม่กลัวได้หรือ?
ศิษย์หลานคนนี้ย่อมต้องเข้าใจอาจารย์อาน้อยเช่นตนผิด
ได้พบกับเจิ้งโย่วเฉียน เฉินผิงอันในเวลานี้หากปรากฏอยู่ในสายตาของคนนอก ลมปราณตลอดทั้งร่างของเขาก็ไม่ค่อยเหมือนกับเวลาปกติ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือสีหน้าก็ไม่เหมือนกับยามที่อยู่กับเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง
เฉินผิงอันเวลานี้คล้ายกับบนหน้าผากแปะยันต์ไว้หลายแผ่นที่เขียนตัวอักษรยาวเป็นพรวนว่า ‘ใจดีมีเมตตา’ ‘ข้าคืออาจารย์อาน้อย’ ‘ศิษย์พี่จวินเชี่ยนช่างเลือกลูกศิษย์ได้ดี’ ‘เหตุใดยิ่งมองศิษย์หลานคนนี้ก็ยิ่งถูกชะตานะ’ ‘โย่วเฉียน มีใครรังแกเจ้าหรือไม่ บอกกับอาจารย์อาน้อยมาได้เลย ถึงอย่างไรอาจารย์อาน้อยก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จะช่วยไปอธิบายเหตุผลให้เจ้าเอง’
ในบรรดาสายบุ๋นในใต้หล้า ระบบสืบทอดของผู้ฝึกตนที่มีมายาวนานหลายร้อยหลายพันปี มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่อย่าเอามาเทียบ ‘มรรคกถาสูงต่ำ’ กับสายเหวินซิ่ง นั่นคือด้านการปกป้องคนกันเอง
เจิ้งโย่วเฉียนเงยหน้ามองอาจารย์อาน้อยอีกที รอยยิ้มของอาจารย์อาน้อยท่านนี้ช่างเกินจริงยิ่งนัก ยิ้มจนเจิ้งโย่วเฉียนจะร้องไห้อีกรอบหนึ่งแล้ว
ก่อนหน้านี้ติดตามอาจารย์ได้ไปเจอกับอาจารย์อาน้อยที่ชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กว่าจะไม่รู้สึกกลัวอีกฝ่ายมากขนาดนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คราวนี้หวนกลับมายังใบถงทวีปอันเป็นบ้านเกิด ผลคือตอนอยู่บนเรือข้ามฟากของธวัลทวีปลำนั้นก็ได้อ่านรายงานขุนนางสายน้ำอีกฉบับหนึ่ง ที่แท้อาจารย์อาน้อยออกจากศาลบุ๋นมาได้แค่ไม่กี่วันก็ได้สร้างวีรกรรมอันน่าตะลึงพรึงเพริดติดต่อกันอีกเป็นพรวน นำพาเซียนกระบี่ใหญ่ทั้งสี่ท่านบุกลึกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง กวาดล้างทำลายสำนักของเปลี่ยวร้าง ปล้นสะดมซากปรักสนามรบ ไม่กี่หมัดก็ต่อยให้นครเซียนจานแตกหัก กระชากลำคลองเย่ลั่วกับปีศาจใหญ่เฟยเฟย ใช้กระบี่ฟันภูเขาทัวเยว่ อิ่นกวานคนสุดท้ายแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมือง…
เนื้อหาที่อยู่ในรายงานทำให้ภูตน้อยทั้งดีใจ ทั้งภาคภูมิใจ นึกอยากจะบอกทุกคนที่พบเห็นว่าข้าก็คือศิษย์หลานของใต้เท้าอิ่นกวานใจแทบขาด!
เพียงแต่เจิ้งโย่วเฉียนก็อดกังวลและหวาดกลัวไม่ได้
เฮ้อ บอกตามตรงนะ ถึงแม้อาจารย์อาน้อยที่อยู่กับตนจะน่าใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าจะยังคงเป็นอาจารย์ลุงจั่วที่ทำให้ตนรู้สึกไม่กลัวมากกว่า
เฉินผิงอันยิ้มถาม “คนนี้คือ?”
เจิ้งโย่วเฉียนจึงรีบเอ่ยแนะนำ “ก่อนหน้านี้อาจารย์พาข้าไปโยนทิ้งไว้ที่ภูเขาต้นไม้เหล็ก นางคือเพื่อนที่ข้ารู้จักบนภูเขา แซ่ถาน”
“อิ๋งโจว ชื่อของเจ้า ข้าสามารถบอกกับอาจารย์อาน้อยอิ่นกวานได้หรือไม่?”
พอหลุดปากพูดออกไป เจิ้งโย่วเฉียนที่เดิมทีก็ตื่นเต้นมากพออยู่แล้วยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่
แม่นางน้อยที่ชื่อว่าถานอิ๋งโจวอืมรับเบาๆ เสียงเบาราวกับเสียงยุง
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ถานอิ๋งโจวสวัสดี ข้าชื่อเฉินผิงอัน คืออาจารย์อาน้อยของโย่วเฉียน”
แม่นางน้อยสีหน้าเฉยเมย ออกจะทื่อมะลื่ออยู่บ้าง นางพยักหน้ารับอย่างแข็งทื่อ
นางคือลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของกวอโอ่วทิงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก อายุน้อยมาก แต่ลำดับอาวุโสสูงมาก
เนื่องจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหกคนของกวอโอ่วทิงต่างก็มีศิษย์ลูกศิษย์หลานกันมากมายมานานแล้ว ดังนั้นแม่นางน้อยคนนี้จึงมักจะถูกผู้ฝึกตนเส้นผมขาวโพลนในภูเขาเรียกว่าบรรพจารย์ไท่ซ่างอยู่บ่อยๆ
นครจักรพรรดิขาวกับภูเขาต้นไม้เหล็กต่างก็เป็นภูเขาอักษรจงที่เป็นไม้เด่นเกินไพรในใต้หล้าไพศาล
หนึ่งเมื่ออยู่ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณพรรคมารนอกรีต ถูกบูชาดุจเทพเจ้า
หนึ่งเมื่ออยู่ในใจของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่ในท้องถิ่นของไพศาล คือดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
ฉายา ‘โยวหมิง’ ของกวอโอ่วทิง ทำให้เขาถูกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขนานนามว่า ‘เจ้าแห่งความมืดและสว่าง’ (โยวหมิง โยวแปลว่ามืด หมิงแปลว่าสว่าง นอกจากนี้ยังแปลเป็นกลางวันกลางคืน หยินหยาง โลกผีโลกมนุษย์ ผีกับคน มีกับไม่มี ฯลฯ ได้อีกด้วย)
คือหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เล่าลือกันว่าเคยสร้างวีรกรรมใช้หนึ่งดาบสะบั้นฟันเส้นทางน้ำพุเหลืองขาด
โลกภายนอกเล่าลือกันว่ากวอโอ่วทิงกับเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์รุ่นก่อนเคยเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดครั้งหนึ่ง ทำลายภูเขาต้นไม้เหล็กทั้งลูกจนแหลกสลาย ภูเขาสายน้ำยากที่จะประสานกลับคืน ถึงได้มีคำกล่าวในภายหลังที่บอกว่า ‘ต้นไม้เหล็กในภูเขาหมื่นปีไร้บุปผาเบ่งบาน’
จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มีหน้าที่คอยลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร ส่วนกวอโอ่วทิงนั้นเดิมทีก็มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ เป็นผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกับสิ่งชั่วร้ายตนที่อำพรางตัวอยู่ซึ่งถูกป๋ายเหย่ที่ออกจากทะเลขึ้นเกาะใช้หนึ่งกระบี่สังหารไป ดังนั้นกวอโอ่วทิงไม่ถูกกับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเข้าใจได้
แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
คนที่ถามกระบี่กับกวอโอ่วทิงคือเฉินชิงหลิวคนพิฆาตมังกร อีกทั้งปีนั้นก็เกือบจะฆ่ากวอโอ่วทิงตายได้สำเร็จ
ภูเขาต้นไม้เหล็กแห่งใหม่ แท้จริงแล้วคือการนำรากภูเขาที่ปริแตกมากองทับกัน ดังนั้นเมื่อเทียบกับภูเขาลูกเก่าแล้วจึงเตี้ยกว่าหลายร้อยจั้ง อีกทั้งหากอิงตามข้อตกลง กวอโอ่วทิงที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ขอแค่บนภูเขาบรรพจารย์ของสำนัก ต้นไม้เหล็กไม่มีดอกไม้เบ่งบานหนึ่งวัน กวอโอ่วทิงก็ไม่อาจออกจากสำนักได้หนึ่งวัน
เรื่องที่เกินกว่าเหตุที่สุดก็คือในภูเขาต้นไม้เหล็กห้ามปลูกดอกไม้ใดๆ ทั้งนั้น ในฐานะเจ้าสำนักของภูเขาต้นไม้เหล็ก เป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาของไพศาลท่านหนึ่ง กวอโอ่วทิงเคยใช้วิชาลับนอกรีตชนิดหนึ่ง ใช้จิตธรรมของตนสำแดงออกเป็นมหามรรคา ทำให้ภูเขาต้นไม้เหล็กมี ‘ดอกไม้บาน’ เพียงแต่ว่าไม่รอให้กวอโอ่วทิงลงจากภูเขากลับมีคนขึ้นเขามาพอดี
ดูเหมือนว่าจะรอให้กวอโอ่วทิงทำให้ต้นไม้เหล็กมีดอกไม้บานอยู่นานแล้ว
คนที่เดินขึ้นเขามาไม่ใช่ผู้พิฆาตมังกร แต่เป็นลูกศิษย์ของเขา เจิ้งจวีจงเจ้านครแห่งนครจักรพรรดิขาว
หลังจากนั้นมากวอโอ่วทิงก็ฝึกตนอยู่ในภูเขามาโดยตลอด
เพียงแต่ว่าคนเก่าๆ เรื่องราวเก่าๆ ที่ผ่านกาลเวลามายาวนานพวกนี้ มีเพียงผู้ฝึกตนบนยอดเขาเพียงหยิบมือเท่านั้นที่รู้
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “โย่วเฉียน อาจารย์อาน้อยยังมีธุระต้องไปทำ ข้าจะบอกให้ผู้ฝึกตนที่ชื่อเสี่ยวโม่พาพวกเจ้าไปยังภูเขาเซียนตูด้วยกัน”
เจิ้งโย่วเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ “อาจารย์อาน้อยไปทำธุระก่อนเถิดขอรับ!”
เฉินผิงอันเอ่ย “จะเดินลงไปถึงด้านล่างภูเขาเป็นเพื่อนพวกเจ้าก่อน อาจารย์อาน้อยค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย”
แม่นางน้อยเช็ดเหงื่อบนใบหน้าลวกๆ อันที่จริงนางตื่นเต้นยิ่งกว่าเจิ้งโย่วเฉียนเสียอีก
เจิ้งโย่วเฉียนไม่ได้ปลอบใจแม่นางน้อยที่อยู่ข้างกายโดยตรง เพียงแค่ปลุกความกล้าเอ่ยกับอาจารย์อาน้อยอย่างจริงใจว่า “ถานอิ๋งโจวเลื่อมใสอาจารย์อาน้อยมากเลยขอรับ รายงานบนภูเขาหลายฉบับ จำนวนครั้งที่นางอ่านมากกว่าข้าเสียอีก อ่านซ้ำไปซ้ำมา ข้าเป็นคนจ่ายเงินซื้อรายงาน แต่รายงานกลับเป็นของนาง”
“อันที่จริงเวลาปกติถานอิ๋งโจวไม่ได้เป็นเช่นนี้ ปกตินางชอบก่อกวนมากเลย บอกว่าวีรบุรุษผู้กล้าหาญในใต้หล้ามีมากมายนับพันหมื่น มีเพียงอาจารย์อาน้อยที่เป็นเช่นนี้!”
เจิ้งโย่วเฉียนยกนิ้วโป้ง
แม่นางน้อยอับอายจนพานเป็นความโกรธ เพียงแต่มีอิ่นกวานอยู่ด้วย ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำ ตื่นเต้นลนลาน สองมือกำชายเสื้อแน่น
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวลงน้อยๆ พยักหน้ายิ้มให้กับแม่นางน้อย “ขอบคุณที่ยอมรับในตัวข้า”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าว “สายตาดีมาก!”
แม่นางน้อยยิ้มเขินอาย
ผู้ปกป้องมรรคาของเด็กทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกับเสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว
เรือนกายสูงเพรียว สวมชุดคลุมอาคมสีเหมือนน้ำหมึกเข้มข้น ปักปิ่นไม้บนมวยผม มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจด
รับผิดชอบคุ้มกันถานอิ๋งโจวและเจิ้งโย่วเฉียนเดินทางไกลข้ามทวีปมาอย่างลับๆ
เจิ้งโย่วเฉียนมีสีหน้าอึ้งงัน
แม่นางน้อยกลับมีสีหน้าผ่อนคลายสบายๆ เห็นได้ชัดว่าเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว
ก่อนหน้านี้ได้ไปเยือนภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีปมาก่อน พอรู้เรื่องของสำนักเบื้องล่างก็รีบเดินทางมาที่ใบถงทวีปทันที
‘เด็กหนุ่ม’ คนนี้ก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้กับถานอิ๋งโจว หรือก็คือลูกศิษย์ปิดสำนักของกวอโอ่วทิง
ผู้ฝึกตนถึงกับประสานมือคารวะตามขนบของลัทธิขงจื๊อ พูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “กั่วหรานผู้ฝึกตนแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กคารวะอาจารย์เฉิน”
เฉินผิงอันยิ้มกุมหมัดคารวะกลับคืน “คารวะผู้อาวุโสหลงเหมิน”
ผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงหน้า ตอนที่อายุยังน้อยก็เคยมีเรื่องราวที่ว่าตีน้ำหมื่นลี้สัมผัสประตูมังกร (หลงเหมิน)
กั่วหรานที่มีฉายาว่า ‘หลงเหมิน’ ประหลาดใจเล็กน้อย อิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ถึงกับเคยได้ยินเรื่องของตน? ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงรู้แม้กระทั่งฉายาของตนได้?
เขาเองก็เหมือนกับอาจารย์ที่ชอบอยู่แต่ในภูเขา สนใจแค่การฝึกตนของตัวเองเท่านั้น
นับแต่เด็กมาก็ไม่ชอบลงจากภูเขาเดินทางท่องเที่ยว ยิ่งไม่ชอบประลองมรรคกถากับใคร แพ้แล้วได้รับบาดเจ็บ ทำลายสมบัติอาคมของอีกฝ่าย สร้างความร้าวฉาน ผูกปมแค้น หากเป็นฝ่ายตัวเองที่ถูกทำลายข้าวของก็ย่อมมีความเสียหายมากกว่า ต่อให้เอาชนะมาได้ก็ไม่ได้ทำให้มีเงินเกล็ดหิมะเพิ่มขึ้นมาแม้แต่เหรียญเดียว เรื่องอย่างชื่อเสียงนั้นเหมือนเมฆรวมตัวเมฆสลายออก ไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้
ดังนั้นเขาที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจึงไม่ได้มีชื่อเสียงเลื่องลือเหมือนพวกศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลาย เนื่องจากอาจารย์ถูกจำกัดให้ต้องยอมรับคำสัญญาในอดีตข้อนั้น มิอาจออกไปจากอาณาเขตของภูเขาต้นไม้เหล็กได้ ดังนั้นจึงล้วนเป็นพวกศิษย์พี่ชายหญิงที่คอยสานสัมพันธ์กับคนภายนอก สะสมควันธูปให้กับบนภูเขา ทำการค้ากับโลกภายนอก เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนที่อยู่นอกภูเขาต้นไม้เหล็กในทุกวันนี้ต่างก็เข้าใจผิดคิดว่าเขายังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง
ท่ามกลางสงครามครั้งนั้นเขาเพียงแค่ปิดบังชื่อแซ่ไปเยือนทักษินาตยทวีปมารอบหนึ่ง อีกทั้งยังจงใจอำพรางขอบเขต แค่ใช้สถานะของผู้ฝึกตนโอสถทองแฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนมากมาย พาตัวไปอยู่บนเส้นแนวรบเลียบมหาสมุทรเส้นหนึ่ง สุดท้ายในขณะที่สงครามอยู่ในช่วงล่อแหลมอันตรายก็ร่วมกับเซียนกระบี่เฉาซีเฝ้าพิทักษ์หอพิทักษ์มหาสมุทรแห่งนั้นด้วยกัน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “รบกวนผู้อาวุโสหลงเหมินต้องคอยคุ้มครองโย่วเฉียนมาตลอดทางแล้ว”
กั่วหรานยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว อาจารย์เฉินไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินผิงอันตบไหล่ของศิษย์หลานตัวน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยแววชื่นชม
ใช้ได้ๆ ในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งพวกเรา ในที่สุดก็มีใครสักคนที่เหมือนข้าแล้ว
สามขวบดูได้ถึงแก่เฒ่านี่นะ แค่มองท่าทียามที่ศิษย์หลานเจิ้งโย่วเฉียนอยู่กับแม่นางน้อยก็รู้แล้วว่าต้องไม่เป็นชายโสดแน่นอน!
เรื่องบางอย่างไม่เกี่ยวข้องกับความรู้และขอบเขต ต้องใช้พรสวรรค์จริงๆ
เจิ้งโย่วเฉียนพลันเอ่ยขึ้นมาเสียงเบาว่า “อาจารย์อาน้อย ออกจากบ้านคราวนี้ท่านจะไปฟันใครอีกหรือขอรับ?!”
สำหรับในใจของภูตน้อยแล้ว อาจารย์อาน้อยที่ตนเคารพยำเกรงสุดๆ ผู้นี้ หากไม่ได้ถือกระบี่ไปฟันคนก็ต้องเดินอยู่บนถนนถือกระบี่ฟันคนแน่นอน
เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะอธิบายกับเจิ้งโย่วเฉียนสักสองสามคำว่า อันที่จริงอาจารย์อาน้อยของเจ้าเป็นมิตรกับผู้อื่นมาโดยตลอด เรื่องนี้ทุกคนล้วนรับรู้กันดี
เพียงแต่เพิ่งจะอาศัย ‘ยันต์ลมฝน’ แผ่นหนึ่งได้ยินการซักถามของเซียนเหรินที่เสี่ยวหลงชิวผู้นั้นพอดี เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่า “คือเซียนเหรินคนหนึ่ง”
เจิ้งโย่วเฉียนกระจ่างแจ้งในบัดดล เซียนเหรินคนหนึ่งเองหรือ ขอบเขตนับว่าพอถูไถกระมัง เชื่อว่าอีกเดี๋ยวอาจารย์อาน้อยก็จะกลับมาที่ภูเขาเซียนตูแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อาจารย์อาน้อยออกจากบ้านครั้งนี้ไปเป็นแขก ไม่ได้ไปฟันคนหรอกนะ”
เจิ้งโย่วเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง ตำรามากมายพวกนั้นเขาไม่ได้อ่านมาอย่างเสียเปล่า หลุดปากพูดออกไปว่า “อาจารย์อาน้อย ข้าเข้าใจขอรับ นั่นไม่เรียกว่าฟันคน เรียกว่าถามกระบี่!”