กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 908.4 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
ขอบเขตของเหลียงส่วงมากพอจึงมองเห็นการขึ้นลงในสภาพจิตใจของหลวี่ปี้หลงชัดเจนเหมือนมองกองไฟในถ้ำ จึงใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าเดามั่วเอาหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มตอบ “ข้าจะไม่กล้ายึดความดีความชอบมาเป็นของตัวเองหรอก เป็นการคาดเดาของอาจารย์ ข้าหรือจะคิดได้ว่าสตรีที่สวมรอยเป็น ‘หลวี่ปี้หลง’ จะหลอกง่ายขนาดนี้ ไม่ทันไรก็สารภาพเองจนหมดเปลือกแล้ว”
ลังเลเล็กน้อย ชุยตงซานก็ยังบอกความจริงที่ใหญ่ยิ่งกว่าให้เจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้ได้รู้ “ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยประลองฝีมือกับหันอวี้ซู่ที่ซากปรักภูเขาไท่ผิงโดยที่ต่างคนต่างไม่ออมมือ หันอวี้ซู่ใช้ท่าไม้ตายจนหมดสิ้น ยันต์และค่ายกลล้วนยอดเยี่ยม อาจารย์จึงเอาไปเชื่อมโยงกับค่ายกลของเมืองลั่วจิงและพรรคชิงจ้วน จึงเกิดเป็นการคาดเดาขึ้นมา ด้วยนิสัยที่เชี่ยวชาญการทำตัวเป็นเต่าหดหัวของสำนักว่านเหยาแล้ว ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างสำนักเบื้องล่างก็ต้องมีบริวารหน้ารถม้าอย่างหลวี่ปี้หลงที่ออกจากภูเขามาวางแผนการแต่เนิ่นๆ สรุปก็คือ สำหรับอาจารย์แล้ว นี่เป็นเส้นสายที่ตื้นเขินชัดเจนอย่างมาก”
เหลียงส่วงลูบหนวดยิ้ม “สหายน้อยเฉินความคิดละเอียดรอบคอบ สายตาเฉียบแหลมเช่นนี้ ไม่ติดตามผินเต้ามาเป็น ‘นักพรตเทียนเจิน’ ก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
ส่วนเรื่องการประลองฝีมือระหว่างเฉินผิงอันกับหันอวี้ซู่ เหลียงส่วงฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป นับประสาอะไรกับที่ประโยคสุดท้ายที่ชุยตงซานบอกว่า ‘ยุ่งมาก ไม่มีเวลา’ เดิมทีก็ตั้งใจพูดให้เขาฟังอยู่แล้ว
ชุยตงซานเหลือบตามองนักพรตหญิงที่โชควาสนาลึกล้ำ มีบุญบารมีอย่างมากผู้นั้น จะมีโอกาสขุดมุมกำแพงคนอื่นพาไปอยู่ที่ภูเขาเซียนตูหรือไม่นะ ถึงอย่างไรหม่าเซวียนเวยผู้นี้ก็ต้องอยู่ที่ใบถงทวีป มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกเหลียงส่วงทิ้งไว้ที่อารามบางแห่งของแคว้นเหลียง ถ้าอย่างนั้นให้ไปเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักก็ไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ
ในความเป็นจริงแล้วบอกว่านักพรตหญิงหม่าเซวียนเวยคือลูกศิษย์ผู้สืบทอด ไม่ถือว่าเคร่งครัดตามคำเรียกขานนัก เพราะอันที่จริงนางเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของ ‘เหลียงหาว’ เจินเหรินแห่งแคว้นเหลียงเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนที่จะสามารถสืบทอดวิชาความรู้ของเหลียงส่วงได้อย่างแท้จริง
เป็นเหตุให้กับลูกศิษย์หม่าเซวียนเวยผู้นี้ เมื่อวาสนานำพาก็ได้เป็นอาจารย์และศิษย์ เมื่อวาสนาจางหายก็แยกย้ายไปอยู่สายอื่น
สายเต๋าของเหลียงส่วงนี้มีเพียงคนที่อยู่บนยอดเขาของไพศาลเท่านั้นที่ถึงจะรู้เรื่องวงในบางอย่าง ขึ้นชื่อว่าควันธูปกระจัดกระจาย แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะธรณีประตูในการรับลูกศิษย์สูงเกินไป อีกทั้งยังมีกฎบรรพบุรุษที่ไม่อาจละเมิดอยู่ข้อหนึ่งด้วย
‘ซ่างกู่เทียนเจิน สืบทอดกันมาปากต่อปาก ถ่ายทอดหนึ่งได้รับหนึ่ง’
นี่ก็หมายความว่าระบบเต๋าสายของเหลียงส่วง แต่ไหนแต่ไรมาก็สืบทอดแค่สายเดียว คนเป็นอาจารย์จะไม่มีลูกศิษย์สองคน
นอกจากนี้แล้วยังมีความลี้ลับอำพรางอีกอย่าง ในความเป็นจริงแล้วเหลียงส่วงคอยตามหาคนที่เป็นอาจารย์กลับชาติมาจุติอยู่นานหลายปีแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ นับตั้งแต่บรรพจารย์บุกเบิกภูเขารุ่นแรกก่อตั้งระบบสายเต๋าขึ้นมา ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น ระบบสืบทอดที่ยาวนานเกือบหมื่นปี ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีอาจารย์และศิษย์อยู่แค่สองคน เพียงแค่ผลัดเปลี่ยนสถานะระหว่างอาจารย์และศิษย์กันเท่านั้น
อยู่ดีๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หันอวี้ซู่แห่งสำนักว่านเหยาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานผู้นั้นคงไม่ได้ถูกสหายน้อยเฉินจัดการไปแล้วหรอกกระมัง?
ถึงอย่างไรเจินเหรินผู้เฒ่าก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเอาสองมือที่สอดกันไว้ในชายแขนเสื้อทำการอนุมานมหามรรคา คำนวณชะตาฟ้าอย่างรวดเร็ว
คาดไม่ถึงว่าจะต้องรีบเอามือออกมาจากชายแขนเสื้อ สะบัดข้อมือแรงๆ
โอ้ย ร้อน
แม้ว่าจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด หันอวี้ซู่เป็นตายยังมิอาจรู้ได้ แต่เจินเหรินผู้เฒ่ากลับมองว่านี่เท่ากับเป็นความจริงที่จริงแท้แน่นอนอย่างหนึ่งแล้ว
อายุขัยที่อยู่บนภูเขามาหลายพันปี เขาไม่ได้ใช้หมดไปกับร่างหมาเสียหน่อย
เหลียงส่วงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันหน้าข้าจะบอกกับเสี่ยวจ้าวสักคำ ให้เขาช่วยปล่อยข่าวแทนข้า บอกไปว่าหันอวี้ซู่เคยกระโดดโลดเต้น โชคดีได้ถกมรรคากับเทียนซือผู้เฒ่าเหลียงส่วงไปรอบหนึ่ง”
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีคนนอกคิดจะตั้งใจอนุมานก็ต้องผ่านด่านของเขาเหลียงส่วงไปให้ได้ก่อน
ชุยตงซานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ ขอแค่ข้าไม่เห็นอะไร อาจารย์ก็ไม่ต้องติดค้างน้ำใจอีกฝ่ายในเรื่องนี้
ชุยตงซานแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจิ้มไปกลางอากาศ จุ๊ๆๆ เรื่องประหลาดเสียจริง
ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบของสำนักว่านเหยาที่ใช้นามแฝงว่าหลวี่ปี้หลงมึนงงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาเทียนมู่ผู้นี้ทำอะไรอยู่กันแน่ นางเดาเอาว่าเด็กหนุ่มที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว พูดจาวางโตโอ้อวดผู้นี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นรองเจ้าขุนเขาหนุ่มที่เพิ่งข้ามทวีปมารับตำแหน่งอย่างเวินอวี้
เหลียงส่วงกวาดตามองมาทีหนึ่ง แต่กลับรู้ว่าชุยตงซานกำลังทำอะไร คือสูตรอย่างหนึ่งของหมากล้อม มีชื่อเสียงเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สารพัดหลากหลาย จึงถูกขนานนามว่า ‘เส้นลาดใหญ่เปลี่ยนแปลงนับพัน หมื่นถ้อยคำยากจะบรรยายได้หมด’
ฉีไต้จ้าวผู้เล่นระดับแคว้นของล่างภูเขา ยอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมบนภูเขา เคยชื่นชมในสูตรนี้อย่างมาก แต่ภายหลังกลับถูกเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวและซิ่วหู่ชุยฉานร่วมกันปฏิเสธ หนึ่งในตำราเมฆหลากสี หมากกระดานเดียวที่เจิ้งจวีจงเสียเปรียบที่สุดก็คือใช้การวางหมากเป็นเส้นลาดขนาดใหญ่เปิดกระดาน ช่วงปิดกระดานชุยฉานวางหมากด้อยกว่าเล็กน้อย สุดท้ายแพ้ไปหนึ่งส่วนสี่ เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้ผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการหมากล้อมแทบจะไม่ใช้สูตรการวางหมากเส้นลาดใหญ่ในการเปิดกระดานหมากอีก
เหลียงส่วงไม่คิดว่าชุยตงซานกำลังโอ้อวดอะไร เพราะถึงอย่างไรนักเล่นหมากล้อมในใต้หล้าที่สามารถเล่นหมากล้อมกับเจิ้งจวีแล้วออกมาเป็นสถานการณ์เช่นนี้ได้ บางทีอาจมากพอให้ลำพองใจไปชั่วชีวิต แต่สำหรับซิ่วหู่ที่ได้เปรียบทั้งกระดาน ทว่าสุดท้ายทุกสิ่งที่ทำมาต้องสูญเปล่า กลับถือเป็นความอัปยศที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ทว่าการกระทำของชุยตงซานในเวลานี้ เจินเหรินผู้เฒ่าไม่รู้สึกสนใจอยากจะสืบเสาะจริงๆ คนบางคนทำเรื่องบางอย่าง ไม่ว่าคนนอกจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นที่ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ให้ป๋ายเหย่ยืมกระบี่ในปีนั้น เท่ากับว่าผู้นำแห่งสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าท่านนี้ได้ละทิ้งโอกาสที่จะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ไปแล้ว
อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็ถามขึ้นว่า “เจ้ายินดีออกจากสำนักว่านเหยา นับแต่นี้เป็นหลวี่ปี้หลงที่ ‘ไร้ความเกี่ยวข้องใดๆ’ กับพื้นที่มงคลสามภูเขาหรือไม่?”
สตรียิ้มอย่างฝืดเฝือน
เจ้าสำนักหันอวี้ซู่เป็นคนมีจิตใจเห่อเหิมทะเยอะทะยานถึงเพียงใด ใช้กฎเหล็กปกครองพื้นที่มงคล มีหรือจะทนรับการทรยศของผู้ฝึกตนทำเนียบในศาลบรรพจารย์คนหนึ่งได้ หากนางกล้าทำแบบนี้ก็มีแต่ตายสถานเดียว
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจได้แล้ว ในเมื่อตัวตนถูกเปิดโปงแล้ว ยังต้องเดือดร้อนให้สำนักว่านเหยาถูกศาลบุ๋นกล่าวโทษด้วยแน่นอน ถ้าอย่างนั้นหันอวี้ซู่ย่อมไม่มีวิธีที่จะช่วยให้นางหลุดพ้นได้ มีแต่พยายามจะสลัดความเกี่ยวข้องกับนางให้ได้มากที่สุด นางจึงแทบจะมองเห็นจุดจบของตัวเองล่วงหน้าได้เลย ไปที่สำนักศึกษาเทียนมู่ ถูกซักถามสอบสวน ถูกเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซักไซ้เอาเรื่องถึงที่สุด ถูกจับขัง ไม่แน่ว่าอาจจะยังต้องถูกขังในสวนกงเต๋อของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วย
ความโชคดีมหาศาลในความโชคร้ายก็คือนางอายุยังน้อย ยังมีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ อย่างมากก็ถือเสียว่าเป็นการปิดด่านฝึกตน ก็แค่เปลี่ยนสถานที่ไปจากอารามจีชุ่ยเมืองลั่วจิงแห่งนี้เท่านั้น
และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หันอวี้ซู่ให้นางออกมาจากพื้นที่มงคลสามภูเขาตั้งแต่เนิ่นๆ หวังว่าภายในหนึ่งถึงสองร้อยปี นางจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตก่อกำเนิดอยู่ในอารามจีชุ่ยราชวงศ์สกุลอวี๋แห่งนี้ และในระหว่างนี้นอกจากหันอวี้ซู่จะถ่ายทอดเวทลับชั้นสูงหนึ่งถึงสองชนิดให้ แน่นอนว่าจะยังทุ่มเทสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินและเงินเทพเซียนจำนวนมากให้นางอย่างลับๆ ด้วย
ถึงเวลานั้นหลวี่ปี้หลงก็จะสามารถก่อตั้งสำนักเบื้องล่างได้อย่างมีเหตุผลชอบธรรม เป็นเหตุให้หันอวี้ซู่ได้ครอบครองสำนักสามแห่ง
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือไม่ก็แจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือ ดูเหมือนว่าการถอยทัพเมื่อเกิดเรื่องจวนตัวอย่างที่เจ้าทำ ต้องถูกตัดหัวประหารชีวิตทันที”
“หากเจ้ารู้สึกว่าหลังจากสำนักศึกษารู้เรื่องนี้แล้วจะแค่ขังเจ้าไว้ร้อยกว่าปี เจ้าก็ดูแคลนเรี่ยวแรงในการคิดบัญชีย้อนหลังของศาลบุ๋นเกินไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนดินที่คิดไม่ซื่ออย่างเจ้าจะมีโทษรุนแรงที่สุด ดังนั้นฟังข้าแนะนำสักคำ ก่อนจะออกไปจากอารามจีชุ่ย ก็รีบจุดธูปหลายๆ ดอก ดูสิว่าจะขอให้มรรคจารย์เต๋าคุ้มครอง มาขอร้องศาลบุ๋นแทนเจ้าได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องถูกขังจนตาย อย่าว่าแต่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเลย ต่อให้กลายเป็นเซียนเหริน แล้วอย่างไร?”
“ใช่แล้ว อย่าลืมเรื่องหนึ่งล่ะว่า เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอู่ซีในทุกวันนี้คือโจวมี่แห่งสำนักศึกษาอวี๋ฝูอุตรกุรุทวีป นิสัยของเขาเป็นอย่างไร คิดดูแล้วเจ้าน่าจะเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นเจ้าขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่ก็คงไม่ไปทบทวนตัวเองอยู่ในสวนกงเต๋อ ถึงขั้นที่ว่าศาลบุ๋นไม่กล้าให้เขาไปอยู่สำนักศึกษาเทียนมู่ นี่ก็เพราะกลัวว่าเขาจะอยู่ในสำนักใบถงทุกวันไม่ยอมออกไปไหน ถึงเวลานั้นเจ้าขุนเขาสามท่านของสำนักศึกษาต้าฝู เทียนมู่และอู่ซีประชุมกัน เจ้าขุนเขาโจวได้ยินคุณูปการใหญ่หลวงของเจ้า เจ้าคิดว่าเขาจะยังช่วยพูดถึงเจ้าดีๆ อยู่หรือไม่? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้หันอวี้ซู่เสียสติก็ยังต้องปกป้องเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าขุนเขาโจวจะถ่มน้ำลายใส่เต็มหน้าเขาหรือไม่?”
เดิมทีนักพรตหญิงก็เป็นนกที่หวาดเกาทัณฑ์อยู่แล้ว ยังมาเห็นอีกว่าเด็กหนุ่มชุดขาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ประกบสองนิ้ว สายตาเด็ดเดี่ยว พูดจาน่าเชื่อถือว่า “ข้าเวินอวี้สาบานต่อฟ้าได้เลยว่า หากไม่เอาเรื่องนี้ไปยืนยันให้เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาเทียนมู่กับอาจารย์ที่เป็นรองผู้อำนวยการสถานศึกษาเข้าใจกระจ่างแจ้ง ไม่จับเจ้าขังจนเส้นผมขาวโพลน วันหน้าข้าก็จะเปลี่ยนไปใช้แซ่หลวี่เหมือนเจ้า”
เจินเหรินผู้เฒ่าทอดถอนใจ “น้ำชาของอารามจีชุ่ยไม่เลวเลยจริงๆ จะดื่มเปล่าๆ ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็จะเตือนสหายหม่านเยว่สักคำแล้วกัน ก่อนจะออกไปจากอารามจีชุ่ย นอกจากต้องจุดธูปขอพรแล้ว ก็ให้พกตำราไปหลายๆ ร้อยเล่ม ตอนถูกขังจะได้เอามาอ่านแก้เบื่อได้ นอกจากนี้ก็พกกระจกติดตัวสักบาน เอาไว้เป็นเพื่อน สาวงามผมขาวยามส่องกระจกก็จะรู้ได้ก่อนใคร”
นักพรตหญิงหน้าไร้สีเลือด พลันหันขวับกลับมา ใช้สองนิ้วทำมุทราก่อน จากนั้นเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่งออกมา คล้ายกับจะร่ายเวทสิ่งกีดขวางผนึกภูเขา ถึงได้เอ่ยเสียงสั่นว่า “ผู้เยาว์ผิดไปแล้ว เหลียงเทียนซือช่วยข้าด้วย!”
เหลียงส่วงหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้าเอ่ยว่า “สหายหม่านเยว่ มีใครที่ป่วยร้ายแรงแล้วหาหมอส่งเดชอย่างเจ้าบ้าง ผินเต้าไม่ใช่ฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเจ้าได้หรอกนะ ท่านผู้นี้ต่างหาก”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หันอวี้ซู่ร่ายตราผนึกของสำนักไว้บนร่างของนาง หากหันอวี้ซู่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ต่อให้อยู่ห่างไกลมีพันขุนเขาหมื่นสายน้ำกั้นขวาง สหายหม่านเยว่ผู้นี้ก็ยังจะต้องกลายเป็นคนปัญญาอ่อนที่จิตแห่งมรรคาเละเทะเหมือนกองโคลนกองหนึ่ง ดังนั้นการที่ปิดประตูก่อน ค่อยขอให้พี่เหลียงช่วยชีวิต หมายความว่านางยังไม่โง่จนไร้ทางเยียวยา”
นักพรตหญิงมีสีหน้าตื่นตระหนก เริ่มแนะนำตัวเอง “ชื่อจริงของข้าคือหลงกง เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักว่านเหยา อาจารย์ผู้มีพระคุณจากไปนานแล้ว สายนี้ของพวกเรา นอกจากข้าก็เหลือแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่มีคุณสมบัติธรรมดาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น สร้างโอสถทองถือเป็นความเพ้อฝัน พวกคนที่คุณสมบัติดีก็หันไปเข้ากับสายอื่นนานแล้ว”
ชุยตงซานกลั้นขำ “หลงกง? ถึงกับกล้าตั้งชื่อยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ ที่แท้ชาตินี้เจ้ากลับชาติมาเกิดเป็นคนก็เกิดมาเพื่อทำเรื่องใหญ่นี่เอง?”
สีหน้าของเหลียงส่วงเย็นชา รังเกียจชิงชังสำนักว่านเหยาและหันอวี้ซู่อย่างถึงที่สุด
ฝึกตนอะไร แสวงหาความจริงอะไร เป็นเซียนไปเพื่ออะไร
พื้นที่มงคลสามภูเขาที่ลมและน้ำดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด กลับถูกทรมาทรกรรมจนเต็มไปด้วยมลพิษสกปรก สหายที่เป็นเจ้าของพื้นที่มงคลตัวจริง ในเมื่อว่างงานขนาดนั้น ไยไม่ไปดูแลสักหน่อยเล่า?
สงครามใหญ่ครั้งหนึ่งคล้ายตะแกรงร่อนที่จัดระเบียบจิตใจของทุกคนในใบถงทวีปไปรอบหนึ่ง
ระหว่างเจ้าสำนัก เจ้าขุนเขา เจ้าประมุขกับผู้ถวายงาน ผู้สืบทอด จิตใจคนห่างเหิน วางแผนปัดแข้งปัดขากันเอง ระหว่างสำนักกับพรรคใต้อาณัติก็ยังปรองดองภายนอกขัดแย้งภายใน แบ่งส่วนแบ่งไม่เท่าเทียม
แค่คิดก็รู้ได้ว่าภูเขาและเซียนซือเหล่านี้ กับคนอื่น กับฟ้าดินแห่งนี้ จะ ‘ร่วมเส้นทาง’ กันได้หรือ? ก็แค่เหมือนการเข่นฆ่าครั้งหนึ่ง แพ้ชนะมากน้อย ผลลัพธ์แบ่งออกเป็นสองทาง
ชุยตงซานพลันถามว่า “ตัวเลือกเจ้าสำนักว่านเหยาคนถัดไปของพวกเจ้า คือใคร? คงไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของหันอวี้ซู่หรอกกระมัง?”
นางเอ่ย “ข้าเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง ว่ากันว่าคือลูกศิษย์ปิดสำนักในนามของเจ้าสำนักคนก่อน เป็นหันอวี้ซู่ที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์ แต่นอกจากบรรพจารย์ทั้งหลายซึ่งมีหันอวี้ซู่เป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นคนผู้นี้กับตาตัวเองมาก่อน รู้แค่ว่าคนผู้นี้อายุน้อยๆ คุณสมบัติด้านการฝึกตนก็เป็นหนึ่งในหมื่น คือโอสถทองที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลสามภูเขา นี่ยังเป็นเพราะตอนที่คนผู้นี้สร้างโอสถทองได้สำเร็จเคยก่อให้เกิดภาพปรากฎการณ์ผิดปกติแห่งฟ้าดิน ขนาดค่ายกลของสำนักก็ยังไม่อาจอำพรางได้หมด ความลับสวรรค์บางส่วนถึงแพร่งพรายออกมา หลายปีมานี้ทั่วทั้งสำนัก ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าวิจารณ์เรื่องนี้โดยพลการ หากจับได้จะถูกบรรพจารย์ผู้คุมกฎจับไปขังไว้ในคุกน้ำที่ภูเขาด้านหลังด้วยตัวเอง การที่ข้ารู้เรื่องนี้ก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่หันเจี้ยงซู่มาเยือนอารามจีชุ่ยอย่างลับๆ บุตรสาวเจ้าสำนักผู้นี้ได้บอกกับข้าเองว่าอาจารย์อาน้อยที่คุณสมบัติเลิศล้ำ ฉายาว่า ‘อู๋ถง’ ของนางผู้นี้ มีความเป็นไปได้มากที่จะกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง”
พูดถึงตรงนี้นางก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ามองออกว่าหันเจี้ยงซู่กับผู้ฝึกตนคนนั้น เกินครึ่งน่าจะมีความสัมพันธ์กัน”
เพราะก่อนหน้านี้ที่หันเจี้ยงซู่มาอยู่ในอาราม ตอนที่นางคุยถึงผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นกับตน หันเจี้ยงซู่คิดว่าตัวเองอำพรางได้ดีมากแล้ว แต่แท้จริงแล้วในดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยอารมณ์รักใคร่
เพียงแต่ว่าพูดไปเช่นนี้นางก็รู้สึกว่าตัวเองพลั้งปาก ไม่ควรจะเล่าเรื่องวุ่นวายไร้สาระพวกนี้ต่อหน้าเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์กับรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาเทียนมู่คนหนึ่ง
คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวจะพยักหน้ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดีมาก ข้าชอบฟังเรื่องพวกนี้ ไม่สู้เจ้าลองเล่าเรื่องวงในที่สกปรกของสำนักว่านเหยาให้ฟังอีกหน่อย แค่พูดตามความจริงก็พอ ไม่ต้องแต่งเสริมเติมเรื่อง”
นักพรตหญิงที่ใช้สองมือทำมุทราสร้างจิตแห่งมรรคาให้มั่นคงตลอดเวลา ‘ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว’ เหลียงส่วงจึงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาชี้ไปที่หว่างคิ้วของนักพรตหญิงโดยมีโต๊ะน้ำชากั้นกลาง เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “นิ่ง”
พริบตานั้นนักพรตหญิงก็เหมือนหลับไป ศีรษะของนางลู่ตกลง นางคล้ายเข้าไปสู่ความฝันงดงามที่แสนหวาน