กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 907.1 เสริมตำแหน่งขาด
ก่อนจะขึ้นเขา เหยาเซียนจืออยากจะห่มเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้กับท่านปู่ เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า ใช้สายตาบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้
ภายหลังเหยาเซียนจือก็สังเกตเห็นว่า ในช่วงเวลาที่หิมะละลายนี้ หิมะที่กองสะสมกันขาวผ่องนวล ดุจห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าสีเงิน ภูเขาเกาะไปด้วยน้ำแข็งเยือกเย็นสายน้ำไม่ไหลริน ทว่าสายลมภูเขากลับอบอุ่น ทำให้คนไม่รู้สึกถึงไอหนาวแม้แต่น้อย อีกทั้งหิมะที่กองทับถมกันบนเส้นทางภูเขาเส้นนี้ได้ละลายหายไปด้วยตัวเองนานแล้ว ราวกับว่ามีเทพภูเขาช่วยทำการเปิดทาง ‘ทำความสะอาดถนน’ ให้กับคนทั้งสามอย่างที่มองไม่เห็น
นั่งอยู่บนหลังม้ามาชั่วชีวิต ตอนที่อยู่ชายแดนของต้าเฉวียนนอกจากบางครั้งที่ต้องเข้าเฝาฮ่องเต้แล้วก็แทบจะไม่เคยย่างกรายไปไหน ทั้งไม่เคยสะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษา แล้วก็ไม่เคยไปแวะไปเยี่ยมเยือนสถานที่งดงามสำรวจผจญภัย ขุนเขาสายน้ำใหญ่มีชื่อเสียงที่ผู้เฒ่าเหยียบย่างไปเยือนอย่างแท้จริงมีน้อยจนนับนิ้วได้
หวนนึกถึงอดีตหันห่างไกล เด็กหนุ่มที่เป็นทหารลาดตระเวนชายแดนควบม้าขับไล่ศัตรู หิมะเกาะเต็มดาบและธนู ทุกครั้งที่เจอกับผิวแม่น้ำที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง กีบเท้าม้ากระทืบลงบนนั้นจะต้องได้ยินเสียงเหมือนหยกแตก
เหยาเซียนจือเอ่ยเตือนเสียงเบา “อาจารย์เฉิน พวกเราเดินไปบนเส้นทางภูเขากันแค่ระยะทางช่วงหนึ่งก็พอ ไม่อาจปล่อยตามใจท่านปู่ให้เขาเดินไปจนถึงยอดเขาชิงผิงได้นะ”
ก็เหมือนอย่างที่ฮ่องเต้มาพูดคุยกับเขาและเหยาหลิ่งจือเป็นการส่วนตัว ทุกวันนี้ท่านปู่ก็คือเด็กแก่คนหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้าจะดูแลให้เอง”
ผู้เฒ่าไม่ได้พูดจาดื้อดึงอย่างที่หาได้ยาก แค่เดินขึ้นเขาไปช้าๆ ถามชวนคุยว่า “ผิงอัน เจ้าว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราเดินขึ้นเขาจะเหมือนเซียนซืออย่างพวกเจ้าทะยานลมหรือไม่ ต่างก็พยายามเดินขึ้นสูงไปเรื่อยๆ เพื่อมองให้เห็นฟ้าดินกว้างไกล?”
เฉินผิงอันเอ่ย “โดยแก่นแท้แล้วก็น่าจะเหมือนกัน แต่ก็ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาบางส่วนของใต้หล้ามืดสลัวกลับมีอารมณ์สุนทรีย์อย่างมาก ยังนัดหมายกันขึ้นไปยังสถานที่ที่สูงและหนาว ร่ำสุราใต้ดาวเป่ยโต้วที่อยู่ใกล้ราวกับจะเอื้อมจับได้ ไม่เหมือนอย่างใต้หล้าไพศาลของพวกเรา ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิงไม่ค่อยคุมเข้มมากนัก”
ผู้เฒ่ายิ้มถาม “แล้วเจ้าล่ะ วันหน้าจะทำแบบนี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ขอแค่ขอบเขตเพียงพอก็อยากจะลองทำดูเหมือนกัน”
เหยาเซียนจือนึกเรื่องลากดวงจันทร์ในรายงานได้ จึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “ดวงจันทร์ฮ่าวไฉ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างดวงนั้นใหญ่มากเลยหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “อันที่จริงมองดวงจันทร์ดวงนั้นใกล้ๆ จะเห็นว่าบนพื้นมีแต่ความรกร้างว่างเปล่า พอจะมีเทือกเขาให้เห็นอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่แห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา ไร้น้ำไร้ต้นไม้ใบหญ้า ไม่เหมือนกับที่บรรยายไว้ในนิยายเลย แต่จากบันทึกลับของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและของคฤหาสน์หลบร้อน เมื่อหมื่นปีก่อน ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางนภาพวกนี้ แท้จริงแล้วครึกครื้นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่ามีมนุษย์ธรรมดาพักอาศัยอยู่ข้างในนั้นด้วยซ้ำ ไม่ต่างจากตลาดล่างภูเขาในทุกวันนี้สักเท่าไร พวกเขาถูกเรียกรวมกันว่าชาวดวงจันทร์ คือสำมะโนครัวอย่างหนึ่ง ช่างฝีมือที่รับผิดชอบสร้างตำหนักบนดวงจันทร์จะถูกเรียกว่า ‘ช่างสวรรค์’”
เหยาเซียนจือฟังจนปากค้าง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใช่แล้ว ทุกวันนี้ในมือข้าได้ครอบครองตำหนักดวงจันทร์โบราณแห่งหนึ่ง ยังไม่ได้มอบไปให้คนอื่น หากว่าท่านปู่เหยาสนใจ คราวหน้าพวกเราสามารถเข้าไปเที่ยวข้างในด้วยกันได้”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ตำหนักที่กว้างใหญ่ อาณาบริเวณกว้างขวางไร้ที่สิ้นสุดแล้วอย่างไร ไม่มีใครอยู่สักคนก็ไม่มีความหมาย จะต่างจากพวกเราไปเดินเล่นในนครเซินจิ่งตอนกลางคืนที่ห้ามเข้าออกยามวิกาลอย่างไร”
เหยาเซียนจือกลับรู้สึกสนใจมาก ได้ยินท่านปู่พูดอย่างนี้จึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เฉินผิงอันมองใต้เท้าเจ้าเมือง เจ้าโง่หรือไร ท่านปู่เหยาแกล้งทำเป็นดื้อดึงกับพวกเราไปอย่างนั้นเอง เจ้าไม่รู้จักพาดบันไดช่วยพูดเออออบ้างเลยหรือ?
ได้รับสายตาบอกเป็นนัยจากอาจารย์เฉิน ถึงอย่างไรเหยาเซียนจือก็มีประสบการณ์อยู่ในวงการขุนนางมานานหลายปี ในใจพลันกระจ่างแจ้ง
ผู้เฒ่าพลันเอ่ยถาม “ได้ยินมาว่าเจ้าขุนเขาเฉิงแห่งสำนักศึกษาต้าฝูคนนั้นมาจากแคว้นหวงถิงแจกันสมบัติทวีป ยังเคยรับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาและผู้บรรยายหลักของสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วด้วยใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กับเจ้าขุนเขาเฉิงถือว่าเป็นคนรู้จักเก่ากันแล้ว ตอนที่อายุน้อยเคยเดินทางไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยกับคนอื่นๆ ระหว่างทางได้ผ่านป่าเขาของแคว้นหวงถิง บังเอิญเดินทางผ่านคฤหาสน์ในป่าของเจ้าขุนเขาเฉิง ได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากเขา ของป่าหายาก ผักผลไม้ตามฤดูกาลวางเต็มโต๊ะอาหารตัวใหญ่ จนถึงทุกวันนี้พอคิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อดรู้สึกน้ำลายสอไม่ได้ทุกที”
นอกจากสำนักศึกษาต้าฝูที่ตั้งอยู่ภาคกลางของทวีป และยังมีสำนักศึกษาเทียนมู่ทางทิศเหนือของใบถงทวีป กับสำนักศึกษาอู่ซีทางทิศใต้ ตัวเลือกเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาสองคนมาจากสายหลี่เซิ่งและสายหย่าเซิ่ง
นอกจากนี้ก็ยังมีรองเจ้าขุนเขาอีกสองคน ได้ยินมาว่าคนทั้งสองต่างก็เป็นวิญญูชนที่อายุน้อยมาก ต่างก็เคยลงสนามรบมาก่อน
เหยาเจิ้นพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “แม้ว่าจะไม่รู้กฎของบนภูเขาเท่าใดนัก แต่หลักการเหตุผลบางอย่าง คิดดูแล้วก็น่าจะเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ที่อยู่ใกล้กับภูเขาเซียนตูมากที่สุดก็คือราชวงศ์สกุลหยวนของต้ายวนเก่าแห่งนั้น ทั้งบนและล่างราชสำนักต่างก็เรียกได้ว่ามีวีรบุรุษอยู่เต็มแคว้น ระหว่างที่เดินทางมาข้าอยู่ว่างๆ ก็เบื่อ ฟังเหยาเซียนจือคุยให้ฟัง บอกว่าทุกวันนี้ราชวงศ์ต้ายวนแห่งนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน ต่างคนต่างก็เรียกตัวเองเป็นฮ่องเต้ เละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง เป็นเหตุให้ในอาณาเขตเต็มไปด้วยเมืองผี ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังไม่ได้ดีเท่าไร”
เหยาเซียนจือรู้สึกจนใจเป็นทบทวี ข้าเล่าให้ฟังเสียที่ไหน เห็นชัดๆ ว่าท่านปู่ท่านเป็นฝ่ายขอรายงานโดยรอบภูเขาเซียนตูจำนวนมากมาอ่านเองต่างหาก
เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันที เอ่ยว่า “ท่านปู่เหยาวางใจเถอะ ไม่มีทางกวาดแค่หิมะหน้าประตูบ้านใครบ้านมันหรอก ภูเขาเซียนตูของพวกเราไม่มีทางเมินเฉยกับเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรหากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแล้ว ทำเรื่องร้อยพันเรื่อง หรือว่าวางตัวเป็นคนคนหนึ่ง การฝึกตนในภูเขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ชุยตงซานลูกศิษย์ของข้าก็คือเจ้าสำนักเบื้องล่างคนแรก เขาได้ไปเที่ยวเยือนเมืองผีพวกนั้นอย่างลับๆ มารอบหนึ่งและจัดการวางค่ายกลลงไปแล้ว สามารถรวบรวมปราณที่ใสสะอาดแห่งฟ้าดินได้ ช่วยให้ภูตผีในเมืองใหญ่แห่งต่างๆ รักษาจิตวิญญาณที่แท้จริงเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ได้ ไม่ถึงขั้นกลายไปเป็นผีร้าย เพียงแต่ว่ารอให้ราชวงศ์ต้ายวนเก่ารวมกันเป็นปึกแผ่น ฮ่องเต้พระองค์ใหม่แต่งตั้งวิญญาณวีรบุรุษบุ๋นบู๊อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ศาลเทพอภิบาลเมืองน้อยใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างชั่วคราวเหล่านั้นก็จะสามารถได้เลื่อนขั้นเสริมตำแหน่งที่ขาดทันที หากไม่เป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าเชิญให้ท่านปู่เหยามาเป็นแขกที่ภูเขาเซียนตู ให้ท่านมาด่าข้าหรือไร?”
เหยาเซียนจือเอนกายไปด้านหลัง ยกนิ้วโป้งให้กับอาจารย์เฉินเงียบๆ
ความสามารถในการประจบสอพลอ ฝีมือในการยกยอสรรเสริญเช่นนี้ ช่างสุดยอดจริงๆ หากอาจารย์เฉินยินดีเป็นขุนนางจะไม่ร้ายกาจแย่เลยหรือ?
เดินบนเส้นทางภูเขาไปได้ประมาณสามสี่ลี้ ข้างทางมีศาลาพักเท้าอยู่แห่งหนึ่ง แม่ทัพผู้เฒ่ามาหยุดเท้าอยู่ที่นี่ ทอดสายตามองไปยังหิมะปลิวปรายนอกภูเขา สะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด
ผู้เฒ่าเกิดแรงบันดาลใจอดไม่ไหวเล่าเรื่องเก่าๆ คนเก่าๆ ตอนที่อยู่ชายแดนให้เฉินผิงอันฟัง
อันที่จริงเหยาเซียนจือเคยฟังมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังรับฟังต่ออีกครั้ง ไม่เอ่ยแทรกขัดจังหวะ
คนเราเมื่อแก่ตัวลงก็มักจะพูดคำพูดเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา คนหนุ่มสาวก่อนอายุสามสิบฟังแล้วส่วนใหญ่ก็มักจะรู้สึกรำคาญ ชอบเอ่ยประโยคว่า ‘เคยเล่าแล้ว’ ซึ่งจะทำให้คนแก่เงียบงันไป
เพียงแต่รอกระทั่งคนหนุ่มสาวกลายมาเป็นคนวัยกลางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอให้มีภรรยามีลูกเสียก่อน เวลาที่เจอกับคนแก่ในบ้านตน ความอดทนมักจะดีขึ้นเรื่อยๆ
รอกระทั่งท่านปู่หยุดพูด เหยาเซียนจือก็ใช้สายตาบอกอาจารย์เฉินอย่างเป็นนัย
เฉินผิงอันจึงยื่นมือมาจับแขนของแม่ทัพผู้เฒ่าและเหยาเซียนจือ เอ่ยสัพยอกว่า “มาลองลิ้มรสชาติของการทะยานลมกันหน่อยนะ”
เพียงชั่วพริบตาคนทั้งสามก็มาถึงยอดบนสุดของยอดเขาชิงผิง
ศิษย์หลานเจิ้งโย่วเฉียนกับถานอิ๋งโจวแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กกำลังง่วนปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ตรงนั้น
แม่นางน้อยถึงกับปั้นตุ๊กตาหิมะสูงใหญ่ถึงจั้งกว่า อยู่ในท่าไก่ทองยืนขาเดียว ในมือถือกระบี่ไม้ไผ่
เวลานี้ถานอิ๋งโจวกำลังลำพองใจ ส่วนตุ๊กตาหิมะที่เจิ้งโย่วเฉียนปั้นขึ้นมาตัวอ้วนกลม ทำให้นางทนมองตรงๆ ไม่ไหว
เห็นใต้เท้าอิ่นกวานที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวบนยอดเขากะทันหัน ถานอิ๋งโจวก็รีบตีหน้าเคร่งทันใด
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยทักทายคนทั้งสอง ช่วยแนะนำผู้เฒ่าและเหยาเซียนจือให้พวกเขารู้จัก
เจิ้งโย่วเฉียนประสานมือคารวะ “อาจารย์อาน้อย! คารวะแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาและใต้เท้าเจ้าเมือง”
ถานอิ๋งโจวเพียงแค่ยิ้มเขินอายให้กับคนแปลกหน้าทั้งสอง ยอบกายคารวะใต้เท้าอิ่นกวาน แต่เปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ “เจ้าขุนเขาเฉิน!”
เรียบร้อยเป็นกุลสตรีอย่างมาก
เฉินผิงอันยิ้มพลางพูดแนะนำกับผู้เฒ่า “อิ๋งโจวคือลูกศิษย์ของหลงเหมินเซียนจวินแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก โย่วเฉียนคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศิษย์พี่จวินเชี่ยนข้า”
บอกให้ผู้เยาว์ทั้งสองปั้นตุ๊กตาหิมะกันต่อ เฉินผิงอันพาผู้เฒ่าเดินไปที่ยอดเขาชิงผิง
แม่ทัพผู้เฒ่าก้มตัวหยิบหิมะกำมือหนึ่งมาปั้นเป็นก้อนกลม ใช้ฝ่ามือกดให้แน่นอย่างต่อเนื่อง พลันถามว่า “วันหน้าภูเขาเซียนตูย่อมต้องไปมาหาสู่กับสำนักศึกษาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจ้าสนิทกับสำนักศึกษาเทียนมู่และสำนักศึกษาอู่ซีหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่สนิทกับเจ้าขุนเขาทั้งสอง แต่รองเจ้าขุนเขาคนหนึ่งในนั้นข้าเคยรู้จักกับเขาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน เป็นวิญญูชนคนหนึ่ง รอให้งานเลี้ยงฉลองสิ้นสุดลงก็จะไปเยือนสำนักศึกษาอู่ซีรอบหนึ่ง ไปเยี่ยมเยือนอีกฝ่าย”
คำว่า ‘วิญญูชน’ ของเฉินผิงอัน แน่นอนว่าไม่ได้พูดถึงยศวิญญูชนของอีกฝ่าย แต่พูดถึงการวางตัวเป็นคนของอีกฝ่าย
วิญญูชนหวังไจ่
สายบุ๋นของหวังไจ่ถือว่าเป็นสายสถานศึกษาหลี่จี้ของหลี่เซิ่ง อาจารย์ผู้มีพระคุณก็คือผู้อำนวยการของสถานศึกษาหลี่จี้ในทุกวันนี้
ปีนั้นตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาถึงได้บอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า อาจารย์ของตนเป็นสหายรักกับอาจารย์เหมา ทั้งสองฝ่ายเคยทัศนาจรไปด้วยกัน เป็นเหตุให้ในขณะที่สายของเหวินเซิ่งควันธูปแทบจะขาดสะบั้นจึงหวังมาโดยตลอดว่าเหมาเสี่ยวตงจะหันมาเข้าร่วมกับสายของหลี่เซิ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่การขุดมุมกำแพงบ้านคนอื่น แต่หวังว่าเหมาเสี่ยวตงจะสามารถหาโอกาสกอบกู้สายเหวินเซิ่งให้กลับคืนมารุ่งโรจน์ได้ใหม่อีกครั้ง
นอกจากนี้แล้ว อันที่จริงหวังไจ่ก็มาจากตระกูลของอริยะปราชญ์ บรรพจารย์ในวงศ์ตระกูลก็คืออริยะลัทธิขงจื๊อคนก่อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ก่อนจะออกจากตำแหน่ง อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปท่านนี้เคยมีการประลองมรรคกถากับเซียวสวิ้นอิ่นกวานคนก่อนเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าเขาแพ้แล้ว
ปีนั้นนักปราชญ์และวิญญูชนลัทธิขงจื๊ออย่างหวังไจ่ เรื่องที่เขาสามารถทำได้ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีไม่มากนัก หนึ่งคือรับหน้าที่เป็นขุนนางผู้บันทึกข้อมูลบนสนามรบ คล้ายคลึงกับอาจารย์กระบี่ที่ตรวจสอบดูแลกองทัพ นอกจากนี้ก็คือเข้าร่วมกิจธุระด้านการรายงานข่าวของคฤหาสน์หลบร้อน แต่ก็เหมือนกับขุนนางทัดทานของราชสำนักในใต้หล้าไพศาลที่ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง และก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะใต้เท้าอิ่นกวานในเวลานั้นยังเป็นเซียวสวิ้น ตอนนั้นคนที่ดูแลกิจธุระของคฤหาสน์หลบร้อนจึงยังเป็นเซียนกระบี่หญิงลั่วซานและเซียนกระบี่จู๋อาน และสุดท้ายพวกเขาต่างก็ติดตามเซียวสวิ้นทรยศหนีไปอยู่เปลี่ยวร้าง
เวลาสิบปีที่หวังไจ่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่จึงแทบจะไม่มีชื่อเสียงอะไร
แม่ทัพผู้เฒ่าเอ่ย “สนิทกันก็มีข้อดีของการสนิทกัน และสนิทกันก็มีข้อเสียของการสนิทกัน โดยทั่วไปแล้วการคบค้าสมาคมกับบัณฑิตนั้นยุ่งยากอย่างมาก ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เป็นวิญญูชน ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เป็นคนถ่อย ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่คร่ำครึ ทั้งสามฝ่ายต่างก็มีนิสัยแตกต่างกันไป”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งทีแล้วพลันหัวเราะ “แต่หวังไจ่เป็นทั้งวิญญูชนแล้ว แต่กลับไม่ใช่คนที่คร่ำครึ ทำอะไรรู้จักพลิกแพลง วางตัวอยู่ในสังคมอย่างมีความรู้”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ให้คำวิจารณ์สูงขนาดนี้เชียวหรือ? มิน่าเล่าถึงสามารถรับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาได้”
ทุกวันนี้หวังไจ่ก็คือรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอู่ซีพอดี
เดิมทีหวังไจ่วิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่ทั้งฝึกประสบการณ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทั้งยังลงสนามรบเข่นฆ่าปีศาจไปมากมายผู้นี้ ตามระเบียบการที่ศาลบุ๋นกำหนดไว้ คือมาอยู่ที่สำนักศึกษาอู่ซีของใบถงทวีป หรือไม่ก็สำนักศึกษากวานหูของแจกันสมบัติทวีป ระหว่างทั้งสองอย่างนี้ล้วนอยู่ที่ความต้องการของตัวหวังไจ่เอง เดิมทีศาลบุ๋นนั้นมีแนวโน้มว่าจะให้หวังไจ่มาที่ใบถงทวีปมากกว่า แต่ตอนที่อยู่สวนกงเต๋อ เฉินผิงอันได้ยินอาจารย์ของตัวเองบอกว่าความคิดแรกเริ่มสุดของหวังไจ่ก็คือต้องการไปรับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่แจกันสมบัติทวีป ต่อให้จะไม่มอบตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาให้เขาก็ไม่เป็นไร
ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันอยู่สวนกงเต๋อจึงไปหาศิษย์พี่เหมาที่รับหน้าที่เป็นรองผู้อำนวยการของสถานศึกษาเป็นการส่วนตัว ช่วยแนะนำให้ อีกทั้งยังไปหาผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ด้วย
มองอออกว่าอารมณ์ของผู้อำนวยการหลิวในเวลานั้นไม่ได้ผ่อนคลายมากนัก คาดว่าคงจะกังวลว่าเฉินผิงอันที่เป็นอิ่นกวานอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง เสนอเงื่อนไขอะไรที่เกินกว่าเหตุหรือไม่
พอได้ยินว่าจะสามารถพูดโน้มน้าวให้หวังไจ่ไปที่สำนักศึกษาของใบถงทวีปได้หรือไม่ ผู้อำนวยการหลิวก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาที่เป็นอาจารย์ของหวังไจ่นั้นรู้ดีที่สุดว่าการที่หวังไจ่อยากไปอยู่สำนักศึกษากวานหูก็เพราะเห็นแก่อิ่นกวานหนุ่มตรงหน้าผู้นี้
สายของเหวินเซิ่ง นับตั้งแต่ซิ่วไฉเฒ่าที่เป็นอาจารย์ไปจนถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายในปีนั้น บวกกับ ‘คำเล่าลือ’ เกี่ยวกับอิ่นกวานหนุ่มตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ล้วนทำให้ผู้อำนวยการหลิวมิอาจไม่อกสั่นขวัญแขวน
อย่าเห็นว่าทุกวันนี้ผู้ดูแลเรือข้ามทวีปที่เคยไปเยือนเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัว แต่ละคนตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร อันที่จริงปีนั้นตอนที่ต้องคุมเชิงกับเซียนกระบี่ที่นั่งเรียงแถวกันล้วนเหมือนลูกเจี๊ยบที่รอถูกเชือดกันทั้งนั้น แต่ละคนนั่งตัวลีบอยู่บนเก้าอี้ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ในรายงานของศาลบุ๋น อันที่จริงก็ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน
สุดท้ายผู้อำนวยการท่านนั้นก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ‘ถือเสียว่าอิ่นกวานติดค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่ง?’
เหมาเสี่ยวตงไม่สบอารมณ์ทันที คิดจะรีดไถศิษย์น้องเล็กของข้าหรือ? เหล่าหลิวเจ้ายังไม่ทันได้ดื่มเหล้าก็พูดจาเหมือนคนเมาแล้วหรือ?
รังแกที่ศิษย์น้องเล็กของพวกข้าพูดง่ายใช่ไหม?
ผู้อำนวยการใหญ่จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดเดิม ‘ข้าแค่ล้อเล่น อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง’
ในบรรดาผู้ฝึกตนในใต้หล้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่นี่แหละที่บังคับควบคุมได้ยากที่สุด สถานศึกษาและสำนักศึกษาเจอกับหนามแหลมพวกนี้ได้ง่ายมาก ยกตัวอย่างเช่นในอดีตก็มีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าอย่างโจวเสินจือ บวกกับพวกคนอย่างผูเหอแห่งหลิวเสียทวีป สำนักศึกษาในแต่ละพื้นที่จึงต้องปวดหัวกันไม่น้อย