กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 910.3 เดินทางอย่างเสรี
หวงจงโหวได้ยินอย่างนี้กลับกลายเป็นว่าถอนหายใจโล่งอก ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นเหมือนฝันหวานที่แหลกสลาย ทำให้เขาไม่กล้าเชื่อว่าเป็นความจริง
“ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็ตามมาแล้ว เรื่องนี้จะแก้ไขอย่างไร?”
ลู่เฉินถามเองตอบเอง โยนกาเหล้าว่างเปล่าในมือออกไป กระทืบเท้าหนักๆ อีกหนึ่งที “ก็อยู่ในเหล้าสองกาของเจ้าหวงจงโหวนี่แหละ”
หากว่าหวงจงโหวมอบเหล้าให้แค่กาเดียว ภูเขาเมฆาเรืองย่อมไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แน่นอน
กาเหล้าที่ถูกโยนไปกลางอากาศกับกาเหล้าที่หล่นลงพื้นไปแล้ว หนึ่งลอยอยู่บนฟ้าอีกหนึ่งอยู่บนพื้นดิน เมื่อลู่เฉินกระทืบเท้า พริบตานั้นอาณาเขตของภูเขาเมฆาเรืองก็เกิดลมพัดหอบเมฆกระโชกแรง เห็นเพียงว่ากาเหล้าสองใบพลันขยายใหญ่เท่าขุนเขา คล้ายกับว่าในกาเหล้ามีอีกจักรวาลหนึ่ง ต่างก็มีกลิ่นอายแห่งมรรคาไหลพรั่งพรูออกมา สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นรูปปลาหยินหยางที่ค่อยๆ ว่ายล้อมวนช้าๆ ปกคลุมอยู่รอบภูเขาเมฆาเรืองพอดี ต่อมาค่ายกลก็หล่นร่วงลงบนพื้น ประหนึ่งภาพวาดน้ำหมึกผืนยาวที่ปูแผ่ลงบนพื้นดิน ก่อนจะหายวับไปไม่เหลือร่องรอย
และภาพผิดปกติแห่งฟ้าดินที่ลมปราณกลืนกินขุนเขาสายน้ำนี้ได้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก็หายไป
ภูเขาเมฆาเรืองทั้งลูก นอกจากหวงจงโหวที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ตระการตานี้แล้ว คนที่สามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมีเพียงสองคน หนึ่งคือไช่จินเจี่ยนแห่งยอดเขาลวี่กุ้ย อีกหนึ่งคือเด็กน้อยคนหนึ่งที่เหม่อมองฟ้า อีกทั้งการที่คนทั้งสองสัมผัสได้ต่างก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขอบเขต แต่ขึ้นอยู่กับโชควาสนาเท่านั้น
ลู่เฉินชี้ไปที่มุมหนึ่ง ยิ้มเอ่ยกับหวงจงโหวว่า “เด็กคนนั้นคุณสมบัติไม่เลว ต่อให้ต้องแย่งชิงก็ต้องแย่งชิงมาอยู่ที่ยอดเขาเกิงอวิ๋นให้ได้ วันหน้าสามารถเอามาใช้งานใหญ่ได้ ตัวเลือกคนที่จะมาเป็นเจ้าขุนเขาภูเขาเมฆาเรืองคนถัดถัดไปของพวกเจ้าก็มีแล้ว”
ส่วนเจ้าขุนเขาภูเขาเมฆาเรืองคนถัดไป แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองแห่งยอดเขาเกิงอวิ๋นตรงหน้าผู้นี้
ลู่เฉินขยับไปสองสามก้าว ตบไหล่หวงจงโหว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนที่สามารถไม่สนใจการยุให้ดื่มเหล้าจากคนบางคนได้ แล้วยังข่มขู่คนบางคนว่าดื่มไปหนึ่งกาแล้วต้องอาเจียนออกมาสองกา มีไม่มากหรอกนะ อย่างมากสุดผ่านไปอีกร้อยปีเจ้าก็สามารถเอาเรื่องนี้ไปคุยโวกับคนอื่นได้ทั่วแล้ว”
ไม่รอให้หวงจงโหวคืนสติกลับมา นักพรตผู้นั้นก็หายไปไม่เหลือเงาแล้ว
หวงจงโหวรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ถึงกับไม่ทราบนามต้องห้ามของเจินเหรินท่านนี้
ในทะเลสาบหัวใจมีเสียงของเจินเหรินผู้นั้นดังขึ้นมา “ฉายาของผินเต้าคือ ‘อี้หมิง’ (ไม่ระบุนาม)”
หวงจงโหวรู้สึกจนใจเป็นทบทวี หลังจากนี้จะอธิบายเรื่องนี้ให้ทางศาลบรรพจารย์ฟังอย่างไรว่าผู้มีพระคุณที่ช่วยให้ภูเขาเมฆาเรืองบ้านตนข้ามพ้นหายนะมาได้คือนักพรตต่างถิ่นที่มีฉายาว่า ‘อี้หมิง’?
อาณาเขตของสำนักโองการเทพ อารามเต๋ามากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า และในอารามเต๋าขนาดใหญ่ที่เป็นศาลบรรพชนในภูเขาก็กำลังจัดงานพิธีรับโองการนักพรตที่สิบปีจะจัดหนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับพิธีการของลัทธิเต๋าในครั้งก่อนๆ วันนี้กลับมี ‘คนนอก’ เพิ่มมาสองคน คนหนึ่งคือขุนนางกรมพิธีการเมืองหลวงสำรองต้าหลีที่ตั้งใจเดินทางมาเยือนสำนักโองการเทพโดยเฉพาะ อีกคนหนึ่งคือเต้าลู่ที่อยู่ใต้การปกครองของหน่วยฉงซวีเมืองหลวงต้าหลี มีหน้าที่รับผิดชอบจดบันทึกรายชื่อนักพรตทุกคนที่ได้รับโองการนักพรตซึ่งเป็นหนังสือรับรองการออกบวช
สำหรับเรื่องนี้ลู่เฉินไม่ได้มีความเห็นต่างอะไรมากนัก หากพูดให้ใหญ่หน่อยก็หนีไม่พ้นว่าสว่างมีกฎหมายบ้านเมือง มืดมีมรรคกถา กฎแห่งเต๋าปกครองตนเอง กฎหมายบ้านเมืองปกครองคน
หรือหากจะพูดให้สูงส่งลึกล้ำอีกสักหน่อย กฎหมายบ้านเมืองจัดการกับคนที่ละเมิดกฎหมายไปแล้ว ส่วนกฎแห่งเต๋ากลับตรวจสอบพันธนาการใจคนในช่วงแรกเริ่มของการหลงผิด
บนภูเขาขนาดเล็กที่ห่างจากศาลบรรพจารย์สำนักโองการเทพไปไกลมาก ในอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่สะดุดตาซึ่งแขวนกรอบป้ายคำว่า ‘อารามชิวหาว’ เอาไว้ นักพรตเฒ่าคนหนึ่งกำลังนำพานักพรตน้อยกลุ่มหนึ่งให้ทำการบ้านช่วงค่ำ พวกเขาพากันท่องคัมภีร์ลัทธิเต๋าบทหนึ่งอย่างมีกฎเกณฑ์ คนที่อายุมากหน่อยก็ท่องจำ อายุน้อยหน่อยก็ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ทำเอาลู่เฉินที่โผล่หัวมองมาจากหน้าประตูถอนหายใจ ไปดีกว่า ฟังแล้วหงุดหงิดนัก เอาสองมือไพล่หลัง เดินโคลงศีรษะอยู่ในอาราม เห็นนักพรตน้อยคนหนึ่งกวาดพื้นพลางท่องตำราไปด้วย ท่องได้ไม่คล่องนัก มักจะท่องผิดๆ ถูกๆ อยู่เสมอ เหมือนกับว่าตัวเองเปิดอ่านหนังสือ พอท่องผิดก็ต้องท่องวนใหม่ตั้งแต่ต้น ลู่เฉินไม่รบกวน ‘การฝึกตนอย่างสงบด้วยวิธีเฉพาะ’ ของนักพรตน้อย เขาเดินไปที่ใต้ต้นไม้แล้วโยกมันเบาๆ
กว่านักพรตน้อยจะกวาดใบไม้ที่ร่วงเต็มพื้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นนักพรตอยู่บนภูเขาเซียนไม่ง่ายเลยจริงๆ นะ ต้นไม้หลายต้นบนภูเขาล้วนเขียวขจีอยู่ตลอดทั้งสี่ฤดูกาล ใบไม้ร่วงอยู่ตลอดไม่มีวันหยุดพัก ไม่เหมือนอารามล่างภูเขาที่หากต้องทำความสะอาดก็มีแค่ฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่เหนื่อยที่สุด พอเข้าหน้าหนาวก็แอบอู้ได้แล้ว
ผลคือรอกระทั่งนักพรตน้อยหันหน้ากลับมาเห็น เจ้าตัวดี คนเลวจากไหนกัน กินอิ่มว่างงานแล้วถึงได้มาเขย่าต้นไม้ให้ใบไม้ร่วง ด้วยความโมโห นักพรตน้อยจึงถือไม้กวาดพุ่งเข้าไปหา รอกระทั่งนักพรตหนุ่มหันหน้ากลับมา นักพรตน้อยก็ชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง หากตีกันตนต้องสู้ไม่ได้แน่ จึงใช้จังหวะนี้วางไม้กวาดลงพื้นแสร้งทำความสะอาดพื้นต่ออีกครั้ง
ลู่เฉินยิ้มถาม “เจ้าตัวน้อย เคยปวารณาตนได้รับโองการหรือยัง? ทุกวันนี้เป็นลู่เซิงแล้ว ได้เพิ่มยันต์กี่ครั้งแล้ว?” (ผู้ที่เป็นนักพรตของลัทธิเต๋าจะต้องมีการปวารณาตนเป็นนักพรตเต๋าและทำพิธีรับโองการนักพรต ธรรมโองการหรือฝ่าลู่ คือเอกสารที่นักพรตเต๋าจำเป็นจะต้องยึดถือธำรงไว้ และขณะเดียวกันก็เป็นใบรับรองการบำเพ็ญธรรมและวิทยฐานะของนักพรต โดยเชื่อว่าโองการนี้เปรียบเสมือนใบสัญญากับสวรรค์ ว่าจะต้องต้องจิตเผยแพร่ธรรมสั่งสมกุศล เมื่อกุศลถึงพร้อมก็จะได้บรรลุเป็นเซียน โดยจะมีฉายาทางธรรม มียันต์ประจำตน)
นักพรตน้อยร้องเหอะหนึ่งที ไม่ใช่สมบัติประจำตระกูลหรือยันต์ส่วนตัวที่แค่มีเงินก็ให้กันได้เสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ตนก็ไม่มีเงินด้วย
มีเงินแล้วจะต้องมากวาดพื้นอยู่ตรงนี้หรือ? ศิษย์พี่วัยเดียวกันหลายคนในอารามก็ไม่ใช่ว่าที่บ้านมีเงินถึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากอาจารย์ ไม่เคยล้างห้องน้ำล้างกระโถนหรอกหรือ แต่ตนกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ตอนนี้ดีแล้ว เอาอาจมไปรดสวนผัก ทำบ่อยจนเกิดเป็นความชำนาญ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้แล้ว
ลู่เฉินนั่งลงบนราวรั้ว ด้านหลังคือสระน้ำขนาดเล็กที่เลี้ยงปลาหลีไว้ สองมือกอดอกเอ่ยว่า “เต๋าอยู่ที่อึและฉี่ ก็ดีมากนี่นะ”
นักพรตน้อยถูกพูดแทงเรื่องเจ็บปวดในใจจึงเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่ เห็นว่านักพรตหน้าเหม็นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนผู้นั้นกำลังยกมือขึ้น งอนิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า นักพรตน้อยจึงเข้าใจ ‘คำเตือน’ ของอีกฝ่ายได้ทันที จึงได้แต่ก้มหน้าลงไป กวาดพื้นต่ออย่างอัดอั้น แล้วก็จริงดังคาด นักพรตคนนั้นพึมพำกับตัวเองว่า “เรือนกายที่แข็งแกร่งนี้ของผินเต้าล้วนเป็นกำลังทรัพย์ที่สะสมมาจากการปลูกต้นไม้ ตัดต้นไม้ แล้วก็ปลูกต้นไม้อีกครั้งอย่างยากลำบากตลอดหลายปี ฝีมือย่อมร้ายกาจ ชายฉกรรจ์ทั่วไปขยับเข้าใกล้ร่างผินเต้าไม่ได้หรอกนะ”
นักพรตน้อยพึมพำเสียงเบา “ท่านบรรพจารย์พูดถึงจะดีถึงจะถูก เจ้าพูดมาล้วนมีแต่ผายลม”
ลู่เฉินยิ้มถาม “นี่เพราะเหตุใด ไม่ใช่ว่าคำพูดเหมือนกันก็ต้องมีหลักการเหตุผลเหมือนกันหรอกหรือ?”
นักพรตน้อยเพิ่มแรงกวาดจนใบไม้ปลิวกระจายไปทั่ว “จะเหมือนกันได้อย่างไร ต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เอาเป็นว่าหลักการเหตุผลน่ะข้าเข้าใจ ก็แค่พูดไม่เป็น”
ลู่เฉินถาม “หรือจะเหมือนประโยคที่ว่า ‘หากคนบนโลกเอาอย่างข้า ก็เหมือนเดินเข้าสู่วิถีมาร’?”
นักพรตน้อยเงยหน้าขึ้น “หมายความว่าไง? เป็นเกาเจินท่านไหนพูดในตำราเล่มใด?”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เป็นภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธเป็นคนพูด”
อันที่จริงลู่เฉินรู้ ‘ความคิดวุ่นวายเหลวไหล’ ของนักพรตน้อยแล้ว คำตอบในใจค่อนข้างน่าสนใจ แต่เพียงแค่เพราะนักพรตน้อยพูดไม่ออกเท่านั้นจริงๆ
นักพรตน้อยร้องอ้อหนึ่งที “เจ้าเข้าใจอะไรไม่น้อยเลย”
ก้มหน้ามองใบไม้ร่วงเต็มพื้น ขณะเดียวกันก็นินทาในใจไปประโยคหนึ่ง ทำไมไม่ทำตัวเป็นคนดีๆ
ลู่เฉินถาม “เจ้าชื่อว่าอะไร?”
นักพรตน้อยก้มหน้ากวาดใบไม้ร่วงใส่ที่ตักผงอย่างหมดอาลัยตายอยาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านนักพรตเรียกข้าว่าอาโหย่วก็ได้แล้ว โหย่วที่แปลว่ายามโหย่วน่ะ”
เพียงแต่ว่านักพรตน้อยไม่ได้บอกว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่อาจารย์ช่วยตั้งให้ กับคนนอกคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “วันหน้ารับโองการแล้ว มีเรื่องที่อยากทำหรือไม่?”
นักพรตน้อยยกไม้กวาดในมือขึ้น ชี้ไปยังทิศทางของตำหนักบรรพจารย์ เพียงแต่ก็รีบวางไม้กวาดลงอย่างรวดเร็ว ทำแบบนี้เป็นการแสดงความไม่เคารพอย่างยิ่ง หากอาจารย์เห็นเข้าต้องซวยแน่ ถูกลงโทษให้คัดคัมภีร์ทีก็ต้องคัดถึงดึกดื่นค่อนคืน เขาเหยียบใบไม้ร่วงที่อยู่ในที่ตักผงให้พวกมันรวมตัวกันแน่นๆ ก่อนจะกวาดใบไม้ต่ออีกครั้ง นักพรตน้อยพูดตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ “อารามของพวกเรายากจน วันหน้ารอให้ข้ามีเงินแล้วจะช่วยสวมชุดใหม่ให้กับเทวรูปในตำหนักบรรพจารย์ ก็คือการทาทองทับลงไปอีกชั้นหนึ่งน่ะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
ลู่เฉินร้องเอ๊ะหนึ่งที “อาโหย่วเจ้าจริงใจขนาดนี้ ทำไมบรรพจารย์บ้านเจ้ายังไม่แสดงความศักดิ์สิทธิ์สักที นี่ถึงจะไม่ผิดต่อจิตใจที่บริสุทธิ์ดีงามของเจ้า? หากข้าเป็นบรรพจารย์บ้านเจ้าจะต้องปรากฏตัวมาพูดคุยกับเจ้าดีๆ แน่”
นักพรตน้อยหงุดหงิดเต็มทีแล้ว ยกไม้กวาดชี้ไปที่นักพรตแปลกหน้าที่ทำตัวไร้กฎเกณฑ์ เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าทนเจ้ามานานแล้วนะ แค่พอสมควรก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะเรียกศิษย์พี่ให้มาซ้อมเจ้า!”
นักพรตน้อยรีบเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “พวกศิษย์พี่!”
ลู่เฉินอารมณ์ดีอย่างยิ่ง สองมือยันราวรั้ว แกว่งสองขา ใช้ส้นเท้าตีรั้วเบาๆ ถามด้วยสีหน้าใคร่รู้ “น่าประหลาดนัก เหตุใดภูเขาใหญ่อย่างสำนักโองการเทพของพวกเจ้ามีอารามเยอะมากมายขนาดนั้น แต่กลับมีแค่อารามของพวกเจ้าที่ตำหนักบรรพจารย์มีแต่เทวรูปไม้ ยากจนที่สุดเลยหรือ?”
นักพรตน้อยเอ่ยอย่างเดือดดาล “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
อันที่จริงคำถามข้อนี้ อย่าว่าแต่ตนเลย แม้แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้อง และยังมีพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงทั้งหลายต่างก็อยากรู้กันมาก แค่เคยได้ยินอาจารย์บอกว่า นักพรตในหนึ่งสำนักแบ่งออกเป็นสองสาย สวมกวานเต๋าแตกต่างกัน ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ยกตัวอย่างเช่นหากวันหน้านักพรตน้อยกลายเป็นลู่เซิง (นักพรตที่ผ่านพิธีรับโองการและผ่านการทดสอบแล้ว) จริงๆ กวานที่สวมบนศีรษะก็คือกวานดอกบัว ไม่เหมือนกับกวานเต๋าของเจ้าสำนักเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพ
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ข้ากลับรู้สาเหตุนะ เป็นเพราะว่าปีนั้นฉีเทียนจวินได้รับความเมตตาจากบรรพจารย์ของพวกเจ้าช่วยถ่ายทอดความรู้ให้ ตอนที่เป็นเจ้าสำนัก แรกเริ่มก็คิดว่านักพรตสองสาย ควรปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ภายหลังพบว่าทำแบบนี้ไม่ได้ จะมีภัยแฝงตามมามากมาย จึงเป็นเหตุให้อารามเต๋าในภูเขาสายของพวกเจ้ายิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ ต่อมาอีกฉีเทียนจวินก็ได้แค่เปลี่ยนวิธีเล็กน้อย ได้แต่แอบช่วยเหลือควันธูปสายของพวกเจ้าอย่างลับๆ ผลคือพบว่ายังไม่ได้ผลอีก เป็นเหตุให้ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด จะดีจะชั่วก็มีนักพรตที่สวมกวานดอกบัวก่อสำนักตั้งพรรคอยู่นอกภูเขา กระทั่งภายหลังต่อมาถึงได้พอจะเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่งได้อย่างถูไถ นั่นคือเต๋าคือธรรมชาติ ที่แท้เป็นเขาที่หวังดีทำเรื่องผิดไป ในที่สุดถึงได้มีสำนักชิงเหลียงที่อุตรกุรุทวีปอย่างไรเล่า”
ลู่เฉินชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ “หมื่นสรรพสิ่งเหมือนพืชพรรณ มีเติบโตมีแห้งเหี่ยวมีเกิดมีตาย การที่ฟ้าดินดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน เพราะพวกมันเข้าใจการดำรงอยู่ของตัวเองและดำเนินไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ จึงดำรงอยู่อย่างยาวนาน”
นักพรตน้อยฟังด้วยความสับสน แล้วก็ไม่ต่อคำ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเผยความขลาดเขลา
เขาพลันถามว่า “ในเมื่อเจ้าคือนักพรต ทำไมถึงไม่เรียกตัวเองว่า ‘ผินเต้า’?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ก็ผินเต้าไม่ยากจน มีเงินมากเลยล่ะ”
นักพรตน้อยรู้สึกอิจฉานิดๆ บนร่างไม่มีเงินค่าเดินทางย่อมไม่สามารถออกเดินทางไกลไปทั่วสารทิศได้ไม่ใช่หรือ
ลู่เฉินโบกมือ “เจ้าคิดไปคนละทางแล้ว ข้าหมายถึงว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตน หมื่นสรรพสิ่งเหมือนสุนัขฟาง เต๋าอยู่ในใต้หล้า”
ลู่เฉินยกฝ่ามือขึ้นสูง ก่อนจะกดลงช้าๆ ย้ำทวนสี่คำสุดท้าย เพียงแต่ว่ามีการเว้นวรรคอย่างลี้ลับ “เต๋าอยู่ในใต้ หล้า”
นักพรตน้อยร้องอ้อหนึ่งคำ เจ้าพูดของเจ้าไป ข้ากวาดของข้าต่อ
ลู่เฉินถาม “ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าพืชพรรณมีเกิดมีตาย ต้นไม้ใหญ่ข้างกายเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าใครก็รู้ ถ้าอย่างนั้นอาโหย่ว ข้าจะถามเจ้า เจ้าคิดว่าใบไม้ร่วงที่อยู่ในที่ตักผงข้างเท้าเจ้าล่ะ? เจ้าลองคิดดูสิว่ามันเป็นหรือมันตาย?”
นักพรตน้อยส่ายหน้า
ลู่เฉินยกสองมือขึ้นสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย “อาโหย่วอ่า ไม่ใช่ว่าข้าโม้หรอกนะ แต่ชีวิตนี้ของข้า การถกมรรคากับคนอื่นครั้งที่อันตรายที่สุด จุ๊ๆ อันตรายมากจริงๆ จนข้าเกือบจะไม่ได้เป็นนักพรตแล้ว”
นักพรตน้อยเงยหน้าขึ้น หัวเราะหึหึ
ถูกซ้อมแล้วสินะ
ลู่เฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อาโหย่ว เจ้าคิดผิดอีกแล้ว ข้าถามมรรคากับ ‘นักพรต’ คนหนึ่งที่อายุมาก ลำดับอาวุโสก็สูงมาก เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร?”
อันที่จริงคำเรียกขานว่านักพรตที่เอ่ยถึงช่วงแรกเริ่มสุดในโลกมนุษย์ หมายถึงภิกษุผู้นั้น
นักพรตน้อยกอดไม้กวาด กะพริบตาปริบๆ
ลู่เฉินเผยสีหน้าเลื่อนลอยออกมาเสี้ยวหนึ่ง แหงนหน้าไปด้านหลังสามที เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่พูดถึงสระปลาแห่งนี้แล้ว เขาพิศน้ำในบาตร มองเห็นแมลงแปดหมื่นแปดพันตัว ข้ากับนักพรตคนนั้นออกเดินทางท่องไปยังโลกมนุษย์ด้วยกันนานหลายปี ระหว่างนั้นได้เจอกับความใหญ่เล็ก มากน้อย ยาวสั้น ก่อนหลังและเป็นตายมาสารพัดรูปแบบ แต่ข้าก็ยังไม่ยอมแพ้ คนผู้นั้นจึงพาข้าไปเยือนโลกประหลาดใบหนึ่ง อาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลลึกล้ำ เรียกได้ว่าไร้ขอบเขตสิ้นสุด มีพันโลกธาตุขนาดเล็กอยู่มากมายนับไม่ถ้วน สรรพชีวิตก็มีมากมาย ประหนึ่งเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา และข้าก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น ผ่านความทุกข์ยากนานัปการ เผาผลาญเวลาไปนับไม่ถ้วน ฝึกบำเพ็ญตนจนสำเร็จผล หากเอามาไว้ที่แห่งนี้ ข้าที่อยู่ในฟ้าดินแห่งนั้นแค่ถอนหายใจก็สามารถทำให้ดวงดาวนับพันนับหมื่นดับสลาย แค่ยกมือก็ทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานนับร้อยนับพัน…กายดับมรรคาแหลกสิ้น สุดท้ายข้าเริ่มออกเดินทางไป ไปเยือนโลกธาตุขนาดเล็กแห่งต่างๆ ได้เจอกับสิ่งมีชีวิตประหลาดเหลือคณานับ ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกกี่ร้อยกี่พันปี เขาเริ่มหลับจำศีล ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกกี่พันกี่หมื่นปี เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ดวงดาวที่เหมือนจะไม่เคยแปรเปลี่ยนนับแต่โบราณมากลับไม่เหลืออยู่แล้ว สุดท้ายมีวันหนึ่ง เส้นเส้นหนึ่งเปิดออกบนฟ้า ข้าจึงตามทางเส้นนั้นไป ราวกับว่ามันได้หอบหุ้มเอาท่วงทำนองมรรคาไร้ที่สิ้นสุด เวทคาถา วิชาอภินิหารของโลกครึ่งใบ พุ่งชนเข้าไป ในที่สุดก็ออกมาจากที่แห่งนั้นได้ ผลกลับกลายเป็นว่า…”
นักพรตน้อยรู้สึกเหมือนตัวเองได้ฟังนักเล่านิทาน จึงรีบซักถาม “ผลเป็นอย่างไร?”
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ “หากอยากรู้ตอนจบ ต้องรอฟังตอนถัดไป”
นักพรตน้อยถอนหายใจ เข้าใจแล้ว “ถือว่าข้าติดเงินเจ้าสามอีแปะ ตกลงไหม?”
ลู่เฉินถึงได้ยกมือขึ้น ยิ้มถาม “อาโหย่ว หากพวกเราถูกยุงกัดแล้วเป็นตุ่มแดง เราก็ชอบใช้เล็บเกาหนึ่งทีแบบนี้ใช่ไหม?”
นักพรตน้อยยกนิ้วข้างหนึ่งขึ้น ทำท่าเกาสองที ยิ้มเอ่ย “ข้าชอบเกาสองที”
ลู่เฉินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าคนนั้น ก็คือรอยแดงบนแขนที่เกิดจากยุงกัด ถูกคนใช้นิ้วข้างหนึ่งบี้ตายได้อย่างง่ายดาย”
นักพรตน้อยอ้าปากกว้าง สุดท้ายทนไม่ไหวยกนิ้วโป้งขึ้น “เป็นเรื่องเล่าที่ดี!”
คุ้มค่ากับเงินสามอีแปะจริงๆ!
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นข้าถึงไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้เสียที อาจารย์ขี้เกียจเป็นที่สุด ทั้งยังไม่ยินดีจะไขข้อข้องใจให้ข้า ข้าที่เป็นลูกศิษย์จะทำอย่างไรได้ ได้แต่ไปหาคำตอบเอาเองเท่านั้น”