กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 906.3 บ้านเกิดที่ไม่เติบใหญ่
เฉินผิงอันไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เพียงยกแขนข้างหนึ่ง ใช้นิ้วมือสองนิ้วคีบปลายมีดจู๋ลู่เอาไว้ ยกฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของหลิวจงหนักๆ หนึ่งทีจนหลิวจงล้มตึงลงไปกับพื้น กริชหลุดออกจากมือ เฉินผิงอันก็ยกเท้าเตะลงบนหัวของหลิวจง พริบตาเดียวร่างของอีกฝ่ายก็กระเด็นไปในแนวขวางไกลหลายสิบจั้ง
เฉินผิงอันยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงแค่โยนกริชคืนให้หลิวจงเบาๆ
หลิวจงกระโดดลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปรับกริชเอาไว้ ใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ก่อนจะเอียงศีรษะหันไปถ่มเลือดเหนียวข้นอีกทาง เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “เจ้าตัวดี ไม่กดขอบเขตเลยรึ?
เฉินผิงอันย้อนถาม “กดขอบเขตหรือไม่กด มีความต่างอย่างนั้นหรือ? ก็ยังต้องให้ข้าออมมือแล้วออมมืออีก ถึงจะป้องกันไม่ให้ตัวเองไม่ทันระวังฆ่าเจ้าตายเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เหยาเซียนจือที่ชมศึกอยู่ไกลๆ เบิกตากว้าง ได้ยินประโยคนี้ของอาจารย์เฉินก็พลันรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า ราวกับว่าตัวเองไม่เคยรู้จักอาจารย์เฉินอย่างแท้จริงมาก่อน
แม่ทัพผู้เฒ่าดื่มเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขาเดินผ่านมาอย่างไรล่ะ”
ข้าวหนึ่งชนิดเลี้ยงคนได้หนึ่งร้อยรูปแบบ ข้าวร้อยบ้านเลี้ยงคนคนหนึ่งให้มีชีวิตรอด
ด้วยวิถีทางโลกและใจคน การเอาชีวิตรอดจึงไม่ง่าย ความยากลำบากที่ต้องประสบพบเจอระหว่างนี้ มิอาจเอื้อนเอ่ยให้คนนอกรับรู้ได้ บางทีคำพูดเพียงหนึ่งเดียวหรือหลักการเหตุผลทั้งหมด สำหรับผู้ฝึกกระบี่คงอยู่แค่ที่กระบี่ ส่วนสำหรับผู้ฝึกยุทธก็อยู่แค่ที่หมัดเท่านั้น
ทางฝั่งของลานประลองยุทธ เฉินผิงอันส่ายหน้ากับตัวเอง “พื้นฐานขอบเขตร่างทองแค่พอถูไถ เรือนกายไม่ใช่กระดาษเปียกอย่างกล้อมแกล้ม ก็รู้สึกว่าสามารถเป็นขอบเขตเดินทางไกลครึ่งตัวได้แล้วหรือ? ไม่บังเอิญเลย อยู่กับข้าคนนี้ จะคิดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ”
“จะขอให้ข้ากดขอบเขตก็ได้ ข้าจะกดขอบเขตทีเดียวสามขั้น ใช้ขอบเขตเดียวกันเรียนรู้วิชามีดของอีกฝ่าย”
“หรือทางเลือกที่สอง กดหรือไม่กดขอบเขตแล้วแต่ข้า ข้าจะยืนนิ่งไม่ขยับ จะทำให้ข้าเคลื่อนที่ได้หรือไม่แล้วแต่เจ้า หากข้าขยับแม้แต่ครึ่งก้าวก็จะถือว่าข้าแพ้”
สายของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว
แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนป้อนหมัดสอนหมัดกันเช่นนี้
รับไม่ได้ ทนไม่ไหวก็ถอยกลับไปดื่มเหล้าเสีย ทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นพี่หลิวกับน้องเฉินเหมือนเดิม
หลิวจงไม่ได้เอ่ยอะไร แน่นอนว่าเขาเลือกอย่างที่สอง
ภายในหนึ่งก้านธูป เฉินผิงอันยืนนิ่งมั่นคงดุจภูผา หากว่ากริชขยับเข้าใกล้ตัวก็จะใช้คมกริชของตัวเองดันออกเบาๆ แต่หากหมัดเท้าของหลิวจงขยับเข้ามาใกล้ หากเฉินผิงอันไม่ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายต่อยเตะด้วยสีหน้าเฉยเมย ผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตร่างทองคนหนึ่งออกกำลังอย่างเต็มที่ เมื่อหล่นลงบนร่างของคนชุดเขียว กลับเห็นได้ชัดว่าไม่เจ็บไม่คัน ไม่อย่างนั้นเขาก็…ยกฝ่ามือตบให้หลิวจงกระอักเลือดกระเด็นออกไปโดยตรง
การถามหมัดที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด หลิวจงคล้ายกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่คิดจะขยับเคลื่อนภูเขา ไม่รู้จักประมาณตน ถึงท้ายที่สุดหมัดก็มีแต่จะได้รับความเสียหาย ยิ่งออกหมัดหนักเท่าไรก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บมากเท่านั้น
โงนเงนลุกขึ้นยืน เรือนกายส่ายไหว หลิวจงกำกริชที่อยู่ในมือแน่น ก้มหน้าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด หยดเลือดไหลกระทบพื้น
หลิวจงพลันเงยหน้าขึ้น ผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ไปแล้วกี่ครั้ง เส้นสายตาพลันพร่าเลือน ได้แต่มองเห็นอย่างเลือนรางว่าบุรุษชุดเขียวที่อยู่ห่างไปไม่ไกลถึงกับผิดคำพูด อยู่ดีๆ ก็ตั้งท่าหมัดที่โบราณเรียบง่ายแต่ปณิธานเข้มข้นอย่างไม่มีบอกกล่าว เหมือนกับว่าจะเป็นฝ่ายปล่อยหมัดใส่ตน
ไม่ใช่เหมือนกับแล้ว แต่ปล่อยมาจริงๆ
ในที่สุดอีกฝ่ายก็ออกหมัดแล้ว
เมื่อครู่ลุกขึ้นยืนได้ก็เผาผลาญพละกำลังทั้งหมดของหลิวจงไปจนสิ้นแล้ว เพียงแค่การกระทำเรียบง่ายเช่นนี้กลับไม่ต่างไปจากช่วงเวลาที่ปณิธานหมัดของหลิวจงพุ่งสูงถึงขีดสุดตอนอยู่ในยุทธภพของบ้านเกิด แล้วได้เข่นฆ่าเอาชีวิตกับปรมาจารย์ขอบเขตเดียวกันพวกนั้นเลย เรือนกายของผู้เฒ่าปลิวออกไป มีเพียงมือข้างที่กำกริชที่ยังคงกำไว้แน่น หลับตาลง อยากจะฝืนดึงปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เอาไว้ แต่ไร้ผล ทำไม่ได้แล้ว ระหว่างฟ้าดินล้วนมีแต่ปณิธานหมัดของอีกฝ่าย ทำให้ผู้เฒ่ามีความรู้สึกเหมือนแมลงเม่าในฟ้าดิน เหมือนเมล็ดงาในเขาพระสุเมร ตัวข้าช่างเล็กจ้อยต่ำต้อยเหลือเกิน อีกทั้งยังรู้สึกเพียงว่าหลังจากที่อีกฝ่ายปล่อยหมัดนี้ออกมา ขอบเขตของตนต้องถดถอยอย่างแน่นอน...เพียงแต่ว่าชั่วพริบตานั้น แม้แต่ความรู้สึกซับซ้อนวุ่นวายใจที่แวบผ่านไปรวดเร็วดุจม้าขาวควบผ่านช่องแคบพวกนี้กลับล้วนถูกปณิธานหมัดที่เอ่อท้นท่วมฟ้าดินราวกับกระแสน้ำขึ้นกลบทับจนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว ไม่เหลือเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายใดๆ
หลิวจงพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าเหี้ยมเกรียม กัดฟันแน่น มือสั่นสะท้าน อาศัยเรือนกายที่โงนเงน ถึงกับพลิกตัวหมุนกลับส่งมีดใส่เงาร่างชุดเขียวไปอย่างสะเปะสะปะ
เรือนกายขยับอย่างเชื่องช้า แขนขาอ่อนแรง กริชเฉาจื่อที่อยู่ในมือไม่มีประกายมีดแผ่ออกมาสักเสี้ยว
ทว่ามีดนี้ ผู้เฒ่าที่คือหลิวจง คือบุคคลอันดับหนึ่งด้านวิชามีดของพื้นที่มงคลดอกบัวจำเป็นต้องส่งออกไป!
ครู่หนึ่งต่อมา หรือบางทีอาจจะผ่านไปนานมาก หลิวจงที่จิตสำนึกพร่าเลือนพอจะคืนสติได้บ้างแล้ว ผู้เฒ่าพลันค้นพบว่ามีมือข้างหนึ่งกดลงมาที่ไหล่ของตัวเอง ได้ยินเพียงคนผู้นั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หมัดดี”
……
เสี่ยวหลงชิว หลงหรานเซียนจวินที่มาจากสำนักเบื้องบนได้หวนกลับไปยังแผ่นดินกลางแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่ได้พบหน้าทั้งหลินฮุ่ยจื่อเจ้าขุนเขาและผู้คุมกฎเฉวียนชิงชิว
โชคดีที่นักพรตหญิงซึ่งสร้างกระท่อมอยู่บนยอดเขาซินอี้ของภูเขาบรรพบุรุษก็ขี่กระบี่ไปจากเสี่ยวหลงชิวแล้วเช่นกัน นางแค่บอกให้ลิ่งหูเจียวอวี๋ช่วยเฝ้ากระท่อมหลังนั้นให้
ในเมื่อมาถึงภูเขาเซียนตูแล้ว กั่วหรานเซียนเหรินแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กที่ช่วยปกป้องมรรคาให้เด็กทั้งสองซึ่งข้ามทวีปเดินทางไกลมาเยือน อุตส่าห์ได้มาใบถงทวีปทั้งที จึงออกจากยอดเขามี่เซวี่ย ออกไปท่องขุนเขาสายน้ำข้างนอกเพียงลำพัง
เจิ้งโย่วเฉียนกับถานอิ๋งโจวจะต้องไปที่หาดลั่วเป่าทุกวัน ฟังอาจารย์เสี่ยวโม่ถ่ายทอดวิชาคำสอน แล้วยังช่วยกันหมักเหล้าอีกด้วย
จวนที่อยู่บนยอดเขามี่เซวี่ย หวงอีอวิ๋นที่บาดแผลหายดีพอสมควรแล้ว วันนี้ออกจากบ้านมาชมหิมะ นางเดินเล่นไปตลอดทาง ก็ได้เห็นว่าฉิวตู๋ปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนเด็กสาวหูฉู่หลิง
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้มาจากหญิงชราว่า เซวียไหวผู้เป็นลูกศิษย์กับเผยเฉียนมีการประลองฝีมือกันที่หอซ่าวฮวาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อย
เมืองหลวงต้าหลีแจกันสมบัติทวีป บัณฑิตคนหนึ่งพาเด็กรับใช้ชุยซื่อเดินทางไปเยี่ยมเยือนศาลเทพอัคคีด้วยกัน ไปหาเฟิงอี๋ที่ใต้ซุ้มดอกไม้
เฟิงอี๋เห็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทะยานลมเดินทาง เบาพลิ้วล่องลอยทั้งยังงดงาม”
หลี่ซีเซิ่งประสานมือคารวะ เรือนกายของเฟิงอี๋พลันหายวับไปจากม้านั่งหินใต้ซุ้มดอกไม้ ไม่รับการคารวะนี้ นางไปยืนอยู่ข้างโต๊ะหินแทน
หลี่ซีเซิ่งยืดตัวขึ้นแล้ว เฟิงอี๋ก็หยิบเหล้าออกมาสองกา เอ่ยต่อว่า “แม้ว่าจะมันจะไม่เหนื่อยเท่าเดินเท้า แต่ก็ยังต้องพึ่งพาอย่างอื่น”
ชุยซื่อเด็กรับใช้ทั้งไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้าผู้นี้เป็นใคร ยิ่งไม่รู้ว่านางเล่นแง่อะไรอยู่ เด็กหนุ่มรู้แค่ว่าสองประโยคนี้ของนาง แรกเริ่มสุดนั้นมาจากลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มหามรรคาควรเอ่ยคำใด ใบไม้เหลืองเกลื่อนเต็มพื้น”
ในอาณาเขตของราชวงศ์อวิ๋นเซียวแห่งใหม่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป บนยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาสูงตระหง่าน มีคนสองคนมาหยุดเท้าอยู่ที่นี่ กวาดตามองไปรอบด้าน
คนหนึ่งคือบุรุษหนุ่มที่สวมชุดผ้าป่านสวมรองเท้าสาน เรือนกายแข็งแกร่งกำยำ สีหน้าเฉยเมย ข้างกายมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รูปโฉมหล่อเหลา สวมมงกฎหยกม่วง รัดเข็มขัดหยกขาว
เด็กหนุ่มก็คืออู๋ถีจิงผู้ฝึกกระบี่ที่ออกมาจากภูเขาตะวันเที่ยง เขามองบุรุษที่ทรุดตัวลงนั่งยองเคี้ยวหญ้าหวานต้นหนึ่ง เอ่ยว่า “หูเฟิง ข้ารู้สึกว่าที่นี่ก็ไม่เลว”
ในรัศมีหลายร้อยลี้รอบด้าน อันที่จริงปราณวิญญาณบางเบา แต่เมื่อเทียบกับ ‘สถานที่ภูเขาเขียวน้ำใสงดงาม’ ในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปแล้วก็ดีกว่าหลายเท่าแล้ว ทุกวันนี้ทุกหนแห่งในแจกันสมบัติทวีปล้วนมีแต่กองกำลังบนภูเขาที่ยุ่งอยู่กับการแย่งชิงพื้นที่กัน แบ่งที่แห่งนี้ไปหนึ่งส่วน วาดวงกลมกำหนดที่แห่งนั้นไปหนึ่งชิ้น หรือไม่ก็เป็นราชวงศ์ แคว้นใต้อาณัติที่กอบกู้แคว้นสำเร็จที่ส่งตัวตี้เซียนจากกองโหราศาสตร์ให้มาช่วยจวนเซียนบนภูเขาในอาณาเขตของแคว้นบ้านตนตามหาสถานที่แห่งใหม่ ก่อนหน้านี้มีภูเขาอยู่หลายแห่งที่คนทั้งสองถูกใจ ต่อให้จะเป็นที่กันดารไร้ผู้คนอยู่อาศัย แต่ก็ยังมีเงาของผู้ฝึกตนให้เห็น ถือว่าใครมาก่อนก็ได้ก่อน พวกเขาหาภูเขาที่พอจะถือว่าถูไถได้กล้อมแกล้มลูกนี้เจอก็ถือว่าไม่ง่ายอย่างมากแล้ว
บุรุษที่มีชื่อว่าหูเฟิงเคี้ยวต้นหญ้า พยักหน้า “งั้นก็เอาที่นี่แหละ”
เพราะภูเขาที่คนทั้งสองคิดจะก่อตั้งสำนัก อันที่จริงก็มีแค่หูเฟิงกับอู๋ถีจิงสองคนเท่านั้น
ทว่าทั้งสองฝ่ายกลับไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่อะไร
คนทั้งสองต่างคนต่างออกเดินทางไกล จากนั้นก็ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ ไม่นานก็ได้มาเป็นสหายกัน แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้อธิบาย
อันที่จริงนิสัยใจคอของคนทั้งสองต่างกันมาก คนหนึ่งใจใหญ่ เรียกได้ว่ามั่นใจในตัวเองจนถึงขั้นทระนงตน ถึงอย่างไรข้าอู๋ถีจิงเกิดมาก็ควรเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งอยู่แล้ว แค่จะเป็นได้ช้าหรือเร็วก็เท่านั้น
คนผู้หนึ่งใจกว้าง หูเฟิงมีนิสัยอบอุ่นอ่อนโยน เวลาปกติมักจะพูดช้าๆ ข้อเดียวที่เหมือนกันก็คงเป็นเรื่องที่คนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่
อู๋ถีจิงหน้าบานเป็นกระด้ง เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจมากล้น เป็นความมั่นใจที่ราวกับว่ามีมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เขายิ้มเอ่ย “หูเฟิง พรรคแห่งนี้ของพวกเรา เจ้าเป็นประมุขแล้วกัน ถือโอกาสดูแลเรื่องเงินทองไปด้วย ส่วนข้าจะเป็นแค่บรรพจารย์ผู้คุมกฎ ถึงอย่างไรก็ต้องกลายเป็นสำนักวิถีกระบี่อักษรจงแห่งหนึ่งให้จงได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็คือเจ้าสำนักแล้ว อืม เหมือนๆ กับเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วอย่างไรล่ะ”
คนผู้หนึ่งอายุสี่สิบต้นๆ คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร
คนผู้หนึ่งยังไม่ถึงยี่สิบ คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง
อายุของคนทั้งสองรวมกันก็ยังไม่ถึงหกสิบปี แต่กลับจะลงมือสร้างพรรคและสำนักในอนาคตแล้ว
หากจะพูดถึงแค่เงินเทพเซียน อันที่จริงเอาเงินบนร่างของคนทั้งสองมารวมกันก็ยังได้ไม่ถึงหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชด้วยซ้ำ
“ผู้คุมกฎ? พรรคแห่งนี้ของพวกเรา คาดว่าคงมีแค่พวกเราสองคนไปอีกนานเลยล่ะ นอกจากข้าแล้ว เจ้ายังจะคุมใครได้อีก?”
หูเฟิงเอ่ยเนิบช้าว่า “ไปเทียบกับเขาไม่ได้หรอก”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเปรียบเทียบกัน ต่างคนต่างเดินบนเส้นทางของตัวเอง ต่างคนต่างมีวิธีใช้ชีวิตของตัวเอง
อู๋ถีจิงเอ่ย “หูเฟิง นิสัยที่ชอบดูถูกตัวเองเช่นนี้ของเจ้า วันหน้าต้องเปลี่ยนแล้วนะ เรียนรู้จากข้าไปให้มาก”
หูเฟิงเอ่ย “นิสัยที่เห็นตัวเองเป็นใหญ่ของเจ้าก็เป็นนิสัยเสียๆ เหมือนกัน หากวันหน้ายังไม่สำรวมตนอีก ต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงแน่”
อู๋ถีจิงเด็กหนุ่มที่มอบความรู้สึกบ้าระห่ำให้ผู้คนอย่างแท้จริงหัวเราะเสียงดังลั่น ดังนั้นตนถึงได้ถูกชะตากับหูเฟิงอย่างไรเล่า
ไม่เหมือนภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนั้น ทุกครั้งที่ตนออกไปข้างนอก รอบกายหากไม่ใช่สายตาประจบเอาใจ สายตายกยอสรรเสริญ ก็ต้องเป็นพวกผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ใช้สีหน้าปลาบปลื้มชื่นชมเอ่ยคำชมเชย ล้วนเป็นพวกเขาที่คิดเองเออเองกันทั้งนั้น ไม่เข้าใจจริงๆ ข้าอู๋ถีจิงฝึกกระบี่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย?
อู๋ถีจิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยอง ถามว่า “เจ้ากับไอ้หมอนั่นเป็นคนบ้านเดียวกัน ทั้งยังอายุเท่ากัน สนิทกันหรือไม่?”
หูเฟิงหันหน้ามามองอู๋ถีจิงแล้วคลี่ยิ้ม คล้ายกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ช่างหาได้ยากจริงๆ ที่อู๋ถีจิงก็รู้สึกสนใจในตัวคนบางคนเช่นนี้
อู๋ถีจิงเบ้ปาก “ข้าบ้าระห่ำก็จริง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่เพียงแต่เฉินผิงอันเท่านั้น ยังมีหลิวเสี้ยนหยางด้วยที่ข้าเอาชนะไม่ได้”
หูเฟิงเอ่ยเพิ่มสามคำมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “แค่ชั่วคราว?”
อู๋ถีจิงยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้น?”
บ้านบรรพบุรุษของหูเฟิงอยู่ที่ตรอกเอ้อหลาง ห่างจากบ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลีไม่ไกลนัก
ตอนเด็กเขามักจะติดตามท่านปู่เดินแวะเวียนไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ช่วยซ่อมแซมถ้วยโถโอชาม ลับมีด ฯลฯ
ขนบธรรมเนียมเก่าแก่ของที่บ้านเกิด ท่านปู่รู้เยอะมาก จึงมักจะไปช่วยงานมงคลบ่อยๆ แล้วก็จะได้เงินบางส่วนมาใช้จ่ายในบ้าน บวกกับที่ท่านปู่เปิดร้านขายของกระจุกกระจิกด้านงานมงคลอย่างพวกกลอนคู่ กระดาษแปะหน้าต่าง ฯลฯ ชีวิตของหูเฟิงตอนเด็กจึงไม่ถือว่ายากจนเกินไปนัก เพียงแต่ว่าท่านปู่แซ่ไฉ เขากลับแซ่หู พวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงต่างก็พูดกันว่าท่านปู่ของเขาเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้าน ดังนั้นตอนเด็กๆ หูเฟิงจึงถูกคนดูแคลนไม่น้อย มักจะถูกคนวัยเดียวกันยกมาพูดนินทา ส่วนชื่อของท่านปู่ก็มีเพียงตอนที่จำต้องแกะสลักลงไปบนก้อนหินเท่านั้น หูเฟิงถึงเพิ่งจะได้รู้เป็นครั้งแรก