กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 911.1 หวนกลับมาที่เดิมเหมือนได้เปิดอ่านตำรา
ภูเขาลั่วพั่ว หน้าประตูภูเขา
เฉินหลิงจวินกวาดตามองไปรอบด้าน ฉวยโอกาสที่ไม่มีใครอยู่แอบเอาเหล้ากาหนึ่งออกมา บิดหมุนข้อมือหนึ่งทีก็เสกชามเหล้าสองใบที่ทับซ้อนกันออกมา โยนให้กับคนเฝ้าประตูคนใหม่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะ
คนหนึ่งคือเด็กชายชุดเขียว คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่ม นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
คนหนึ่งยกเท้าเหยียบบนม้านั่งยาว คนหนึ่งถอดรองเท้าหุ้มแข้ง นั่งขัดสมาธิ
เฉินหลิงจวินโน้มตัวไปด้านหน้า ยืดแขนยาวเอาชามเหล้าไปชนกับชามของนักพรตหนุ่มเบาๆ ฝ่ายหลังดื่มเหล้าไปอึกใหญ่แล้วหัวเราะร่าเอ่ยว่า “อารมณ์ดี อารมณ์ดี”
เฉินหลิงจวินถาม “น้องเซียนเว่ย ไม่รู้สึกว่ามาเฝ้าประตูอยู่ที่นี่แล้วขายหน้าหรือ? หากว่าไม่ยินดีก็พูดมาเถอะ ข้าจะได้โยกย้ายเจ้ากลับไปที่ตรอกฉีหลง ถึงอย่างไรพ่อครัวเฒ่าก็พูดคุยได้ง่าย นี่ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ข้าต้องพูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้น”
“พูดโง่ๆ อะไรอย่างนั้น เร็วเข้า ดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งชามเลย”
เซียนเว่ยผงกปลายคาง “ข้าคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร พี่จิ่งชิงยังไม่รู้อีกหรือ? ปากเก็บคำพูดไม่อยู่ ในใจเก็บเรื่องราวไว้ไม่ได้ เป็นคนใจตรงปากไว จะไม่ยอมกล้ำกลืนความเป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่ายเด็ดขาด หากไม่เป็นเพราะชอบอยู่ที่นี่ ป่านนี้ก็คงม้วนเสื่อกลับตรอกฉีหลงไปนานแล้ว”
ตามคำกล่าวของเฉินหลิงจวิน เซี่ยนเว่ยถือว่าเป็นลูกศิษย์นักการในร้านฉ่าวโถวตรอกฉีหลง ได้แหกกฎเลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้ไม่ถือว่าเป็นการเดินขึ้นฟ้าด้วยก้าวเดียวอะไร แต่ก็ต่างกันไม่มากเท่าไร
ได้ยินมาว่าคนเฝ้าประตูรุ่นแรกของภูเขาลั่วพั่วคือเจ้าคนที่ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง ภายหลังจึงเป็นเฉาฉิงหล่างลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขาเฉิน หยวนไหลลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลูป๋ายเซี่ยง และยังมีใต้เท้าโจวที่ตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นถึงผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว ต่างก็เคยมาทำหน้าที่อยู่ที่นี่ หากไม่เป็นเพราะผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาต้องออกเดินทางไกล เรื่องดีๆ ประเภทนี้ก็ไม่มีทางเวียนมาถึงเซียนเว่ยแน่
ภาระหนักอึ้งนี้จึงหล่นลงมาบนบ่าของเซียนเว่ย แน่นอนว่านี่คือผลลัพธ์จากการช่วยแนะนำอย่างสุดความสามารถของพี่จิ่งชิง
ร้านฉ่าวโถวที่ตรอกฉีหลงนั้น ไม่มีพี่ใหญ่เจี่ยนั่งบัญชาการณ์ก็ไม่มีความหมายอะไรเลยจริงๆ มาอยู่ที่นี่ ฟ้าไม่สนดินไม่แล กลับกลายเป็นว่าสบายกว่ากันมาก
อันที่จริงตอนแรกเซียนเว่ยก็รู้สึกอัดอั้นอย่างมาก เพียงแต่ว่าไม่ทันระวัง เซียนเว่ยกลับพบเจอภูเขาสมบัติลูกหนึ่งในเรือนพักของเจิ้งต้าเฟิง! ช่างสมกับคำกล่าวที่ว่ามหาสมุทรความรู้ไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ
ทุกวันนี้อย่าว่าแต่วันที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเลย ต่อให้มีมีดดาบหล่นลงมาจากฟ้า เซียนเว่ยก็สามารถนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่ที่นี่ได้
เซียนเว่ยรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนพี่น้องบ้านตนอยู่บ้าง “เรื่องใหญ่อย่างการก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง เจ้าขุนเขาไม่เรียกเจ้าไปด้วยหรือ?”
เพียงแต่ไม่รอให้เฉินหลิงจวินหาเหตุผล เซียนเว่ยก็ถามเองตอบเองว่า “ใช่แล้วๆ ที่สำนักเบื้องบนของพวกเราควรต้องมีบุคคลที่เป็นหัวใจสำคัญอยู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าขุนเขาต้องไม่วางใจแน่นอน กิจการของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากเจอโจรร้ายเข้าก็ไม่ดีแล้ว ถือว่าข้าพูดผิดไป จะดื่มเหล้าลงโทษตัวเองหนึ่งชามแล้วกัน”
เฉินหลิงจวินหัวเราะเสียงดังลั่น ชูชามเหล้าขึ้นสูง “พี่น้องร่วมใจ แม้แต่ทองก็ยังตัดให้ขาดได้ มีพวกเราสองคนเฝ้าประตูใหญ่ นายท่านก็วางใจได้ร้อยดวงเลย”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งยืนอยู่ตรงขั้นบันไดเงียบๆ
เฉินหลิงจินรีบทำท่าเหมือนเสือหิวกระโจนหาลูกแกะ พลันโน้มตัวไปข้างหน้าฟุบลงบนโต๊ะ จากนั้นยื่นมือข้างหนึ่งออกไปบังกาเหล้าและชามเหล้า เบี่ยงตัวหันหลังให้ทางบันได บ่นเสียงดังว่า “เซียนเว่ย ทำไมถึงยังดื่มเหล้าอยู่อีก ไม่สมควรเลยนะ ทำไมห้ามก็ห้ามไม่ฟัง วันนี้ช่างเถิด คราวหน้าหากยังเป็นอย่างนี้อีก ข้าจะโกรธแล้วนะ พี่น้องก็ส่วนพี่น้อง กฎระเบียบส่วนกฎระเบียบ ห้ามให้มีคราวหน้าอีกนะ!”
เซียนเว่ยเข้าใจความนัย ตามองตรงไปข้างหน้าไม่ลอกแลก สีหน้าละอายใจอย่างยิ่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ต้องโทษที่ข้าน้ำลายสออยากดื่ม ทนไม่ไหวจริงๆ”
หน่วนซู่เอ่ยเตือนว่า “ท่านอาเจิ้งเคยบอกว่า คนเฝ้าประตูก็คือคนที่เป็นหน้าเป็นตาของภูเขา ความประทับใจแรกที่มอบให้ผู้อื่นคืออย่างไร เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้นเวลาปกติทางที่ดีที่สุดไม่ควรดื่มเหล้า หากอยากดื่มจริงๆ ก็ต้องดื่มให้น้อย ดื่มจอกสองจอกในลานเรือนเล็กได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคอยสังเกตดูว่าที่หน้าประตูมีแขกมาเยือนหรือไม่ รอให้มีคนขยับเข้ามาใกล้ประตูภูเขาก็ต้องรีบสลายกลิ่นเหล้าบนร่างทิ้งไปก่อนค่อยออกมาต้อนรับแขก หลีกเลี่ยงไม่ให้แขกจากต่างถิ่นเข้าใจขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วพวกเราผิด”
เฉินหลิงจวินแสร้งทำท่าเงี่ยหูฟังพลางแอบทำหน้าทะเล้นใส่เซียนเว่ยไปด้วย
หน่วนซู่ไม่แม้แต่จะชายตามองเฉินหลิงจวิน เพียงยิ้มเอ่ยกับนักพรตหนุ่มว่า “นักพรตเซียนเว่ย ไม่ได้พูดถึงท่านนะ ข้าพูดถึงใครบางคน”
เฉินหลิงจวินไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน ทำไมถึงเห็นคนอื่นดีกว่าได้นะ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเอาความขุ่นเคืองไประบายใส่นังหนูผู้นี้ เพียงหันหน้ามายิ้มหน้าเป็น “วันนี้ว่างขนาดนี้เชียวหรือ ถึงกับเดินเล่นมาถึงหน้าประตูภูเขาได้ แอบขี้เกียจหรือไร?”
หน่วนซู่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อาจารย์จูให้ข้านำความมาบอกเจ้าว่าเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงเพิ่งจะส่งจดหมายมาถึงภูเขาพวกเรา บอกว่าวันนี้ยามเซิน (ช่วงบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น) จะมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว จะมาดื่มเหล้ากับเจ้า อาจารย์จูบอกให้เจ้าตัดสินใจเอาเอง เหอะ อีกเดี๋ยวก็ดื่มเหล้าให้ดีล่ะ ดื่มให้เต็มที่เลย ใครจะอยากสนใจเจ้ากัน”
พูดจบก็จากไป บนภูเขายังมีงานอีกมากให้นางต้องไปทำ
เซียนเว่ยมีสีหน้าตกตะลึง รอกระทั่งผู้ดูแลน้อยของภูเขาลั่วพั่วเดินขึ้นบันได ค่อยๆ จากไปไกลแล้ว เขาถึงได้กดเสียงต่ำถามว่า “หาได้ยากที่ได้เห็นหน่วนซู่โมโห เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินหลิงจวินทำหน้าขุ่นเคือง อดกลั้นอยู่นานก็ตอบอย่างคลุมเครือว่า “นังหนูน้อยผู้นี้มีความเข้าใจผิดต่อพี่น้องเทพวารีอวี้เจียงของข้าเล็กน้อย”
เซียนเว่ยถามอย่างใคร่รู้ “ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
เฉินหลิงจวินยิ่งมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “สตรีผมยาวความรู้สั้น นางจะไปเข้าใจอะไร ไม่มีอะไรให้เล่าหรอก ดื่มเหล้าๆ”
ที่แท้ปีนั้นเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมาขอร้องเฉินหลิงจวิน สุดท้ายก็ได้ป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาต้าหลีแจกจ่ายให้ไปได้สำเร็จ
บนโต๊ะสุราในเมืองเล็กนอกภูเขา ยามที่มอบป้ายสงบสุขออกไป เด็กชายชุดเขียวที่นั่งอยู่บนโต๊ะสุรายืดอกตั้ง ปากก็บอกว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลำพังกับเว่ยป้อ เฉินหลิงจวินก็ต้องหน้าหมองกลับมา เว่ยป้อที่เป็นซานจวินของมหาบรรพตอุดร ภูเขาพีอวิ๋นยังเป็นเพื่อนบ้านกับภูเขาลั่วพั่วบ้านตน ยิ่งเป็นสหายที่เหมือนกับสวมกางเกงตัวเดียวกับนายท่าน ผลคือไม่ยอมช่วยก็ช่างเถิด ยังเอ่ยประโยคที่จงใจทำให้คนยอกแสลงมาอีกยาวเหยียด เพราะอับจนหนทางจริงๆ เฉินหลิงจวินจึงได้แต่ไปจุดธูปขอร้องที่อื่น ถึงอย่างไรก็ขอมาทั่วแล้ว สุดท้ายก็ได้แต่เอาหินดีงูที่นายท่านมอบให้เป็นของขวัญวันปีใหม่ แล้วยังเป็นก้อนที่ชอบที่สุดออกมา ตอนกลางคืนแอบวิ่งไปที่ภูเขาพีอวิ๋นอีกครั้ง ระหว่างนั้นกังวลว่าจะได้ยินถ้อยคำผายลมสุนัขจากเว่ยป้อเป็นครั้งที่สาม ได้แต่ทนกัดฟัน เพราะรู้สึกว่าจะผิดต่อพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไม่ได้ หน้าตาน้อยนิดของตน อย่างมากก็แค่ทำหล่นไว้ที่ภูเขาพีอวิ๋นเก็บขึ้นมาไม่ได้อีก ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครเห็น ขายหน้าก็ไม่ได้ขายหน้าไปถึงภูเขาลั่วพั่วและแม่น้ำอวี้เจียง สุดท้ายถือว่าได้ทำการค้าครั้งหนึ่งกับเว่ยป้อ ถึงได้ใช้เงินทองของจริงซื้อป้ายสงบสุขปลอดภัยของกรมอาญามาได้
ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงก็มาดื่มเหล้ากับเด็กชายชุดเขียวอีก บอกว่าไม่ได้เจอเขามานาน คิดถึงพี่น้องแล้ว ดังนั้นต่อให้เป็นเทพวารี การที่ออกจากอาณาเขตจะต้องขอเอกสารผ่านด่านสองส่วนจากทั้งทางแคว้นหวงถิงและทางราชสำนักต้าหลี กว่าจะมาถึงภูเขาลั่วพั่วได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย
จากนั้นในหอสุราที่สูงที่สุดของเมืองเล็ก สองพี่น้องดื่มเหล้ากันจนอิ่มหนำ เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ บอกว่าระหว่างที่เดินทางมาเห็นศาลเทพวารีของหยางฮวาแม่น้ำเถี่ยฝูแล้วรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย จึงอยากจะให้เฉินหลิงจวินช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ช่วยไปพูดดีๆ เกี่ยวกับเขาต่อหน้าราชสำนักต้าหลีแคว้นผู้นำของแคว้นหวงถิงเสียหน่อย จะได้เอาสายน้ำสาขาแยกของบ้านอื่นที่อยู่แถวๆ ริมเขตของแม่น้ำอวี้เจียงควบรวมเข้ามาอยู่ในถิ่นของแม่น้ำอวี้เจียงเขา เมื่อเป็นเช่นนี้วันหน้าเฉินหลิงจวินกลับไปที่แม่น้ำอวี้เจียง พวกพี่น้องทุกคนก็จะได้มีหน้ามีตาแล้ว
เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงยิ้มบอกว่าตัวเองก็แค่พูดถึงไปอย่างนั้นเอง เฉินหลิงจวินอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง
เฉินหลิงจวินบากหน้ารับฟัง แน่นอนว่าไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ บนโต๊ะสุรา นายท่านใหญ่เฉินไม่เคยมีคำว่า ‘ไม่’
แต่ครั้งนี้เฉินหลิงจวินกลับไม่ได้ตกปากรับคำบอกว่าตัวเองต้องทำได้สำเร็จแน่นอน แต่ก็ยังมอบเงินเทพเซียนให้ก้อนใหญ่ บอกให้พี่น้องไปสานสัมพันธ์กับทางราชสำนักแคว้นหวงถิงดูก่อน ส่วนทางฝั่งของตน แน่นอนว่าจะช่วยพูดให้สองสามประโยค เป็นหน้าที่อันพึงปฏิบัติซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้
อันที่จริงเวลานั้นสีหน้าของเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไม่ค่อยน่ามองนัก
เฉินหลิงจวินก็แค่อารมณ์หม่นมอง ไม่ได้พูดอะไรมาก
พอเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงออกไปจากเมืองเล็ก เฉินหลิงจวินก็แข็งใจบากหน้าไปที่ภูเขาพีอวิ๋นก่อน
กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วก็นั่งยองแทะเมล็ดแตงอยู่บนพื้น กับนังเด็กโง่ที่จู่ๆ ก็เกิดฉลาดขึ้นมาอย่างหน่วนซู่ แน่นอนว่าเฉินหลิงจวินต้องบอกว่าตัวเองไม่ได้ให้เงินไป
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ที่อยู่บนภูเขาพีอวิ๋น คำพูดของเว่ยป้อไม่ได้น่าฟังนัก ไม่ช่วยก็ไม่ช่วยสิ ยังชอบพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูด ไม่มีคุณธรรมเลยแต่น้อย เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เฉินหลิงจวินรู้สึกย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
ความหมายคร่าวๆ คือด่าเฉินหลิงจวิน บอกว่าเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงเห็นเจ้าเป็นคนโง่ เจ้าก็เป็นคนโง่อย่างมีความสุขถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว พอคิดถึงถ้อยคำระยำประโยคนี้ เฉินหลิงจวินก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี ปีนั้นตนไม่อาจช่วยเหลือพี่น้องเทพวารีได้จริงๆ สุดท้ายแม่น้ำอวี้เจียงก็ไม่สามารถควบรวมแม่น้ำลำคลองหลายเส้นนั้นได้ ดังนั้นผ่านมานานหลายปีขนาดนี้เขาจึงไม่เคยสวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิดหวนคืนสถานที่ที่เคยไปเยือนแม้แต่ครั้งเดียว
เฉินหลิงจวินดื่มเหล้าอย่างอัดอั้น กระดกเหล้าในชามจนหมด
ปีนั้นแม่น้ำอวี้เจียงไม่เคยปฏิบัติต่อเขาเฉินหลิงจวินไม่ดี
ไม่มีเหตุผลที่ตนได้ดิบได้ดีแล้วจะทำเป็นลืมเพื่อนในอดีต
เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้พี่น้องเทพวารีมาหาตนที่ภูเขาลั่วพั่ว เพราะมีเรื่องที่ต้องการขอร้องอีกหรือไม่ แล้วตนจะสามารถช่วยทำให้สำเร็จได้หรือไม่
กลุ้ม ช่างกลุ้มใจจริง
โชคดีที่ข้างมือยังมีสุรา ตรงหน้ายังมีสหาย
ห่างจากยามเซินอีกเกือบครึ่งชั่วยาม เฉินหลิงจวินที่ลังเลอยู่นานมากก็ไม่ได้ไปรอพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงที่หน้าประตูภูเขา แต่บอกลากับเซียนเว่ย บอกว่าตัวเองจะไปรับสหายที่เมืองหงจู๋
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม เฉินหลิงจวินทะยานลมกลับมาจากเมืองหงจู๋ พลิ้วกายลงบนพื้น ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดราวกับบิน เดินอาดๆ มาที่หน้าประตูภูเขา ตะโกนเสียงดังกลั้วเสียงหัวเราะกับน้องเซียนเว่ยที่นั่งเฝ้าประตูอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ “พี่น้องเทพวารีของข้าคนนี้ช่างโง่เง่าเสียจริง สิ้นเปลืองความสัมพันธ์ควันธูปในวงการขุนนางไปมากมาย เดินทางมาไกลขนาดนี้ เจ้าเดาดูสิว่าเพราะอะไร แค่เพื่อมาดื่มเหล้ากับข้าเท่านั้นเอง!”
เซียนเว่ยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน อาบแสงแดดอบอุ่นของปลายฤดูหนาว พยักหน้ารับอย่างแรง ยกนิ้วโป้งให้ “ของประเภทเดียวกันอยู่รวมกัน คนแบบเดียวกันอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างไรก็เป็นสหายของพี่จิ่งชิงนี่นะ คราวหน้ามีโอกาสก็ช่วยแนะนำให้ข้ารู้จักด้วยสิ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในอนาคตเมื่อตนไปที่เที่ยวที่อวี้เจียงก็ไม่ใช่ว่าจะขอเหล้าดีเนื้ออร่อยๆ กินดื่มได้หลายมื้อเลยหรอกหรือ?
วันนี้ในที่สุดเซียนเว่ยก็เข้าใจนิสัยของเฉินหลิงจวินอย่างกระจ่างแล้ว ชมเพื่อนของเขาได้ผลยิ่งกว่าชมตัวเขาเองเสียอีก
เฉินหลิงจวินโบกมือเป็นวงกว้าง นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ด้านข้าง ยืดขาสองข้างออกไป เอามือรองใต้ท้ายทอย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “เรื่องใหญ่เท่าก้น ไม่ต้องพูดเหลวไหล”
อันที่จริงเคยถามนายท่านเป็นการส่วนตัว บอกว่าหากในอนาคตวันใดเทพวารีอวี้เจียงมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว ตนสามารถพาสหายมาเดินเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วได้หรือไม่
ตอนนั้นนายท่านยิ้มบอกว่าไม่มีปัญหา นอกจากเรือนไม้ไผ่กับศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อแล้ว ทุกที่ล้วนสามารถไปได้ ทัศนียภาพบนยอดเขาจี้เซ่อภูเขาบรรพบุรุษก็ไม่เลว เจ้าต้องพาเขาไปให้ได้ วันหน้าเจ้าสามารถบอกกับหน่วนซู่สักคำ ให้นางช่วยเตรียมผลไม้กับเมล็ดแตงไว้ให้พวกเจ้าสองคน บอกไปว่าข้าเป็นคนบอกให้ทำ
เพียงแต่ว่านายท่านยังบอกด้วยว่า ไม่สู้วันใดที่ข้าอยู่บนภูเขา พวกเจ้านัดหมายเวลากันให้ดี ให้ข้าที่เป็นเจ้าขุนเขามาเป็นเจ้าบ้าน เลี้ยงเหล้าเขาสักมื้อก็แล้วกัน
บังเอิญว่าวันนี้นายท่านไม่อยู่บ้าน เพราะกำลังยุ่งกับงานใหญ่ที่ใบถงทวีป
เฉินหลิงจวินเป็นกังวลว่าพ่อครัวเฒ่าและหน่วนซู่จะรังเกียจว่ายุ่งยาก ก็เลยไม่กล้าพาเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงขึ้นมาบนภูเขาลั่วพั่ว
หากนายท่านอยู่บนภูเขา เขาจะไปหาเหลาสุราดื่มเหล้าที่เมืองหงจู๋หรือ?
แต่อย่าให้นายท่านต้องถึงกับเลี้ยงเหล้าสหายของเขาเลย
ดังนั้นเฉินหลิงจวินจึงไม่เคยนัดดื่มสุรากับเทพวารีอวี้เจียง
เฉินหลิงจวินไม่ยินดีให้นายท่านต้องดื่มสุรารับรองประเภทนี้ ถึงอย่างไรสหายของตนก็ไม่ใช่สหายของนายท่าน ไม่มีความจำเป็น
ถึงอย่างไรตนก็เป็นคนที่ติดตามนายท่านมาอยู่ภูเขาลั่วพั่วก่อนใคร รู้ดีที่สุดถึงความยากลำบากและความไม่ง่ายของนายท่านตลอดหลายปีมานี้ หน้าตาของตนไม่มีค่าแม้แต่อีแปะได้ แต่หน้าตาของนายท่านจำเป็นต้องมีค่าอย่างมาก
จูเหลี่ยนนั่งอยู่บนบันไดขั้นบนสุด ซานจวินเว่ยป้อยืนอยู่ด้านข้าง มองไปยังเจ้าโง่น้อยที่หน้าบานเป็นกระด้งตรงตีนเขาด้วยกัน
เว่ยป้อหาตัวเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงที่ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังภูเขาลั่วพั่วเจอก่อนเฉินหลิงจวิน
อันที่จริงเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากเจ้าขุนเขาเฉินผิงอัน