กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 912.2 ผู้ที่มาคือใคร
เหลาสุราแห่งอื่นในนครบินทะยาน ไม่รู้ว่าไปเอาเหล้าภูเขาชิงเสินของจริงที่ซื้อมาในราคาสูงมาจากไหน ถูกมองเป็นสมบัติพิทักษ์ร้าน แน่นอนว่าก็มีความหมายว่าจะขึ้นเวทีประลองกับร้านเหล้าขนาดเล็กแห่งนั้นเช่นกัน ขายเป็นตำลึง ผลคือเพียงไม่นานก็มีคนไปให้การสนับสนุน หลังจากดื่มไปหนึ่งจอกกลับสบถด่าแล้วเตรียมจะจากไป เกือบจะไม่ยินดีควักเงินจ่ายค่าเหล้าแล้วด้วยซ้ำ
เหล้าปลอม ขายเหล้าปลอม! เหล้าภูเขาชิงเสินไม่ใช่รสชาตินี้เลย!
แต่ละคนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งบนโต๊ะในร้านเหล้าและข้างทาง คนกลุ่มใหญ่พากันพยักหน้ารัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
เถ้าแก่ร้านเหล้าร้านนั้นใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว
กระทั่งบัดนี้เพิ่งขายเหล้าภูเขาชิงเสินได้ไม่ถึงหนึ่งกา อย่าว่าแต่ร้านเหล้าจะได้กำไรเลย เงินทุนยังไม่ได้กลับคืนมาเลยด้วยซ้ำ
เจิ้งต้าเฟิงเหลือบมองคนสองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะห่างไปไม่ไกล ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่หยางชุน ไม่ทำผิดต่อตัวเองแม้แต่น้อย รู้จักเพิ่มไข่ดาวสองฟองด้วย
ทุกวันนี้เถาป่านกับเฝิงคังเล่อ อันที่จริงล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่ก้นสามารถย่างขนมเปี๊ยะได้แล้ว เริ่มมีหนวดมีเครากันแล้ว
เด็กหนุ่มในอดีต ตอนที่ยังเป็นเด็กน้อย เถาป่านเคยถามคำถามหนึ่งกับเถ้าแก่รอง พอมาถึงตัวแทนเถ้าแก่อย่างเจิ้งต้าเฟิง ก็ถามคำถามที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากตัวอ่อนเซียนกระบี่มาเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธ
ภายหลังเถาป่านยังถามคำถามที่ทำให้เจิ้งต้าเฟิงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
ชีวิตนี้ข้ายังจะได้พบกับเถ้าแก่รองอีกไหม?
เพราะเถาป่านรู้ดีว่าตัวเองทั้งไม่ใช่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ แล้วก็ไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธอะไร เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง อีกไม่นานก็จะกลายเป็นชายวัยกลางคน เป็นชายชรา ไม่แน่ว่าจะรอได้ถึงการเปิดประตูครั้งหน้าของใต้หล้าห้าสี
ตอนนั้นเห็นว่าเจิ้งต้าเฟิงไม่พูดอะไร เถาป่านก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า ตอนนั้นตนอายุยังน้อย ดื่มเหล้าไม่ได้ ดังนั้นจึงยังไม่เคยดื่มเหล้ากับเถ้าแก่รองมาก่อน
ท่ามกลางสีสนธยาหนาหนักมีผีขี้เหล้าโต๊ะหนึ่งดื่มเหล้าจนเมามาย มีคนหัวเราะหึหึเอ่ยว่า “พี่น้องต้าเฟิง ได้เงินจากเจ้าแบบนี้เสมอ จากแรกเริ่มที่ดีใจ จนถึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ จนไปถึงเจ็บปวดใจ ทุกวันนี้ใกล้จะเคียดแค้นแล้วนะ”
เจิ้งต้าเฟิงดีดลูกคิด พยักหน้าเอ่ย “อืม พอๆ กับความรักฉันท์ชายหญิงนั่นแหละ”
มีคนกระจ่างแจ้งในฉับพลัน ขบคิดความนัยที่แฝงอยู่ออกจึงร้องตะโกนว่าดี
มีคนถามขึ้นมาอีก “ตัวแทนเถ้าแก่ เจ้าบอกความจริงพวกเรามาตามตรงเถอะ สรุปแล้วเป็นเพราะเจ้าเล่นพนันเก่ง หรือเพราะว่าตลอดทั้งปีไม่เคยล้างมือกันแน่?”
เจิ้งต้าเฟิงคร้านจะคุยด้วย เพียงยกนิ้วกลางส่งไปให้
มีคนเริ่มพูดจาภาษาคนเมา “พูดความจริงที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจสักประโยค ถามหมัดกับเถ้าแก่รอง เขาไม่มีทางต่อยข้าได้สองหมัดหรอก”
“ทำไมเถ้าแก่รองถึงยังไม่กลับมาเสียทีนะ ไม่มีคนเป็นเจ้ามือเลย”
กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีห้าสุดยอดใหม่เก่าอยู่สองครั้ง
แบบเก่าคือฝีมือพนันของเจ้าชาติสุนัขแข็งแกร่งเกินไป เฒ่าหูหนวกเป็นคนก็ต้องพูดภาษาคน ลู่จืองามล่มบ้านล่มเมือง ใต้เท้าอิ่นกวานรักหยกถนอมบุปผา หมี่อวี้นับแต่โบราณมารักลึกซึ้งไม่เคยรั้งไว้ได้อยู่
ส่วนแบบใหม่ เถ้าแก่รองไม่เคยหลอกลวงเด็กและคนชรา ไม่เคยเป็นเจ้ามือ ซือถูหลงชิวข้าสาบานว่าเป็นเรื่องจริง กู้เจี้ยนหลงขอให้ข้าได้พูดประโยคเป็นธรรมสักคำ ต่งฮว่าฝูจ่ายเงินราวน้ำไหล หวังซินสุ่ยก่อนออกกระบี่ไม่มีปัญหา หลังต่อยตีกันถือเป็นของข้า
คำกล่าวใหม่เก่าสองอย่างนี้ล้วนเป็นคนต่างถิ่นที่ติดอันดับในเวลาเดียวกัน อีกทั้งคนสองคนที่ได้รับเกียรติติดอันดับล้วนเป็นบัณฑิต เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างกันอยู่บ้าง อาเหลียงแทบอยากจะเอาคำกล่าวทำนองว่าผู้มีอารยธรรม บัณฑิต เจ้าคิดว่าข้าไม่หล่อเหลาก็เพราะสายตาเจ้ามีปัญหา…เขียนลงไปบนหน้าผาก
ส่วนอิ่นกวานหนุ่มกลับตรงกันข้าม ไม่เคยจงใจพูดถึงสถานะบัณฑิตของตัวเอง แต่ตอนที่อยู่ร้านเหล้าชอบกล่าวประโยคที่ผิดต่อมโนธรรมในใจด้วยท่าทางน่าเชื่อถือ ข้าดื่มเหล้าได้ไม่เก่งจริงๆ ข้าคนนี้ไม่เคยเป็นเจ้ามือ ยุให้คนอื่นดื่มเหล้าบนโต๊ะสุราเสียภาพลักษณ์ พวกเจ้าเป็นคนต้องมีมโนธรรมสักหน่อย จะใส่ความใครก็ต้องมีหลักฐาน…
ภายหลังนครบินทะยานก็มีคำกล่าวใหม่ ‘สี่ประหลาด’ เพิ่มมาอีก
หนึ่งคือหนิงเหยารับตำแหน่งอิ่นกวานชั่วคราว แต่ไม่ได้เป็นเจ้านคร
นอกจากนี้ก็คือเหนี่ยนซินที่เป็นมือรองสายสิงกวาน สถานะแท้จริงจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นใคร
เพียงแค่ได้ยินมาว่าเหนี่ยนซินไม่เคยเปิดปากพูดในการประชุมศาลบรรพจารย์
จากนั้นก็คือเรือนโป้จีหนึ่งในจวนส่วนตัวของเซียนกระบี่นอกเมืองในอดีต ผู้ฝึกกระบี่ชายสามคนที่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงของสตรี
สุดท้ายคือเหล่าผู้ฝึกตนห้องบัญชีสายเฉวียนฝู่เห็นเงินลืมตาเก็บตกเศษซาก ใครขวางการหาเงินข้าก็คือการถามกระบี่
ผู้ฝึกตนพวกนี้แขวนกรอบป้ายไว้ในห้องบัญชีของใครของมัน ตัวอักษรในกรอบป้ายต่างก็มีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ อย่างเช่นว่าสวรรค์ย่อมตอบแทนคนขยันหมั่นเพียร ความเพียรชดเชยความบกพร่องได้ เงินทองไหลมาเทมา ฟ้าสูงสามฉื่อ
โดยเฉพาะสองอย่างหลังที่ชื่อเสียงแทบจะเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว
เนื่องจากผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสามท่านอย่างเซ่อโจว สุ่ยอวี้ เยี่ยนเจินได้อาศัยวิชาอภินิหารบางอย่างที่อาจารย์ถ่ายทอดมาให้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนจึงผลัดกันออกนอกเมืองไปตามหาตัวอ่อนเซียนกระบี่ต่างถิ่น
และการสืบทอดวิชาลับนี้ก็มีธรณีประตูสูงมาก ทุกวันนี้ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสิบกว่าคนก็มีแค่สองคนที่พอจะถือว่าฝึกได้ชำนาญอย่างถูไถ
อันที่จริงเซ่อโจวได้เลื่อนเป็นก่อกำเนิดแล้ว ตามคำสั่งที่อาจารย์ทิ้งเอาไว้ เขาสามารถเปลี่ยนมาแต่งกายธรรมดาได้แล้ว
ได้ยินมาว่าเซ่อโจวเพิ่งจะสวมชุดคลุมอาคมที่หอภูษาในอดีตจัดทำขึ้น ยังไม่ทันได้ออกจากบ้านไปดื่มเหล้ากับคนอื่น ผลคือถูกศิษย์น้องสองคนมาหาถึงที่ เกือบจะกลายเป็นศัตรูกับเขาเสียแล้ว จึงได้แต่ ‘มีสุขร่วมเสพ’ กันต่อไป
นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เซ่อโจวและศิษย์น้องสุ่ยอวี้รับมา ปีนั้นดันถามคำถามน่าตาย เป็นเหตุให้ทุกวันนี้ลูกศิษย์ทุกคนของสายโป้จีต้องสวมชุดกระโปรงของสตรีตามพวกอาจารย์ไปด้วย
ดังนั้น ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ สองคนนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นตะปูตำนัยน์ตาของเหล่าศิษย์น้องร่วมสำนัก
อันที่จริงคำกล่าว ‘สี่ประหลาด’ นี้ น่าสนใจก็น่าสนใจ สนุกก็สนุก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าไม่ได้มีความหมายมากขนาดนั้นแล้ว เพราะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
บางทีอาจเป็นเพราะนครบินทะยานในทุกวันนี้ขาดผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนบางคนที่เคยคุ้นเคยกันอย่างถึงที่สุดไป ขาดผู้เฒ่าเหล่านั้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะขาดบัณฑิตที่โดนด่ามากที่สุดสองคนนั้นไป
ก็เหมือนการด่าคนที่ตั้งแต่ต้นจนจบมีแค่ตนคนเดียวที่เท้าเอวด่าคนน้ำลายแตกฟองอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเถียงเอาคืน ถึงท้ายที่สุดก็แค่รู้สึกเหนื่อยอย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้นต้องมีคนให้ด่าด้วย
เฉิงเฉวียนกับจ้าวเก้ออี๋ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ด่าคนเก่งแล้วกระมัง?
แต่เจอกับเถ้าแก่รอง คนทั้งสองรวมกันก็ยังสู้ไม่ได้
ฉีโซ่วที่ทุกวันนี้ดูแลสายสิงกวาน ได้ยินมาว่าปีนั้นแค่นั่งอยู่บนหัวกำแพง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ แค่เป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกทั้งสองด่ากระทบมาโดนเท่านั้น ก็ยังเกือบจะถูกเฉิงเฉวียนด่าจนในหัวมีแต่น้ำ
กำแพงเมืองปราณกระบี่ปฏิบัติต่ออิ่นกวานหนุ่ม หากไม่ชอบก็รังเกียจไปเลย ไม่มีคนประเภทที่สามอีก
แน่นอนว่าในบรรดาคนสองประเภทนี้ก็ถูกแบ่งเป็นคนที่เคยถูกหลอกเอาเงินกับคนที่ไม่เคยถูกหลอกเอาเงิน
เคยมีผู้ฝึกตนของเฉวียนฝู่คนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าอยากได้เงินจนเสียสติหรือชื่นชมเลื่อมใสเถ้าแก่รองมานานแล้ว ในค่ำคืนหนึ่ง คนหนุ่มอยากจะแอบมาที่ร้านเหล้าเพื่อมาขโมยกลอนคู่ของเถ้าแก่รองไป แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะพกกลอนคู่ ‘ของปลอม’ ติดตัวมาด้วย ผลคือขโมยน้อยผู้นี้ถูกเจิ้งต้าเฟิงรัดคอเอาไว้ หลังจากนั้นก็ต้องมาดื่มเหล้าที่ร้านติดต่อกันนานหนึ่งเดือนถึงได้ใช้หนี้ก้อนหนึ่งหมดสิ้น
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองทางถนนใหญ่ ถอนหายใจ
นครบินทะยานในทุกวันนี้ พอจะแบ่งภูเขาออกได้เป็นสามลูก
แบ่งออกเป็นกองกำลังสามกลุ่มอย่างสิงกวาน อิ่นกวานและเฉวียนฝู่
หนิงเหยารับหน้าที่เป็นอิ่นกวานชั่วคราว ผู้ฝึกกระบี่สายคฤหาสน์หลบร้อนในทุกวันนี้มีจำนวนคนถึงยี่สิบคนแล้ว
แต่ในสายตาของเจิ้งต้าเฟิง นครบินทะยานกลับยังมีภัยแฝงอยู่มากมาย
พูดถึงแค่ฝ่ายในของสายอิ่นกวานเองก็ขาดมือรองอันดับสองที่สามารถสยบฝูงชนได้อย่างแท้จริง แม้ว่าหลัวเจินอี้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด อีกทั้งยังแน่ใจได้ว่านางจะต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้แน่ แต่เนื่องจากนิสัยใจคอของนาง ตอนที่หนิงเหยาไม่อยู่นครบินทะยาน ในคฤหาสน์หลบร้อนจึงเจอกับสถานการณ์ที่ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ยากที่ใครจะเป็นผู้ตัดสินใจได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ฉลาดมากพอ แต่เป็นเพราะทุกคนล้วนฉลาดมาก แต่กลับไม่มีใครสามารถเป็นคนที่ ‘ฉลาดที่สุด’ อย่างจริงแท้แน่นอน
นอกจากนี้สายอิ่นกวานใหม่ของคฤหาสน์หลบร้อนก็ยากที่จะกลับคืนมามีความสนิทสนมไร้ช่องว่างเหมือนก่อนหน้านี้ได้อีก บรรยากาศเงียบเหงากว่าเดิมเยอะมาก
ยกตัวอย่างเช่นภูเขาลูกเล็กที่ปีนั้นเอนเอียงเข้าหาอิ่นกวานใหม่ก่อนใครก็มีผู้ฝึกกระบี่หกคน นอกจากกวอจู๋จิ่วกับเซียนกระบี่ใหญ่หมี่แล้ว ยังมีอีกสี่คน
กู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย บวกกับเฉากุ่น เสวียนเซิน
คนในพื้นที่สองคน คนต่างถิ่นสองคน ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสี่คน มีฉายาว่าสี่ลูกสมุนใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน พร้อมใจกันยกย่องบูชาให้กวอจู๋จิ่วเป็นผู้นำพันธมิตร
คฤหาสน์หลบร้อนในทุกวันนี้จะมีภาพเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
เพราะถึงอย่างไรก็ทั้งไม่มีเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่มีเซียนกระบี่โฉวเหมียวแล้ว
หนิงเหยาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแล้ว คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าห้าสี แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย
แต่เมื่อหนิงเหยาต้องเผชิญหน้ากับเรื่องยิบย่อยขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ยากที่จะทำได้ครบถ้วนรัดกุมทุกด้าน อีกทั้งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่หนิงเหยาสมควรทำจริงๆ
นอกจากนี้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งเติ้งเหลียงก็ค่อยๆ รวบรวมกองกำลังจนกลายเป็นภูเขาอีกลูกหนึ่งอย่างที่มองไม่เห็นแล้ว
ไม่ใช่ว่าเติ้งเหลียงมีใจที่เห็นแก่ตัวหรืออยากจะช่วงชิงอำนาจผลประโยชน์กับใคร แต่เป็นเพราะแนวโน้มจากสถานการณ์ใหญ่บางอย่าง
บวกกับที่สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าเริ่มเด่นชัด มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นมาเยือนนครบินทะยานอย่างต่อเนื่อง แม้จะบอกว่ามีนครใต้อาณัติสี่แห่งสกัดขวาง เป็นด่านชั้นแล้วชั้นเล่า แต่การแทรกซึมเข้ามาในสารพัดรูปแบบก็ยากจะป้องกันได้ไหวจริงๆ
นอกจากนี้แล้วนครบินทะยานยังไม่ตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง
ผู้ที่สามารถตัดสินทิศทางการดำเนินไปของนครบินทะยานในอนาคตได้อย่างแท้จริง นอกจากเซียนกระบี่กลุ่มน้อยที่เห็นกันภายนอก หรือควรจะพูดว่าผู้ฝึกกระบี่ทุกคนแล้ว อันที่จริงกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่สะดุดตาพวกนั้นมากกว่า
เจิ้งต้าเฟิงกลับรู้เรื่องวงในที่ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปไม่รู้เหล่านี้
ก่อนหน้านี้ไม่นาน จู่ๆ หนิงเหยาก็พกกระบี่ออกไปจากใต้หล้าห้าสี จากนั้นหวนกลับจากใต้หล้าไพศาลมายังนครบินทะยาน
นางเรียกรวมทุกคนมาประชุมกันที่ศาลบรรพจารย์ หลังจากจุดธูปคารวะแล้ว หนิงเหยาก็แค่เอ่ยไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้คนสี่สิบกว่าคนที่มีที่นั่งอึ้งงันกันไปหมด
เฉินผิงอันพานาง และยังมีฉีถิงจี้ ลู่จือ สิงกวานหาวซู่ ร่วมมือกับลู่เฉินเจ้าลัทธิแห่งป๋ายอวี้จิง มุ่งหน้าไปยังใจกลางใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วยกันรอบหนึ่ง
ฟันนครเซียนจานขาดออกเป็นสองท่อน สังหารปีศาจใหญ่เสวียนผู่ขอบเขตบินทะยาน ใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่ สังหารหยวนซงลูกศิษย์ใหญ่ของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้าง ดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ถูกย้ายไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัว
ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาทั้งกลุ่มทำได้อย่างไร แล้วใครเป็นคนที่ทำวีรกรรมนั้นได้สำเร็จ หนิงเหยาไม่ได้เล่าให้ฟัง นางเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว หันไปคุยเรื่องอื่นแทน
ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานถามขึ้นในภายหลัง หนิงเหยาก็ไม่ได้แพร่งพรายความลับสวรรค์ให้รู้ พูดแค่ว่าวันหน้าพวกเจ้าไปถามคนบางคนเอาเอง รู้แค่ว่าการเดินทางไกลครั้งนี้ของนาง นางไม่ได้ออกแรงสักเท่าไร
ในการประชุมศาลบรรพจารย์มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับการเลือกหนังสือบันทึกเหตุการณ์ประจำปี
ปีรัชศกของใต้หล้าแห่งนี้มีชื่อว่า ‘เจียชุน’ นี่เป็นชื่อที่ศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อตั้งให้ เดิมทีใต้หล้าห้าสีก็เป็นอาณาเขตใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งที่อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อต้องทุ่มเทเสียสละอย่างมหาศาลถึงจะบุกเบิกขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครเห็นต่างกับเรื่องนี้
แต่เรื่องของการเรียบเรียงหนังสือบันทึกเหตุการณ์ ศาลบุ๋นไม่ได้ยื่นมือเข้าแทรก แต่มอบให้กองกำลังในท้องถิ่นของใต้หล้าห้าสีจัดการกันเอาเอง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากหนังสือบันทึกเหตุการณ์นี้นำไปใช้ทั่วใต้หล้าก็จะได้ยึดครอง ‘ฟ้าอำนวย’ ที่ล้ำค่าซึ่ง ‘เกิดขึ้นตามเจตนารมณ์สวรรค์’ อย่างที่มองไม่เห็น
สองใต้หล้าอย่างไพศาลและมืดสลัว การเปลี่ยนแปลงปรากฎการณ์ฟ้า นับแต่โบราณมาก็เกี่ยวข้องกับความรุ่งโรจน์และเสื่อมสลายของจักรพรรดิในโลกมนุษย์ นี่จึงเป็นเหตุให้ยามที่เรียบเรียงปฏิทินคือการกระทำยิ่งใหญ่ที่ถูกขนานนามให้เป็นการกำหนดวันแรกของปี กองโหราศาสตร์ของแต่ละแคว้นจึงมีการก่อตั้งฝ่ายคำนวณให้คอยคำนวณและอนุมานวิถีแห่งสวรรค์โดยเฉพาะ มีการตรวจสอบในทุกขั้นตอน ไม่อนุญาตให้เกิดความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย
หนังสือบันทึกเหตุการณ์เล่มแรกสุดที่นักพรตป๋ายอวี้จิงเสนอไว้ค่อนข้างแพร่หลายในใต้หล้าห้าสี
และตำหนักสุ้ยฉูก็ร่วมมือกับอารามเสวียนตูเรียบเรียงตำราบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งขึ้นมาประชันเช่นกัน
นอกจากนี้ ‘ราษฎรพลัดถิ่นแคว้นล่มสลาย’ ของฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปก็มีการเสนอตำราบันทึกเหตุการณ์หลายสิบฉบับที่ไม่เหมือนกันออกมา
การประชุมในศาลบรรพจารย์นครบินทะยานครั้งหนึ่ง หนิงเหยาเสนอให้ใช้ตำราเล่มที่ตำหนักสุ้ยฉูและอารามเสวียนตูร่วมมือกันเรียบเรียง
ไม่มีใครที่มีความเห็นต่าง เพียงแต่ว่านอกจากผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานแล้ว สมาชิกทุกคนในศาลบรรพจารย์ต่างก็มองไปทางหนิงเหยา ส่วนใหญ่มีสีหน้าซับซ้อน บ้างก็สงสัยใคร่รู้ บ้างก็คลางแคลงใจ
ราวกับกำลังถามเรื่องหนึ่งกับหนิงเหยา ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนั้นของพวกเราไม่มีกับเขาบ้างหรือ?
หนิงเหยาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พวกเจ้าคิดว่าเขารู้ทุกเรื่องทำเป็นทุกอย่างจริงๆ หรือไร?
ท่ามกลางแสงสายัณห์
ฟ่านต้าเช่อออกมาจากร้านเหล้า หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนๆ แล้วก็เดินไปบนถนนใหญ่ที่ไม่รู้ว่าคึกคักหรือเงียบเหงากว่าเมื่อก่อนเพียงลำพัง ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่อยู่เดียวดายเพียงลำพังทั้งไม่ได้กลับไปยังบ้านพัก แล้วก็ไม่ได้ไปเปิดอ่านเอกสารที่คฤหาสน์หลบร้อน เพียงแค่เดินเล่นอยู่อย่างนั้น เดินจนถึงกลางดึกก็กลับมาที่หน้าประตูร้านเหล้า ร้านปิดไปนานแล้ว เขาจึงนั่งอยู่บนโต๊ะเหล้าด้านนอกที่ไม่เคยเก็บเข้าร้านตามกฎเดิม
เหนี่ยนซินนั่งเหม่ออยู่ในเรือนหลังเล็กของตน การประชุมในศาลบรรพจารย์ก่อนหน้านี้มีมติข้อหนึ่ง ทุกวันนี้นางจึงดูแลคุกที่สร้างขึ้นใหม่อย่างลับๆ เหมือนกับเฒ่าหูหนวกสมัยก่อน
สตรีบางคนที่ถูกเรียกว่าเป็นแม่นางแก่นั่งอยู่บนราวรั้วของหอนอนสูง มองนครบินทะยานที่แสงตะเกียงบางตา
ในมือนางถือพัดกลมที่ทำอย่างประณีติด้ามหนึ่ง โบกพัดลมเบาๆ รู้สึกกลัดกลุ้มนิดๆ
ปีนั้น ‘แบ่งทรัพย์สิน’ ที่คฤหาสน์หลบร้อน ต่งปู้เต๋อได้พัดในมือเล่มนี้มา ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลริน บนหน้าพัดมีตัวอักษรงดงาม คลื่นน้ำดุจแสงทองพริบพราว จันทร์กลมโตกระจ่างดุจก้อนหยก ผู้เฒ่าโง่เขลาฝันว่าได้เยือนตำหนักดวงจันทร์ ตัดกิ่งกุ้ยที่ไหวเพยิบ เพราะทุกคนต่างพูดว่า แสงจันทร์ที่สาดส่องไปยังโลกมนุษย์จะมีมากกว่า คืนนี้ดวงจันทร์กลมโตเป็นที่สุด แสงตะเกียงส่องจากนับร้อยนับหมื่นเรือน
หากจะบอกว่าอิ่นกวานหนุ่มเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ถือว่าใช่และไม่ใช่ ไม่ใช่ก็เพราะผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานล้วนอาศัยการแลกเปลี่ยนคุณความชอบทางการสู้รบที่จริงแท้แน่นอน ใช่ก็เพราะถึงอย่างไรอิ่นกวานก็ได้เก็บของดีบางอย่างไว้ให้กับคนกันเอง