กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 914.4 กลอนคู่ประตูมังกร
เฉินผิงอันหยิบวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนให้หวังซินสุ่ย เอ่ยว่า “ด้านในล้วนเป็นตำราประวัติศาสตร์ทางการ และอักขรานุกรมท้องถิ่นประเภทต่างๆ เกี่ยวกับขุนเขาสายน้ำเก่าของใบถงทวีป ข้าไม่ทันได้จัดระเบียบทั้งหมด ได้แต่เขียนตำราสองเล่มให้เป็นเหมือนสารบัญเอาไว้ชั่วคราว รวมไปถึงสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งที่บันทึกเรื่องที่ต้องระวังโดยเฉพาะ คฤหาสน์หลบร้อนเก็บเอาไว้ทั้งหมด แต่สามารถให้สายสิงกวานคัดลอกไปฉบับหนึ่งได้ หากรังเกียจว่ายุ่งยากก็ได้แต่ต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายๆ รอบเท่านั้น วันหน้าสามารถมายืมหนังสืออ่านจากพวกเราได้ จะได้สะดวกให้นครใหญ่ใต้อาณัติสี่แห่งตรวจสอบสถานะสำมะโนครัวและทำเนียบภูเขาของผู้ฝึกตนต่างถิ่นได้ ใช่แล้ว จำไว้ว่าต้องคืนวัตถุจื่อชื่อให้ข้าด้วย”
หวังซินสุ่ยรับวัตถุจื่อชื่อที่ถูกคลายตราผนึกต้องห้ามออกเรียบร้อยแล้วชิ้นนั้นมา เหลือบมองภาพบรรยากาศด้านในเล็กน้อยก็เห็นเป็นภูเขาหนังสือขนาดเล็กอย่างสมชื่อ อดพูดอย่างตกตะลึงไม่ได้ว่า “ตำราเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?!”
ต่อให้ใช้เวทคาถาบางอย่างบนภูเขา เรื่องของการคัดลอกตำราหรือทำสำเนาก็ต้องเป็นงานใหญ่งานหนึ่งอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “พี่น้องฉีของข้าคนนั้น เวลานี้ต้องยุ่งอยู่กับการใช้ใจคนถ่อยวัดใจวิญญูชนแน่นอน ข้าล่ะอายแทนเขาจริงๆ”
รอกระทั่งเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ผู้ฝึกกระบี่สามคนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน เดินข้ามธรณีประตูไปพร้อมกับใต้เท้าอิ่นกวาน เดินออกไปจากห้องโถงใหญ่
เฉินผิงอันไปหยุดเท้าอยู่ตรงขั้นบนสุดของบันได สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้าขึ้น หรี่ตามองแสงอาทิตย์ เอ่ยเสียงเบาว่า “การใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง หากไม่ระวังถูกพวกเราตามหา ‘หนึ่งในหมื่น’ นั้นพบ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องระวังแล้วระวังอีก”
“ยกตัวอย่างเช่นป๋ายอวี้จิงเล่นตุกติกบางอย่างแล้วถูกพวกเราหาหลักฐานที่แท้จริงได้พบ ถ้าอย่างนั้นในอนาคตร้อยปีพันปีหมื่นปีก็ห้ามอนุญาตให้ผู้ฝึกตนบนทำเนียบของป๋ายอวี้จิงเข้ามาในใต้หล้าห้าสีอีกแม้แต่คนเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นการเปิดประตูครั้งหน้า ข้าก็จะนำคนไปขวางหน้าประตูเอง”
รอให้ประตูเปิดออกคราวหน้า เชื่อว่าอย่างน้อยตนก็น่าจะกลับคืนสู่ศักยภาพสูงสุด หวนกลับไปยังขอบเขตหยกดิบอีกครั้ง ขอบเขตผู้ฝึกยุทธก็เป็นชั้นคืนความจริงของปลายทางแล้ว การจับคู่เข่นฆ่า เล่นงานเซียนเหรินของป๋ายอวี้จิงสักคนก็ไม่เป็นปัญหาเลย
เดินลงจากขั้นบันได เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับฟ่านต้าเช่อ หวังซินสุ่ย เดินเล่นไปตามหน่วยงานต่างๆ มากมายที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนด้วยกันรอบหนึ่ง
เฉินผิงอันแค่เข้าไปในห้องเก็บเอกสาร ส่วนสถานที่อื่นๆ แค่ไปยืนมองอยู่หน้าประตูเพียงไม่นาน
ผู้ดูแลที่แห่งนี้คือเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าไหวฉงจือ เพิ่งจะอายุสิบสี่ปีก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งแล้ว
หากว่าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตก็ไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์สักเท่าไร แต่อย่าลืมล่ะว่าเด็กหนุ่มติดตามนครบินทะยานมาอยู่ในใต้หล้าห้าสีตั้งแต่ตอนเป็นเด็กน้อย ความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตเช่นนี้สำหรับเฉินผิงอันแล้วเรียกได้ว่าเร็วมากจริงๆ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากรู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้เลือกห้องเก็บเอกสาร ตามหลักแล้วหากไปอยู่ฝ่ายตรวจตรา ฝ่ายขจัดภัยที่ธรณีประตูสูงที่สุดก็ไม่ได้มีความยากใดๆ หลังจากได้ยินคำถามของใต้เท้าอิ่นกวาน ไหวฉงจือก็ยิ้มอย่างเขินอาย บอกแค่ว่าตัวเองชอบอ่านหนังสือ
เฉินผิงอันไม่ได้ซักไซ้ต่อ เขาหยิบบันทึกลับอักษรเลข ‘เจ็ด’ เล่ม ‘รอง’ ที่บันทึกเรื่องของกองกำลังป๋ายอวี้จิงมาจากชั้นหนังสืออักษร ‘ตะวันออก’ แถวอักษร ‘หยก’
ลองพลิกเปิดอ่านดู ทางทิศตะวันออกสุดของใต้หล้า ไอม่วงลอยกรุ่นพุ่งสูง ระหว่างฟ้าดินเปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองเข้มข้น ล้วนมาจากกองกำลังลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัว แน่นอนว่ามีป๋ายอวี้จิงเป็นผู้นำ ตามหลังมาติดๆ ด้วยภูเขาทั้งหลายที่มีอารามเสวียนตูและตำหนักสุ้ยฉูเป็นหนึ่งในนั้น ต่อจากนั้นก็คือลัทธิเต๋าอักษรจงทั่วไป สุดท้ายถึงเป็นพรรคเล็กหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนอิสระ มีขั้นบันไดแยกชัดเจน
ตามกรณีเก่าของคฤหาสน์หลบร้อนในอดีต นครบินทะยานได้เรียบเรียงเอกสารคดีสองส่วนหลักกับรองขึ้นมาโดยเฉพาะ แยกกันบันทึกถึงพรรคและผู้ฝึกตนเซียนดิน ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งหมดของใต้หล้า
เมื่อสมุดทั้งสองเล่มหนาขึ้นเรื่อยๆ เนื้อหาในเอกสารก็มากขึ้นตามไปด้วย นี่หมายความว่ายิ่งนานวันใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งก็ยิ่งมีเส้นเอ็นและกระดูกที่แข็งแรง มีเลือดเนื้อที่เต็มแน่นมากขึ้น
เพียงแต่ว่าเอกสารลับสุดยอดสองเล่มนี้ไม่มีทางเอามาเก็บไว้ที่คฤหาสน์หลบร้อนแห่งนี้ ต้องเอาไปวางไว้ในศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานเท่านั้น
เฉินผิงอันพลิกเปิดไปหนึ่งหน้า ใช้นิ้วดันไว้บนกระดาษบันทึกแผ่นหนึ่งที่เสียบไว้กลางหน้าหนังสือ ไม่เหมือนกับกระดาษขาวอักษรดำก่อนหน้านี้ กระดาษแผ่นนี้เขียนด้วยตัวอักษรสีชาด เห็นได้ชัดว่าเป็นการอธิบายที่ค่อนข้างสำคัญ หันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย ยิ้มถาม “ฉงจือ นี่คือความคิดเห็นของตัวเจ้าเองหรือ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ความคิดเห็นทำนองเดียวกันนี้ หากไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนมากเป็นพิเศษก็สามารถค่อยๆ รวบรวมเอามาได้ รอให้รวมได้ครบสามสิบห้าสิบข้อก็ค่อยเอาไปให้หลัวเจินอี้หรือไม่ก็ฟ่านต้าเช่อดู หากเป็นไปได้ล่ะก็ ให้มันกลายมาเป็นข้อกำหนดบางอย่างของห้องเก็บเอกสารแห่งนี้ไปเลย วันหน้าเมื่อมีคนเพิ่มขึ้นก็จะได้ไม่ยุ่งวุ่นวาย มีขั้นตอนที่แค่ต้องทำไปตามกฎเกณฑ์อยู่ สหายร่วมงานที่เข้ามาอยู่ในห้องเก็บเอกสารในภายหลังก็แค่ทำตามไปก็พอ เจ้าที่เป็นผู้นำก็จะได้ประหยัดแรงไปไม่น้อย”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง จดจำไว้เงียบๆ
“ฉงจือ ต้องรู้ว่าเจ้าคือขุนนางหลักรุ่นแรกของห้องเก็บเอกสารคฤหาสน์หลบร้อนของพวกเรา นอกจากงานข้างมือที่มีให้ทำทุกวันซึ่งไม่อาจทำอย่างขอไปทีได้แล้ว ควรจะเปิดทางให้คนรุ่นหลังอย่างไร เวลาปกติก็ต้องคิดไว้ให้มาก”
เด็กหนุ่มยังคงพยักหน้ารับเป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
“ฉงจือ รู้หรือไม่ว่าผู้นำของที่ว่าการแห่งหนึ่ง นอกจากจะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง ทำงานในหน้าที่อย่างรอบคอบให้ดีแล้ว ยังต้องระวังเรื่องใดอีก?”
ครั้งนี้ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ไม่ได้พยักหน้า แต่สีหน้ากลับเหรอหลา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็คือไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องอื่น ต้องแบ่งแยกขอบเขตกับหน่วยต่างๆ ให้ชัดเจน ทำให้ได้ถึงระดับที่น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ไม่เข้าไปข้องแวะกับเรื่องอื่นๆ ‘นอกห้อง’ อย่างส่งเดช”
“แต่หลักการเหตุผลข้อนี้มีธรณีประตูอยู่ ต้องเป็นคฤหาสน์หลบร้อนในอีกหลายปีข้างหน้าที่ถึงจะเอามาใช้ได้ ดังนั้นตอนนี้เจ้าสามารถหาเวลาว่างอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดหลายๆ เล่ม การเปลี่ยนแปลงในที่ว่าการของราชวงศ์โลกมนุษย์บางแห่งในประวัติศาสตร์ ทำความเข้าใจกับปรากฎการณ์เจ้าหน้าที่ล้นงานและการปกครองขุนนางชั้นผู้น้อย เหตุใดยิ่งราชสำนักยกเลิก สุดท้ายโครงสร้างกลับยิ่งซับซ้อน สุดท้ายเป็นเหตุให้มากเกินจะทนรับ ยิ่งที่ว่าการมีมาก ประสิทธิผลในการทำงานก็ยิ่งน้อยลง มองดูเหมือนไม่ว่าใครก็ยุ่งวุ่นวายอยู่ทุกวัน รอกระทั่งอยากจะปฏิบัติตามมาตรการบางอย่างอย่างแท้จริง กลับมีแต่จะยิ่งเชื่องช้า”
ห้องเอกสารแห่งนี้ สำหรับเฉินผิงอันแล้วถือว่ามีความหมายที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรเอกสารลับและตำราทั้งหลายที่ปีนั้นย้ายจากคฤหาสน์หลบหนาวมายังคฤหาสน์หลบร้อนก็ล้วนเป็นเฉินผิงอันที่แยกประเภทด้วยตัวเองทุกเล่ม ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมมากเป็นพิเศษ
ไหวฉงจือพยักหน้า “จำได้แล้วขอรับ!”
หลังจากเฉินผิงอันจากไป
หวังซินสุ่ยก็จงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลง แล้วจู่ๆ ก็ตบเข้าที่หัวของไหวฉงจือ กดเสียงต่ำด่ากลั้วหัวเราะว่า “เจ้าเด็กโง่ กว่าจะเจอใต้เท้าอิ่นกวานได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่รู้จักคว้าโอกาสพูดคุยกับเขาให้มากๆ หน่อยเล่า?”
หวังซินสุ่ยบิดหูเด็กหนุ่ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราเข้ามาที่ห้องเอกสารของเจ้าห้องเดียว? หา?! วันหน้าอย่าบอกใครว่าสนิทกับข้าล่ะ”
ใต้เท้าอิ่นกวานบอกแล้วว่าเรื่องตีคนต้องฉวยโอกาสทำแต่เนิ่นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ที่ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกหนึ่งร้อยหรือสี่ห้าร้อยปีก็อาจกลายเป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งแล้ว
ไหวฉงจือเอียงศีรษะ เขย่งปลายเท้า หัวเราะหึหึพลางแอบแบมือให้หวังซินสุ่ยดู
ที่แท้ฝ่ามือของเด็กหนุ่มก็มีแต่เหงื่อเต็มไปหมด
ต่อให้เปิดปากพูดก็ต้องอึกๆ อักๆ แน่นอน แล้วจะให้ข้าพูดอะไรเล่า
หวังซินสุ่ยยิ้มถาม “คิดอะไรอยู่น่ะ?”
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “เขาเป็นอิ่นกวานดีกว่าหน่อย”
ส่วนหนิงเหยาที่รับหน้าที่เป็นอิ่นกวานชั่วคราว ให้นางไปเป็นใต้เท้าเจ้านครที่ทุกคนฝากความหวังไว้ให้จะดีกว่า
หวังซินสุ่ยรู้ว่าท่าไม่ดี รีบใช้มืออุดปากเด็กหนุ่มทันที
แล้วก็จริงดังคาด ตรงหน้าประตู คนชุดเขียวปรากฏตัวใหม่อีกครั้ง ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ
ไหวฉงจืออึ้งค้างไปทันที
โชคดีที่ใต้เท้าอิ่นกวานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่คิด กล้าคิดกล้าพูดกล้าทำกล้ารับคือเรื่องดี กลับเป็นหวังซินสุ่ยที่บริหารปกครองได้ดีจนทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง”
หวังซินสุ่ยเอ่ยอย่างหนักแน่น “ใต้เท้าอิ่นกวาน บอกตามตรง อันที่จริงข้าเองก็เป็นเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ที่เหมือนต้นหอมเขียวต้นหนึ่งเหมือนกัน!”
หลัวเจินอี้กับฉางไท่ชิงเลือกเดินไปที่ระเบียงอีกแห่งหนึ่ง เตรียมจะกลับห้องทำงานไปจัดการธุระของใครของมัน
“ก่อนหน้านี้ที่พูดถึงเรื่องของเติ้งเหลียง แรกเริ่มเจ้ายังกังวลว่าใต้เท้าอิ่นกวานจะข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน ใช้ประโยชน์แล้วก็ทอดทิ้งเติ้งเหลียงใช่หรือไม่?”
ฉางไท่ชิงใช้เสียงในใจสอบถาม “รอกระทั่งค้นพบว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าต้องการให้พวกเราช่วยปูถนนซ่อมสะพานให้กับเติ้งเหลียงและสำนักเบื้องล่างของเขา ถึงได้โล่งอก?”
หลัวเจินอี้ไม่พูดไม่จา
ฉางไท่ชิงยิ้มเอ่ย “ต่อให้เป็นเช่นนี้จริงก็ไม่เห็นจะต้องรู้สึกผิดหวังต่อการกระทำของใต้เท้าอิ่นกวาน เพราะถึงอย่างไรเขาก็ทำเพื่อนครบินทะยานของพวกเรามาโดยตลอด อยู่ในตำแหน่งไหนก็ทำหน้าที่ตามตำแหน่งนั้น ทำงานอยู่ในที่ว่าการ ในวงการขุนนางไม่มีทางมีแต่ลมเย็นกับแสงจันทร์ใสกระจ่าง”
หลัวเจินอี้พยักหน้า ยังคงไม่เอ่ยอะไร
กว่าฉางไท่ชิงจะกลืนคำพูดที่วิ่งมารออยู่ตรงปากกลับลงท้องไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
สำหรับใต้เท้าอิ่นกวานแล้วไม่จำเป็นต้องต่อว่าอะไรเขา แต่หากเจ้าผิดหวังต่อเฉินผิงอันก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก
ฉางไท่ชิงรู้สึกดีใจมากที่ตัวเองข่มกลั้นได้ไหว ไม่อย่างนั้นคาดว่าตนคงจะถูกหลัวเจินอี้อาฆาตแค้นอย่างมากเลยกระมัง
บนระเบียงอีกเส้นหนึ่ง เฉินผิงอันเดินไปตามที่ว่าการพวกนั้นแล้วก็ไปนั่งที่ห้องของหวังซินสุ่ยครู่หนึ่ง ก่อนจะจากมาพร้อมกับฟ่านต้าเช่อ
ฟ่านต้าเช่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยตามตรงว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน หากว่าท่านมาช้ากว่านี้อีกแค่ไม่กี่ปี ข้าอาจต้องเป็นฝ่ายออกไปจากคฤหาสน์หลบร้อนแล้ว เพราะมักรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ช่วยได้เลย คิดดูแล้วสิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือยกตำแหน่งให้คนอื่น หากใช้คำพูดของท่านก็คือนั่งยองเอาแต่ดื่มเหล้ากินข้าวนอนหลับ มีเพียงอย่างเดียวคือไม่ยอมถ่าย”
“ข้าไม่เคยพูดแบบนี้กระมัง?”
“เคยสิ ข้าจำได้ชัดเจนเลย ดื่มเหล้าที่ร้านครั้งนั้น เฉินซานชิวกับต่งฮว่าฝูล้วนอยู่ด้วย”
“ต้าเช่ออ่า พูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ก็โทษไม่ได้หรอกนะที่คนอื่นบอกว่าเจ้าอาศัยเดินเข้าประตูหลังถึงเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนได้”
ฟ่านต้าเช่อหัวเราะ
“ต้าเช่อ เชื่อข้าเถอะ คฤหาสน์หลบร้อนต้องการคนฉลาด แต่ก็ต้องการคนที่เงียบงันเช่นเดียวกัน เวลานานเข้าย่อมเห็นใจคน เจ้าต้องเชื่อว่าพวกเขาจะมองเห็น ยิ่งต้องเชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้มีเพียงวีรกรรมที่ทำให้คนอื่นต้องหันมามองเสียใหม่เท่านั้น ยังต้องยืนหยัดที่จะทุ่มเทในจุดที่เล็กละเอียดไม่ย่อท้อ”
ต่อให้ถึงท้ายที่สุดแล้วยังไม่มีใครรับรู้ รู้ไปแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจ ทว่าอย่างน้อยตัวพวกเราเองก็รู้ว่าเคยทำอะไรเพื่อโลกใบนี้ไปบ้าง
เพียงแต่ว่าประโยคนี้เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยออกมา
……
นครทัวเยว่หนึ่งในสี่นครใต้อาณัติก็เหมือนกับนครอู่ขุย เป็นนครในนามของสายสิงกวานเช่นเดียวกัน
เจ้านครคนปัจจุบันคือผู่อวี้ รองเจ้านครเริ่นอี้ คนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง เคยเป็นผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แน่นอนว่าต่างก็เคยเป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์นครบินทะยาน
คนสองคนนี้ ปีนั้นต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เฝ้าด่านขัดขวางเฉินผิงอัน แต่ตอนนั้นเริ่นอี้ที่เป็นคนเฝ้าด่านแรกยังมีตบะเป็นขอบเขตประตูมังกร หลังจากนครบินทะยานหล่นลงพื้นเริ่นอี้ก็ฝ่าทะลุขอบเขตสร้างโอสถทองได้สำเร็จ ย้อนกลับมามองผู่อวี้ผู้เป็นเจ้านคร เนื่องจากเคยได้รับบาดเจ็บไม่เบา กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘ม่านฝน’ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เป็นเหตุให้เป็นไปได้ยากมากที่ชีวิตนี้ผู่อวี้จะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตโอสถทองได้ และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ผู่อวี้รับหน้าที่เป็นผู้นำของนครทัวเยว่ ไม่หวังให้เริ่นอี้สหายรักที่ผลสำเร็จบนมหามรรคาสูงกว่าต้องเสียสมาธิกับกิจธุระในโลกมนุษย์มากเกินไป
ในอดีตตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ บนสนามรบนอกเมืองที่การเข่นฆ่าดุเดือดรุนแรง พวกเขาต่างก็เคยถูก ‘ผู้ฝึกกระบี่เฒ่า’ แปลกหน้าคนหนึ่งให้การช่วยเหลือ
บนสนามรบเคยมี ‘ผู้ฝึกกระบี่เฒ่า’ คนหนึ่งที่จู่ๆ ก็โผล่มาบนโลก ระหว่างที่เดินทางผ่านสนามรบแห่งนั้นได้ส่งกระบี่อย่างเจ้าเล่ห์ ลงมืออำมหิต ช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มที่มีผู่อวี้ เริ่นอี้เป็นหนึ่งในนั้นไว้ได้พอดี
ต่อสู้ภายใต้ ‘อันตรายที่รายล้อม’ บอกว่าตัวเอง ‘โชคดีที่เอาชนะเล็กๆ มาได้’
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้บอกกล่าวชื่อแซ่ แต่ตอนนั้นผู่อวี้เดาว่าอีกฝ่ายต้องเป็นอิ่นกวานหนุ่มที่ชอบเก็บตกของดีที่สุดเป็นแน่
‘ใต้โซ่วเฉิน เหนืออิ่นกวาน’ ผู้ฝึกกระบี่สองคนที่เป็นศัตรูกันสามารถได้รับคำเรียกขานเช่นนี้ได้ย่อมไม่ได้มีชื่อเสียงจอมปลอมอย่างไร้ประโยชน์แน่นอน
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เจ้าเล่ห์ ใจแคบและอันตราย