กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 906.1 บ้านเกิดที่ไม่เติบใหญ่
ช่วงสิ้นปีมีหิมะใหญ่ตกโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ประหนึ่งเศษหยกที่แตกกระจายนับชิ้นไม่ถ้วน
เรือข้ามฟากประจำกองทัพของราชวงศ์ต้าเฉวียนได้ขับเคลื่อนออกจากชายแดนทิศเหนือมาไกลมากแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วยามก็จะไปถึงท่าเรือภูเขาเซียนตู
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมหนังจิ้งจอกหนาหนักตัวเก่า ตลอดทางที่โดยสารเรือขึ้นเหนือมานี้ บางครั้งก็จะออกจากห้องเดินมาที่รั้ว มองเทือกเขาสายน้ำที่ทอดยาวท่ามกลางหิมะปลิวปราย
นิมิตหมายอันดีว่าปีนี้ผลเก็บเกี่ยวจะสมบูรณ์ นั่นคือได้เห็นหิมะที่ส่ายไหวดุจพืชน้ำ
ไม่ใช่ผืนนาล่างภูเขาที่รกร้าง ซากกระดูกกองเกลื่อนนับไม่ถ้วน ทัศนียภาพในภูเขาไม่ได้มีแต่วานรปีนป่ายเถาวัลย์แห้งเหี่ยว นกกระสามองเศษศิลาแตกหักอีกต่อไป
ด้านข้างของเรือข้ามฟาก คนชุดเขียวผู้หนึ่งพลันรวมร่างเมฆวารีหยุดอยู่กลางลมหิมะ
ชุดกว้าตัวยาวสีเขียว ปักปิ่นหยกบนมวยผม ตรงเอวเหน็บดาบสองเล่ม ย่างเท้าเดินย่ำอากาศว่างเปล่า แล่นเคียงข้างไปกับเรือข้ามฟาก
มือดาบชุดเขียวที่มาโผล่ข้างเรืออย่างไม่มีลางบอกกล่าวผู้นี้ มองดูคล้ายเดินเล่นอยู่กลางอากาศ แต่แท้จริงแล้วร่างของเขากลับทะยานว่องไวดุจอินทรีโฉบ
ม้าดีวิ่งไกลพันลี้ พลังอำนาจต้านทานศัตรูนับหมื่น
หลิวจงเดินออกมาจากตัวเรือ มาที่ดาดฟ้า ยืนเอนตัวพิงราวรั้ว ยิ้มกวักมือเรียก “น้องเฉิน!”
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสกุลเหยาต้าเฉวียนผู้นี้ทำท่าสัญลักษณ์มือบอกเป็นนัยแก่ผู้ถวายงานและเหล่าทหารสวมเสื้อเกราะของบนเรือข้ามฟากแห่งนี้ว่าไม่ต้องตื่นเต้น ล้วนเป็นคนกันเอง
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนเรือข้ามฟาก เรียกคำหนึ่งว่า “พี่หลิว”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยลูบหนวดยิ้ม ได้ยินคำเรียกขานของเฉินผิงอัน หลิวจงคนลับมีดก็มีสีหน้าภาคภูมิใจ นี่เรียกว่าวัตถุอยู่รวมกันเป็นประเภท มนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตนก็เคยเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาสง่างามเช่นนี้เหมือนกัน
อยู่ในยุทธภพบ้านเกิดแห่งนั้น ปีนั้นตนพกดาบเขาวัวไว้ตรงเอว ไม่กล้าพูดว่าใต้หล้าไร้ศัตรูเทียมทาน แต่ก็หนีกันไม่ไกลเท่าไร เอาเป็นว่าบุกไปที่ไหนที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง ยากที่ใครจะมาต่อกรด้วยได้
ขอแค่เจ้าพวกคนที่แข็งแกร่งกว่าตนไม่กี่คนไม่มาขวางทาง ตนก็ไร้พ่ายได้แล้วจริงๆ
วีรบุรุษในยุทธภพมากมายนับไม่ถ้วนที่พอเจอข้าหลิวจง ใครบ้างที่ไม่ยกนิ้วโป้ง ขุนนางผู้สูงศักดิ์กี่มากน้อยที่ยกตนบูชาเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ ทำให้สตรีกี่มากน้อยรักลุ่มหลง จนพวกนางต้องท่องฉายานั้นในใจซ้ำไปซ้ำมา
‘จูเหลี่ยนน้อย!’
เรือข้ามฟากสูงสามชั้น หลิวจงพาเฉินผิงอันไปยังชั้นบนสุด แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาพักผ่อนอยู่ที่นี่
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “นี่คือเรือข้ามทวีปลำหนึ่งกระมัง? ต้าเฉวียนของพวกท่านสร้างกันขึ้นเองหรือ?”
สำหรับเรือข้ามทวีป เฉินผิงอันกล้าพูดว่าจำนวนที่ตัวเองได้เห็นมา หากไม่มีครึ่งร้อยก็ต้องมีสี่สิบ
เรือข้ามฟากลำนี้ถึงกับมีขนาดเล็กกว่าเฟิงยวนแค่เล็กน้อย เมื่อเทียบกับเรือข้ามฟากของทวีปต่างๆ ที่มาจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัวแล้ว เรือใต้ฝ่าเท้าลำนี้ก็ถือได้ว่ามีขนาดกลางเท่านั้น
หลิวจงรวมเสียงให้เป็นเส้น เปิดเผยความลับสวรรค์กับเฉินผิงอัน ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง “น่าจะถือว่ากึ่งซื้อกึ่งสร้างกระมัง ปีนั้นมีคนเก่งกาจจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันที่นครเซิ่นจิ่ง ครึ่งหนึ่งถูกฝ่าบาทรั้งตัวเอาไว้ ในบรรดานั้นก็มีเซียนซือทำเนียบอยู่หลายคนที่สามารถตีสนิทกับทวีปอื่นได้ เมื่อหลายปีก่อนฝ่าบาทจึงขอให้คนช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ทั้งยังซื้อภาพการต่อเรือบางส่วนมาในราคาสูง เรือข้ามฟากอูซุนหลันลำนั้น เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างกระมัง โดยทั่วไปแล้วจะเดินทางข้ามทวีปมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือชวีซานที่อยู่ทางทิศใต้สุด เซียนกระบี่ใหญ่สวีเซี่ยเป็นคนรับรอง เรือลำนี้ของพวกเราก็ใช้วิธีเดียวกับอูซุนหลัน เพียงแต่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายนอกค่อนข้างเยอะ”
“ฝ่าบาทมีพละกำลังล้นเหลือ นอกจาก ‘ลู่เสียนจือ’ (กวางคาบหลิงจือ) ลำนี้แล้วยังสร้างเรือข้ามทวีปใหม่เอี่ยมขึ้นมาอีกสองลำ เก็บไว้เองลำหนึ่ง ขายลำหนึ่ง สรุปก็คือเงินที่ซื้อภาพต่อเรือมาก่อนหน้านี้จำเป็นต้องไปหาชดเชยกลับคืนมาจากคนหลอกง่ายบางคน ชื่อก็ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว แบ่งออกเป็น ‘จันทร์เอ๋อเหมย’ กับ ‘รถอสนี’“
“ก่อนหน้านี้หันอวี้ซู่บุตรสาวเจ้าสำนักของสำนักว่านเหยาบอกว่าพื้นที่มงคลสามภูเขาของพวกเขาอยากจะขอซื้อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดช่วงนี้ถึงได้เงียบหายไป ทางฝั่งอารามจินติ่งที่อยู่ทางเหนือก็มีท่าทีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้ให้ราคาสูงเท่าที่สำนักว่านเหยาจะให้ ต่ำกว่าถึงสามเท่าเต็มๆ ทว่าอิ่นเมี่ยวเฟิงนักพรตเป่าเจินของอารามจินติ่งกับเส้ายวนหรานลูกศิษย์ของเขา ก่อนหน้านี้ต่างก็เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าเฉวียนพวกเรา มีความสัมพันธ์ควันธูปส่วนนี้อยู่ หากว่าสำนักว่านเหยายังถ่วงเวลาเช่นนี้ต่อไปโดยไม่ให้เหตุผลที่เหมาะสม ด้วยนิสัยของฝ่าบาท เกินครึ่งคงจะขาย ‘รถอสนี’ ให้กับอารามจินติ่งแน่แล้ว”
เฉินผิงอันจงใจไม่พูดถึงสำนักว่านเหยา ในใจดีดลูกคิดคร่าวๆ ไปรอบหนึ่งก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ต้าเฉวียนเก็บเรือข้ามฟากไว้สองลำจะมั่นคงอย่างมาก ลำหนึ่งทำการค้าเหนือใต้ คอยติดต่อกับแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือ หากเป็นไปได้ล่ะก็ ยังสามารถเดินทางไกลไปยังที่ราบน้ำแข็งทางเหนือของธวัลทวีปได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นว่าต้าเฉวียนของพวกเจ้าสามารถลองดูว่ามีโอกาสที่จะร่วมมือกับสกุลหลิวธวัลทวีป ทำการขุดเจาะหาแร่ในที่ราบน้ำแข็งหรือไม่ เรือข้ามฟากอีกลำจะไปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางหรือฝูเหยาทวีปก็ล้วนได้ทั้งหมด อีกทั้งยิ่งได้ครอบครองเรือส่วนตัวเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น สามารถทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับพวกสำนักและราชวงศ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่เลียบเส้นทางการเดินเรือ ยิ่งระยะเวลานานเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น”
สำนักในใต้หล้าไพศาลทุกวันนี้ที่ได้ครอบครองเรือข้ามทวีป เจ็ดแปดในสิบส่วนล้วนถูกศาลบุ๋นแผ่นดินกลางขอยืมไปใช้แล้ว ถือเป็นการ ‘ริบเป็นของหลวง’ ชั่วคราว
ดังนั้นตอนนี้เรือข้ามฟากที่ยังสามารถเดินทางข้ามผืนแผ่นดินและเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ จำนวนจึงมีไม่มาก ด้วยเหตุนี้ใครที่สามารถครอบครองเรือข้ามฟากก็จะหาเงินได้ง่ายกว่าในอดีต คล้ายคลึงกับเม็ดหมากที่แข็งแกร่งหลายตัวบนกระดานหมากล้อมที่จะได้ประโยชน์จากภายนอกมามากที่สุด จากนั้นค่อยช่วงชิงเอาผลประโยชน์แท้จริงมาครอง
หลิวจงหัวเราะหึหึ “ความคิดเห็นของวีรบุรุษค่อนข้างเหมือนกันเลยนะ พี่ชายจะช่วยนำความนี้ไปบอกฝ่าบาทของพวกเราดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พี่หลิว ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้วยังเป็นขอบเขตร่างทอง ไม่สมควรเลย ไปถึงภูเขาเซียนตู พวกเราสองคนมาประลองฝีมือกันหน่อยดีไหม?”
ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย หลิวจงกลับยังหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน “ด่าคนไม่เปิดโปงความลับ ตีคนไม่ตบหน้า ยังมีคุณธรรมในยุทธภพอยู่บ้างไหม?”
เป็นเพราะเนื้อหนังมังสาใหม่ที่เจ้าอารามผู้เฒ่ามอบให้เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการเดินขึ้นหัวกำแพงลั่นกลองสวรรค์ดีเกินไป ดีจนทำให้หลิวจงอกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวนานหลายปีแล้วก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้เสียที
ทำลายคอขวดขอบเขตร่างทองก็ยากพอๆ กับผู้ฝึกลมปราณเลื่อนจากขอบเขตก่อกำเนิดเป็นห้าขอบเขตบน กลัดกลุ้มจนหลายปีมานี้หลิวจงดื่มเหล้าดับทุกข์ไปไม่น้อย
ได้ยินมาว่าอาจารย์จ้งแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นั้นแม่งเป็นคอขวดขอบเขตเดินทางไกลแล้ว
ส่วนน้องเฉินที่อยู่ข้างกายเป็นอย่างไร มาแข่งกันเรื่องพวกนี้ทำไม ก็เหมือนเด็กรุ่นเยาว์ในบ้านตัวเองได้ดิบได้ดีนั่นแหละ เขาดีใจยังแทบไม่ทัน
เพราะว่าบนเรือข้ามฟากมีแม่ทัพผู้เฒ่าเหยานั่งบัญชาการณ์ แล้วยังมีเหยาเซียนจือจวิ้นหวังเจ้าเมืองประจำเมืองหลวง ดังนั้นนอกจากหลิวจงคนลับมีดที่รับหน้าที่คุ้มกันเรือข้ามฟากแล้ว ยังมีผู้ฝึกลมปราณเซียนดินอีกหลายคน ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย
เป็นเหตุให้เฉินผิงอันไม่จงใจไปตรวจสอบเลยสักนิดว่ามียอดฝีมือที่อำพรางตัวอยู่หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เสี่ยวหลงชิวแห่งนั้น
เฉินผิงอันเพียงแค่งอนิ้วเคาะลงบนราวบันไดเบาๆ ไม่รู้ว่าใช้วัตถุดิบตระกูลเซียนประเภทใดสร้างขึ้นมา เสียงดังกังวานเหมือนเสียงหินทอง
เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกเป็นต้นกำเนิดเงินทองของภูเขาลั่วพั่วมาโดยตลอด คนของเรือข้ามฟากเกือบครึ่งล้วนแทบจะแซ่เฉินกันหมดแล้ว
การที่ไม่ได้ถูกโยกย้ายให้ไปทำหน้าที่เป็น ‘ผู้คุ้มกัน’ บนมหาสมุทรก็เพราะว่าสำนักเบื้องบนในแผ่นดินกลางได้เป็นฝ่ายมอบเรือข้ามฟากลำหนึ่งไปให้ศาลบุ๋นจัดการนานแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่หวนกลับมายังใต้หล้าไพศาล เฉินผิงอันจึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คราวก่อนที่อยู่ในสวนกงเต๋อ พออาจารย์ได้ดื่มเหล้าก็อารมณ์ดี จึงไม่ทันระวังหลุดปากพูดออกไป
หากสำนักพีหมาเป็นแค่สำนักเบื้องล่าง ก็อาจจะพอรั้งเรือข้ามทวีปลำหนึ่งไว้ได้ แต่ในฐานะหนึ่งในสำนักของอุตรกุรุทวีป เก้าทวีปแห่งไพศาล แต่ละทวีปล้วนมีส่วน และอันที่จริงอุตรกุรุทวีปก็ยังขาดเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่ต้องส่งให้ศาลบุ๋นพอดี ดังนั้นสำนักพีหมาจึงกลายมาเป็นเหมือนสำนักที่ควรจะส่งมอบเรือข้ามฟากออกไป ผลคือเหมาเสี่ยวตงที่ได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้อำนวยการของสถานศึกษาหลี่จี้ไม่รู้ว่าอย่างไร ถึงได้แนะนำสำนักฉงหลินที่มอบเรือข้ามฟากมาให้สองลำแล้ว บอกว่าให้เอามามอบอีกลำก็แล้วกัน ถึงอย่างไรก็มีเงินมากมาย ต่อให้มอบให้ศาลบุ๋นสามลำก็ยังเหลืออีกหนึ่งลำ
นั่นเป็นการประชุมภายในขนาดเล็กของศาลบุ๋น มีเพียงเจ้าลัทธิและรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นสามท่าน ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการของสถานศึกษาใหญ่สามแห่ง กับอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้แล้วเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาทุกคนต่างก็ไม่ได้มาเข้าร่วมการประชุม
เหมาเสี่ยวตงรองผู้อำนวยการสถานศึกษาที่เรือนกายสูงใหญ่พูดเช่นนี้ก็ทำให้คนทุกคนเงียบงันกันไปทันที
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้จึงได้แต่บากหน้าพูดเออออไปกับรองผู้อำนวยการเหมาบ้านตน จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นต่างอีก ถือว่ายอมรับระเบียบวาระการประชุมนี้ไปโดยปริยายแล้ว
ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่ายังไม่ได้ตำแหน่งเทวรูปในศาลบุ๋นคืนมา แน่นอนว่าต้องไม่ได้อยู่ในการประชุมด้วย
รองผู้อำนวยการสถานศึกษาสายของหลี่เซิ่งพูดผดุงความเป็นธรรม เกี่ยวอะไรกับสายเหวินเซิ่งของข้าด้วยเล่า
ผู้ฝึกกระบี่มีธรรมเนียมของการถามกระบี่ ถ้าอย่างนั้นการ ‘ถามสุรา’ ของซิ่วไฉเฒ่าก็เป็นสุดยอดแห่งไพศาลแล้ว
ตรงทางขึ้นบันได แม่ทัพผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “เดิมทีอยากจะทำให้เจ้าประหลาดใจ”
เหยาเซียนจือที่มีแขนข้างเดียวประคองจับที่ชุดคลุมหนังจิ้งจอก ท่านปู่ดื้อมาก บอกว่าแค่เดินไม่กี่ก้าวก็ต้องหนาวตายแล้วจะยังออกจากบ้านเดินทางไกลกะผายลมอะไร
อุบายน้อยนิดนั้นของท่านปู่ อันที่จริงก็แค่คนที่ไม่ยอมแก่เท่านั้น เจ้าเมืองเหยาจึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้
เหยาจิ้นจือยิ้มเอ่ย “นี่เรียกว่าคนที่ว่าแน่ย่อมต้องยังมีคนที่แน่กว่า”
เมื่อก่อนจะครึ่งชายแขนเสื้อข้างหนึ่งที่ว่างเปล่าทิ้งไว้ข้างกาย ตอนนี้ใต้เท้าเจ้าเมืองจึงมัดชายแขนเสื้อข้างนั้นเป็นปมเอาไว้ ราวกับต้องการบอกกับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมาว่าข้าขาดแขนไปข้างหนึ่ง พวกเจ้าอยากหัวเราะก็เชิญหัวเราะได้ตามสบาย
ที่แท้แม่ทัพผู้เฒ่าก็จงใจบอกถึงกำหนดการเดินทางช้าไปสองวัน
เห็นได้ชัดว่าพอเฉินผิงอันได้รับจดหมายกระบี่บินจากจวนเหยาก็ออกจากด่าน รีบเดินทางไปที่นครเซิ่นจิ่งทันที คิดจะมาคุ้มกันเรือข้ามฟากลำนี้ไปยังภูเขาเซียนตูด้วยตัวเอง
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางเจอเรือข้ามฟากลู่เสียนจือลำนี้ระหว่างทาง
เฉินผิงอันเดินก้าวเร็วๆ ขึ้นไปข้างบน
แม่ทัพผู้เฒ่ายื่นมือมาจับแขนของเขา ยิ้มเอ่ย “ไป ดื่มเหล้ากันสักสองสามจอกดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลงกันก่อนนะว่าจะไม่ดื่มเยอะ”
หลิวจงไม่ได้ติดตามมาด้วย ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าในใจของแม่ทัพผู้เฒ่า เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้นอกจากจะเหมือนหลานแท้ๆ ครึ่งตัวของจวนเหยาแล้ว ก็อาจจะเป็นหลานเขยครึ่งตัวด้วย?
ในห้องมีกระถางไฟใบใหญ่ เหยาเซียนจือรับผิดชอบอุ่นสุรา
เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งยาว ค้อมเอวหยิบที่คีบถ่านขึ้นมาขยับถ่านเบาๆ ถามว่า “ดาบ ‘หมิงเฉวียน’ เล่มนั้นของเหยาหลิ่งจือ ยังหาไม่เจออีกหรือ?”
คงเป็นเพราะรู้นิสัยของแม่ทัพผู้เฒ่าดี เรือข้ามฟากลำนี้จึงจงใจประดับตกแต่งห้องแห่งนี้ให้เรียบง่ายมากที่สุด
ในฐานะใต้เท้าเจ้าเมืองที่ดูแลเรื่องนี้ เขาเบ้ปาก “ยาก ไม่มีเบาะแส แต่ดันขุดไปเจอเรื่องที่น่าอายเสียหลายเรื่อง”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ในที่สุดก็มีมาดของเจ้าเมืองบ้างแล้ว ทำดาบหาย ไม่นับเป็นอะไรได้”
เหยาเซียนจือเอ่ยอย่างอัดอั้น “ท่านปู่ อย่างท่านนี่เรียกว่ายืนพูดไม่ปวดเอว พูดง่ายจังเลยนะ จวนเจ้าเมืองระดมกำลังพลมากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่ได้ผล เอาเป็นว่าในใจข้ารู้สึกไม่ดีเลย”
“ข้าไม่ได้ยืนนะ ข้านั่งพูด”
ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “อีกอย่างอายุก็ตั้งปูนนี้แล้วยังเป็นโสดอยู่ได้ เอวไม่ดีหรือ? มิน่าเล่าในอดีตเวลาดื่มเหล้ากับคนอื่นถึงไม่กล้าไปแถวสถานเริงรมย์”
เหยาเซียนจือยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ได้ยินแล้วก็หน้าแดงก่ำ เงยหน้าบ่น “ท่านปู่ ท่านอย่าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าอาจารย์เฉินได้หรือไม่ขอรับ”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าสังเกตเห็นแล้วว่าบนเรือมีผู้ถวายงานหญิงอยู่คนหนึ่ง อายุไม่มาก แต่ขอบเขตกลับไม่ต่ำ ก่อนหน้านี้นางยืนอยู่บนชั้นสองของเรือข้ามฟาก สายตาที่นางมองเซียนจือ อืม พอจะมีลุ้นอยู่บ้าง ไม่เลวแล้ว”
ผู้เฒ่าเลิกคิ้ว รู้สึกสนใจขึ้นมาทันใด “อ้อ? ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
ผู้ฝึกตนของต้าเฉวียนที่สามารถมารับหน้าที่อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ได้ ปีนั้นจะต้องเคยไปเยือนสนามรบมาก่อนแน่นอน