กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 913.4 ถามกระบี่เช่นนี้
เด็กหนุ่มที่อยู่ห้องข้างกันนอนหลับไม่สนิทนัก สะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบอยู่สองครั้ง ซ่านเถิงลุกขึ้นมานั่ง เหงื่อแตกเต็มศีรษะ สีหน้าซีดขาว กวาดตามองไปรอบด้าน รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ราวกับไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือไม่ เหตุใดพี่ใหญ่ตู้ถึงได้รู้จักบุคคลที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าอย่างเจ้าสำนักหลิวได้นะ แล้วทำไมเจ้าสำนักหลิวถึงยอมไปช่วยตนออกมาจากพรรคโม่หลงด้วยตัวเอง?
หลิวจิ่งหลงที่นั่งเข้าฌานอยู่บนเตียงในห้องเพียงแค่เหลือบตามองไปนอกหน้าต่าง
ดังนั้นฝนจึงหยุดตกอย่างรวดเร็ว บนฟ้าไม่มีเสียงฟ้าผ่าอีก
จากนั้นป๋ายโส่วลูกศิษย์ใหญ่ของเขาก็เข้ามาที่โรงเตี๊ยมแทบจะไล่เลี่ยติดๆ กับกลุ่มของหลิ่วจื้อชิง แน่นอนว่าต่างก็ใช้นามแฝงและเวทอำพรางตา
สำนักกระบี่ไท่ฮุย หลิวจิ่งหลงเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ป๋ายโส่วเจ้ายอดเขาเพียนหราน
หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอู หรงฉางแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง สุ่ยจิ่งเฉิง เฉินหลี่ เกาโย่วชิง
ตู้อวี๋ผู้ฝึกตนสำนักการทหารแห่งตำหนักขวานผี รวมไปถึงเด็กหนุ่มที่เป็นภูตซึ่งมีนามว่าซ่านเถิงผู้นั้น
หลิวจิ่งหลงยิ้มเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองกับตู้อวี๋ “สวัสดี ข้าชื่อหลิวจิ่งหลง เป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันเหมือนกับเซียนกระบี่หลิ่วและเซียนกระบี่หรง”
ตู้อวี๋กลืนน้ำลาย นอกจากเอ่ยขอบคุณแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก
ป๋ายโส่วเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นปลอดภัยดี ในใจก็อดรู้สึกนับถือในฝีมือของอาจารย์ไม่ได้ ดูสิดู แค่คนแซ่หลิวลงมือ ไม่ว่าปัญห่าอะไรก็ล้วนคลี่คลายได้หมดสิ้น แต่ปากป๋ายโส่วกลับเอ่ยเสียงเบาว่า “คนแซ่หลิว เจ้าทำเรื่องอะไรสนแต่หัวไม่สนบั้นท้ายเกินไปหน่อยหรือไม่ ต่อให้เจ้าเป็นฝ่ายชิงลงมือไปช่วยคนได้สำเร็จก่อน นี่ถือว่าทำได้ไม่เลวจริงๆ แต่เจ้ากลับยังมารั้งรออยู่ใต้เปลือกตาของคนพรรคโม่หลงแบบนี้น่ะหรือ? ในนิยายยุทธภพบอกไว้ว่า ‘สถานที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด’ เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ? หากจะถามข้านะ คนแซ่หลิว เจ้าทำอะไรยังไม่รอบคอบเท่าพี่น้องเฉินของข้าเลย”
หลิวจิ่งหลงแค่พูดคุยรำลึกความหลังกับหลิ่วจื้อชิงและหรงช่างเท่านั้น ไม่ได้สนใจลูกศิษย์ใหญ่ที่ปากไร้หูรูดผู้นี้ หากแน่จริงพอไปถึงภูเขาเซียนตูก็พูดแบบนี้ต่อสิ
เด็กหนุ่มที่สีหน้าอ่อนระโหย พอได้พบตู้อวี๋ก็พลันตาแดงก่ำ พูดเสียงสะอื้นไห้ “พี่ใหญ่ตู้”
การได้พบเจอกันในเวลานั้น ซ่านเถิงรู้สึกแค่ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยห้าวหาญ พูดจาตลกขบขันน่าสนใจ แค่เห็นก็ถูกชะตาทันที พี่ใหญ่ตู้ชอบเรียกตัวเองว่าตู้คนดี
หลังจากเจอหายนะครั้งนั้น เด็กหนุ่มถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายชื่อตู้อวี๋ เป็นผู้ฝึกตนทำเนียบของตำหนักขวานผี
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มนึกมาโดยตลอดว่าพี่ใหญ่ตู้เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระที่ชอบออกมาท่องในยุทธภพ ในกระเป๋ามีเงินแค่ไม่กี่แดง อยู่บนภูเขาไม่ได้ อีกทั้งยังชอบผดุงความเป็นธรรมไปทั่ว แม้แต่ผู้ฝึกตนอิสระก็ยังเป็นได้ไม่ดี
ตู้อวี๋ยื่นมือไปคว้าแขนของเด็กหนุ่ม ยิ้มพูดเสียงสั่น “ไม่ตายก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ไม่รู้ว่าเหตุใด ได้เจอกับเจ้าสำนักหลิวแล้วทำให้รู้สึกเหมือนปีนั้นตอนที่อยู่ข้างกายผู้อาวุโสเฉิน ต่อให้ต้องขึ้นภูเขามีดลงทะเลเพลิง ต่อให้อยู่ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็ดูเหมือนว่าจะยังสามารถ…เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเสรี
ตู้อวี๋ตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ อีกที เจ็บจนซ่านเถิงแสยะปาก ตู้อวี๋ซ่อนความรู้สึกผิดในดวงตาเอาไว้ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แขนขาเล็กบางก็อย่างนี้ ทนลมทนฝนไม่ค่อยไหว หากเป็นข้านะ เวลานี้ต้องยังกระโดดโลดเต้นได้แน่นอน”
ภายหลังหลิวจิ่งหลงก็อธิบายต้นสายปลายเหตุให้ทุกคนฟังคร่าวๆ พูดอย่างกระชับสั้นเรียบง่าย บอกแค่ว่าในคุกแห่งหนึ่งของพรรคโม่หลง เขาหาตัวเด็กหนุ่มซ่านเถิงผู้นี้เจออย่างราบรื่นจึงช่วยออกมา จากนั้นใช้ยันต์ลับที่คิดค้นขึ้นเอง ใช้วิธีหลีตายแทนท้อ ดังนั้นจนถึงตอนนี้พรรคโม่หลงก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ก็คงเกิดเรื่องครึกโครมไปนานแล้ว
สำหรับหลิวจิ่งหลงแล้ว คำว่าการป้องกันแน่นหนา ตราผนึกหนาชั้น แท้จริงแล้วก็แค่สิ่งกีดขวางที่เป็นเหมือนเครื่องประดับสามชั้นเท่านั้น บวกกับการเฝ้าพิทักษ์ของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง แน่นอนว่าต้องเหมือนเข้าไปในดินแดนไร้ผู้คน
ส่วนก่อกำเนิดเฒ่าคนนั้น แน่นอนว่าเป็นผู้พิทักษ์มรรคาให้กับฟ่านเชี่ยว มีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงเค่อชิงอันดับรองของสำนักฉงหลิน การค้าขายน้อยนิดแค่นี้ของพรรคหลงโม่ยังไม่ถึงขั้นทำใหเทพเซียนก่อกำเนิดผู้เฒ่าคนหนึ่งมาเสียเวลาเปล่าอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านั้นทั้งสองฝ่ายเดินสวนไหล่ผ่านกันไป ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้วยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขาที่พิถีพิถันในเรื่องความสะอาดมากด้วย ตอนที่ดื่มเหล้าเคล้านารียังบ่นให้ผู้ฝึกตนหญิงพรรคโม่หลงสองคนฟังไม่หยุด และยันต์แทนตัวที่หลิวจิ่งหลงทิ้งเอาไว้นั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ยันต์หุ่นเชิดทั่วไป เพราะถึงอย่างไรก่อกำเนิดผู้เฒ่าก็ไม่ใช่คนโง่ ทุกวันต้องคอยตรวจตราคุก ป่านนี้ก็ต้องมองเห็นพิรุธนานแล้ว
หลิวจิ่งหลงยิ้มกล่าว “หลังจากพาซ่านเถิงออกมา ข้าก็ได้ไปพบฟ่านเชี่ยวสองครั้ง ค่อนข้างประหลาดใจ เขาเป็นโอสถทองคนหนึ่งที่จงใจปิดบังรากฐานผู้ฝึกกระบี่เอาไว้ แต่เพิ่งจะสร้างโอสถได้ไม่นาน คาดว่าเดิมทีที่ออกมาจากสำนักครั้งนี้ก็เพื่อมาผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น”
ฟ่านเชี่ยวคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ฉงหลิน เป็นลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของบรรพจารย์ผู้คุมกฎ
ทุกวันนี้อายุยังไม่ถึงหกสิบปี คือเซียนดินโอสถทองที่อายุน้อยมากคนหนึ่ง เล่าลือกันว่าเชี่ยวชาญค่ายกลยันต์ หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุได้แล้ว
เป็นเหตุให้เขายังเป็นผู้ฝึกตนสายยันต์คนหนึ่งที่อนาคตบนมหามรรคายาวไกลจนมิอาจประมาณการณ์ได้
หรงช่างเอ่ยสัพยอก “ถึงกับเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งด้วย? นี่ไม่ใช่นิสัยของสำนักฉงหลินเลยนะ ดูท่าสำนักฉงหลินจะฝากความหวังไว้ให้กับคนผู้นี้มาก ถึงได้เก็บงำอำพรางเช่นนี้ คิดจะป้องกันไม่ให้ถูกคนถามกระบี่หรือ?”
หลิ่วจื้อชิงถอนหายใจ ก็เหมือนตอนที่อยู่ตำหนักจินอูแล้วได้บอกเรื่องหนึ่งกับตู้อวี๋อย่างตรงไปตรงมา ชีวิตของเด็กหนุ่มเป็นอย่างไร ก่อนที่จะได้พบเขา ไม่ว่าใครก็บอกได้ยาก
เพราะถึงอย่างไรตู้อวี๋ก็ไปหาตนเป็นคนแรก หลิ่วจื้อชิงจึงเอ่ยขอบคุณหลิวจิ่งหลงอย่างออกจะขัดเขินสักเล็กน้อย จากนั้นก็ควักชายแขนเสื้อ ทำอะไรน่ะหรือ แน่นอนว่าต้องหาเหล้าดื่มอย่างไรล่ะ
หลิวจิ่งหลงรีบกดมือของหลิ่วจื้อชิงเอาไว้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่อให้ข้าไม่ลงมือ พวกเจ้าก็ไปทัน เพราะว่า…”
หลิวจิ่งหลงหยุดพูด หันหน้าไปถามเด็กหนุ่ม “พูดได้ไหม?”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “เชิญอาจารย์หลิวพูดได้เลย ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่บอกใครไม่ได้สักหน่อย”
ซ่านเถิงรู้สึกว่าเรียกเจ้าสำนักหลิวว่าอาจารย์หลิวดีกว่า ความรู้ของอาจารย์หลิวยิ่งใหญ่มาก สองวันมานี้ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเขาก็แทบจะไม่มีเรื่องไหนที่อาจารย์หลิวไม่รู้
หลิวจิ่งหลงถึงได้เอ่ยต่ออีกว่า “ซ่านเถิงมาจากลำธารซ่านซี ในประวัติศาสตร์ที่แห่งนั้นมีเถาวัลย์ซ่านเถิงอยู่มากมาย เหมาะจะนำมาทำกระดาษมากที่สุด เคยเป็นกระดาษที่ทางการของแคว้นรอบด้านนำมาทำเป็นเอกสารสำคัญ มีความทนทานดีเยี่ยม ร้อยปีก็ไม่ผุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดาษสีทองที่เซียนซือบนภูเขาเอามาใช้เขียนจดหมายตอบโต้กัน แต่เมื่อสองร้อยปีก่อนอยู่ดีๆ ระดับน้ำของลำธารซ่านซีก็ลดลง ท้องน้ำแทบจะตื้นเขิน เถาวัลย์โบราณบนสองฝากฝั่งจึงเริ่มค่อยๆ แห้งเหี่ยวตายไป เนื่องจากวัตถุดิบแห้งหายไป เป็นเหตุให้กระดาษซ่านจื่อหายสาบสูญไปนานหลายปี เซียนดินในท้องถิ่นเพราะขอบเขตมีจำกัดจึงตรวจสอบหาสาเหตุไม่พบ จึงสูญเสียที่มาของเงินทองก้อนนี้ไป อันที่จริงเถาวัลย์ซ่านเถิงนี้ได้รับโชควาสนาแห่งฟ้าดิน ได้รับโชคชะตาในพื้นที่ปกป้องอย่างที่มองไม่เห็น ดังนั้นระหว่างที่หลอมเรือนกายจึงได้รับกลิ่นอายสดชื่นจากภูเขาสายน้ำ คล้ายคลึงกับการปิดด่านของผู้ฝึกตน เป็นการปิดผนึกภูเขาตามธรรมชาติ จึงชักนำให้คนอื่นๆ ละโมบอยากครอบครอง”
“รอกระทั่งซ่านเถิงหลอมเรือนกายสำเร็จ แน่นอนว่าขุนเขาสายน้ำจึงกลับคืนมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง เป็นเหตุให้เถาวัลย์โบราณดกหนามากกว่าในอดีต นี่ก็คือการหล่อเลี้ยงกลับคืนของมหามรรคาอย่างหนึ่ง อีกทั้งซ่านเถิงยังมีนิสัยบริสุทธิ์ใสซื่อ ไม่ยินดีจะจากมาทันที เป็นความหวังดีก็จริง แต่ผลกลับถูกผู้ฝึกตนพรรคโม่หลงหมายตา เนื่องจากพวกเขาค้นพบว่าการตัดเถาวัลย์มาทำเป็นกระดาษ หากเพิ่มสมุนไพรเซียนอีกสองสามชนิดเข้าไป คุณภาพของกระดาษจะดีเยี่ยม ไม่แน่ว่าอาจเอาไปขายให้กับจวนเซียนทั่วทั้งแคว้นได้ ดังนั้นซ่านเถิงจึงถูกพรรคโม่หลงมองเป็นต้นไม้เขย่าเงิน เอาไปขอความดีความชอบจากฟ่านเชี่ยว และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมซ่านเถิงถึงเจอหายนะครั้งนี้ แล้วทำไมฟ่านเชี่ยวถึงต้องชิงเอาตัวเขาไปให้ได้ ยอมเสียเวลาวางแผนมากมาย ขณะเดียวกันก็แอบเว้นชีวิตซ่านเถิงด้วย ก็เพื่อรอให้ซ่านเถิงยอมก้มหัวอ่อนข้อให้ เนื่องจากตอนอยู่ในคุกซ่านเถิงให้ฟ่านเชี่ยวสาบานว่าจะต้องปล่อยตู้อวี๋และตำหนักขวานผีไป เขาถึงจะยินดีกลับไปที่ลำธารซ่านซี ฟ่านเชี่ยวรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าอายเกินไป ถึงขั้นไม่ยินดีจะแกล้งสาบานหลอกซ่านเถิงด้วยซ้ำ รู้สึกว่าขอแค่จับตัวตู้อวี๋ได้ก็จะเหนื่อยครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอด ซ่านเถิงก็จำต้องร่วมมือกับเขาแต่โดยดี ทางฝั่งของตำหนักขวานผี ข้าได้ส่งผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งของสำนักกระบี่ไท่ฮุยพวกเราไปรออยู่ก่อนแล้ว รอแค่ให้ผู้ฝึกตนสำนักฉงหลินไปเอาเรื่องเท่านั้น”
หลิวจิ่งหลงพูดยาวเหยียด บอกกล่าวอย่างละเอียด
แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าเจ้าสำนักหลิวพูดพร่ำเพื่อ
เฉินหลี่จดจำผู้ฝึกตนทำเนียบของสำนักฉงหลินที่ชื่อฟ่านเชี่ยวไว้เงียบๆ หึหึ ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุครึ่งร้อยปี ช่างเป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการหลอมโอสถก็ยังช้ากว่าตนไปประมาณสามสิบปีนะ
คนดีทำเรื่องดีมักไม่มีเหตุผล คนฉลาดทำเรื่องชั่วร้ายกลับมีเป้าหมายชัดเจน เส้นสายแจ่มชัด
เฉินหลี่มองไปทางเด็กหนุ่ม ยิ้มพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ซ่านเถิง ตามอักขรานุกรมท้องถิ่นของพวกเจ้าที่บันทึกไว้ ข้ารู้มาว่าในกลุ่มกระดาษซ่านจื่อยังมีกระดาษฉุยปิงที่หายสาบสูญไปนานแล้วอยู่ด้วย เทียบกับกระดาษสีทองแล้วมีคุณภาพดียิ่งกว่า วันหน้าข้าจะขอสั่งจองกระดาษเตาเซวียนจากเจ้าสักร้อยแผ่นได้หรือไม่”
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเขินอาย “กี่แผ่นก็ได้!”
เกาโย่วชิงถามเสียงเบา “เฉินหลี่ เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”
เฉินหลี่เหล่ตามองมา “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เกาโย่วชิงหัวเราะ เป็นตนที่ถามโง่ๆ จะโทษว่าเฉินหลี่ไม่มีความอดทนไม่ได้
นอกจากเรื่องของการฝึกตนแล้ว หลายปีมานี้เฉินหลี่ที่อยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิงไม่เพียงแต่เปิดอ่านเอกสารของสำนักต่างๆ อย่างถ้วนทั่ว ยังขอให้พวกศิษย์พี่ชายหญิงช่วยรวบรวมรายงานขุนเขาสายน้ำในประวัติศาสตร์ เอกสารปประวัติศาสต์ทางการของราชวงศ์ รวมไปถึงอักขรานุกรมท้องถิ่นต่างๆ ของอุตรกุรุทวีปมาให้
นอกจากฝึกกระบี่ ก็คืออ่านหนังสือ
เฉินหลี่เองก็ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อ แม้ชีวิตของการฝึกตนจะเหมือนคนแก่คนหนึ่ง
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ยี่สิบกว่าคนที่ฝึกตนอยู่ในใต้หล้าไพศาล
ต่อให้เป็นเซี่ยซงฮวาที่คิดว่า ‘ลูกศิษย์สองคนของข้าดีที่สุดในใต้หล้า’ ก็ยังต้องยอมรับในเรื่องหนึ่ง หากจะพูดถึงคุณสมบัติ พรสวรรค์ นิสัยใจคอ โชควาสนา เมื่อรวมกันแล้ว ต่อให้อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาวที่อายุน้อยที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตามหลังพวกฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ เฉินหลี่ก็ยังคู่ควรกับสองคำว่า ‘ผู้นำ’
ดังนั้นตอนนั้นเฉินหลี่ไม่ได้อยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้ติดตามนครบินทะยานไปยังใต้หล้าใหม่เอี่ยม สำหรับนครบินทะยานในทุกวันนี้แล้วจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่ง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมักจะถูกพวกคนเฒ่าคนแก่พูดถึง ในคำพูดเหล่านั้นเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มเสียดาย ไม่อย่างนั้นในศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยาน เฉินหลี่จะต้องมีที่นั่งอยู่แน่นอน
เพียงแต่ว่าเฉินหลี่ติดตามลี่ไฉ่ไปอยู่อุตรกุรุทวีปก็ไม่เลวเหมือนกัน
กระบี่ประจำตัวฮุ่ยหมิง เคยเป็นของตกทอดของเซียนกระบี่เจ้าของเรือนส่วนตัวคนหนึ่ง และเจ้าของคนก่อนก็คือเซียนกระบี่ที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระของอุตรกุรุทวีปพอดี
ส่วนกระบี่บินของเฉินหลี่ที่มีชื่อว่า ‘อู้เม่ย’ นั้น วิชาอภินิหารลี้ลับมหัศจรรย์ คฤหาสน์หลบร้อนประเมินให้อยู่ในระดับ ‘สองบน’ ว่ากันว่านี่ยังเป็นเพราะใต้เท้าอิ่นกวานจงใจกดขอบเขตเอาไว้ด้วย
น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่อาจไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนได้ หากอยู่ข้างกายอิ่นกวานหนุ่ม ได้รับการกล่อมเกลาอยู่ทุกวัน หาไม่แล้วฉายา ‘อิ่นกวานน้อย’ ของเฉินหลี่ก็น่าจะสมจริงยิ่งกว่านี้
หรงช่างถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราเดินทางไปสำนักฉงหลินเลยไหม?”
เฉินหลี่เอ่ย “ศิษย์พี่หรง พวกเราพักต่ออีกสักวันสองวันค่อยไปก็ไม่สาย ไม่อย่างนั้นพวกเราคนเยอะจะสะดุดตาเกินไป ถึงอย่างไรศาลบรรพจารย์ของสำนักฉงหลินก็ไม่มีขาวิ่งหนีไปไหนได้อยู่แล้ว”
ตู้อวี๋ใกล้จะชาชินเต็มทีแล้ว
เห็นจนชินจนไม่รู้สึกแปลกอะไรอีกแล้ว
ผู้อาวุโสคนดีรู้จักสหายบนภูเขามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร
เนื่องจากขยับเข้าใกล้ท่าเรือถึงได้รู้ว่าศิษย์พี่หรงที่สีหน้าเป็นมิตรผู้นี้ถึงกับเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเซียนกระบี่ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
ในบรรดาสหายที่เซียนกระบี่เฉินรู้จัก คงจะเป็นข้าที่ไม่ได้ความที่สุดเลยกระมัง ไม่ใช่คงจะ แต่ต้องใช่แน่นอน
พอคิดแบบนี้ตู้อวี๋ก็ไม่เพียงแต่ไม่อับอาย หึ กลับกันยังรู้สึกภาคภูมิใจมากอีกด้วย
สำนักกระบี่ฉงหลินที่ชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็น ขอบเขตหยกดิบใต้หล้าไร้ศัตรูเทียมทาน
สำนักฉงหลินแห่งอุตรกุรุทวีปมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า ยิ่งถูกขนานนามให้เป็นสำนักอักษรจงที่ ‘ถูกถามกระบี่บ่อยที่สุด’
การถามกระบี่น้อยใหญ่ในประวัติศาสตร์ รวมๆ กันแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง
แต่การถามกระบี่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นแค่แสงกระบี่ที่ผุดพุ่งอยู่ไกลๆ แล้วกระแทกไกลๆ ลงมาบนค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำของสำนักฉงหลิน
มีเพียงเก้าครั้งที่โดนศาลบรรพจารย์ สามครั้งในนั้น ครั้งที่ทำให้ศาลบรรพจารย์แตกพังได้จริงก็คือครั้งที่จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรครวญเป็นคนปล่อยกระบี่
สำนักฉงหลินยังคงตั้งตระหง่านไม่เคยล้มลง
มิน่าเล่าโหลวเหมี่ยวที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักฉงหลินถึงมั่นใจพอจะป่าวประกาศแก่ผู้ฝึกกระบี่ทั้งทวีปว่า ข้าต้องการใช้หนึ่งสำนักสู้รบกับทั้งทวีป! สำหรับข้าแล้วเซียนกระบี่ก็แค่ก้อนเมฆที่ล่องลอย!
ส่วนแท้จริงแล้วจะใช่โหลวเหมี่ยวพูดเองกับปากหรือไม่ หรือว่ามีคนพูดแทน ช่วยบอกความในใจของเจ้าสำนักโหลวออกมา สำคัญด้วยหรือ? ไม่สำคัญเลย
ถึงอย่างไรก็เล่าลือกันจนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ฮว่อหลงเจินเหรินที่คุณธรรมและบารมีสูงส่ง ในอดีตเมื่อเดินอยู่บนภูเขาป่ายเฉวียนก็ยังลูบหนวดผงกหัว พูดชมจากใจจริงว่า ‘แข็งแกร่งยิ่ง’
สำนักฉงหลินมีเงิน
มีเงินคือมีเงินจริงๆ
พูดถึงแค่ภูเขาตี่ลี้ที่มักจะมีผู้ฝึกตนลงนามสัญญาเป็นตายกัน บริเวณใกล้เคียงก็มีภูเขาป่ายเฉวียนที่เป็นศาลาใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน เหมาะจะให้ผู้ฝึกตนชมการต่อสู้ที่สุด มีขนาดใหญ่เหมือนขุนเขาของแคว้นเล็ก สำนักฉงหลินไม่เพียงแต่ซื้อภูเขาทั้งลูกเอาไว้ ยังบุกเบิกจวนและถ้ำสถิตตระกูลเซียนไว้กว่าพันแห่ง แค่ให้เช่าเท่านั้นไม่ขาย คล้ายคลึงกับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสำนักกุยหยกที่มีเงินทองไหลมาเทมา เป็นน้ำเส้นเล็กไหลยาว เงินเทพเซียนก้อนแล้วก้อนเล่าต่างก็หล่นลงมาในกระเป๋าของสำนักฉงหลิน เงินเทพเซียนก้อนเดียวไม่สะดุดตา แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันกลับมากน่าดูชม อีกทั้งยิ่งเช่านาน ราคากลับยิ่งแพงลิบลิ่ว
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนและสำนักที่มีชื่อเสียงติดอันดับของอุตรกุรุทวีปล้วนมีเรือนส่วนตัวอยู่ที่ภูเขาป่ายเฉวียนหนึ่งถึงสองแห่ง
ผู้ฝึกตนอิสระจำนวนไม่น้อยก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ไม่ถามชื่อแซ่ ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวประวัติความเป็นมาแก่สำนักฉงหลิน แค่บอกนามแฝงอย่างเดียว กับเงินเทพเซียนหนึ่งถุงที่มีน้ำหนักมากพอ ก็จะได้รับแผ่นหยกสองแผ่น เอาไว้ใช้สำหรับขึ้นเขาและเปิดประตู
ผู้ฝึกตนสำนักฉงหลินที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ดูแค่ป้ายหยกไม่ดูที่ตัวคน
บวกกับที่บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของที่นั่นดำเนินการมานานเป็นพันปีแล้ว เป็นเหตุให้ภูเขาป่ายเฉวียนมีปราณวิญญาณฟ้าดินเปี่ยมล้น ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาแข็งแรงแน่นหนา มากพอจะทัดเทียมกับห้ามหาบรรพตของแคว้นใหญ่ในหนึ่งทวีปได้