กลลวง นายสุดเท่ห์ ชาร์ลี เวธ - บทที่ 1220
กลลวง นายสุดเท่ห์ ชาร์ลี เวธ บทที่ 1220
ชาร์ลีพยักหน้าแล้วพูดว่า “โอเคครับ แต่บันไดค่อนข้างชัน เวลาเดินลงไปก็ระวังด้วยนะครับ”
จัสมินยื่นมือที่แสนนุ่มนวลของเธอออกไปให้ชาร์ลีจับอย่างอาย ๆ แล้วพูดด้วยเสียงนุ่ม ๆ ว่า “ปรมาจารย์เวด คุณช่วยจับมือฉันหน่อยได้ไหมคะ? ฉันกลัวจะหกล้ม…”
พูดตามตรง เธอไม่ได้กลัวล้มอะไรหรอก แต่ต้องการจะใช้โอกาสนี้เข้าไปอยู่ใกล้ ๆ ชาร์ลีให้มากขึ้นต่างหาก
ชาร์ลีเหลือบตามองไปที่บันไดหิน ซึ่งมีความสูงชันและทอดตัวยาวไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำ จัสมินเป็นเด็กสาวที่สวมชุดรัดรูป จึงเคลื่อนไหวได้ไม่ถนัดนัก และคงจะดูแย่มากถ้าเกิดเธอลื่นล้มลงไป เขาจึงจับมืออันบอบบางของเธอ แล้วพาเธอเดินลงบันไดหินไปอย่างระมัดระวัง
ในขณะนี่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ บางเวลาก็มีเรือสองสามลำที่เปิดไฟแล่นผ่านไปตามแม่น้ำเป็นครั้งคราว เครื่องยนต์ดีเซลส่งเสียงดังจนหนวกหู แต่ก็ไม่ได้สร้างมลภาวะทางเสียงให้กับบริเวณริมฝั่งแม่น้ำที่ว่างเปล่าเลย
ชาร์ลีปล่อยมือจัสมินเมื่อเดินมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ เขายิ้มอย่างอบอุ่นในขณะที่มีสายลมเย็น ๆ พัดมาปะทะใบหน้าของเขาเบา ๆ แล้วพูดว่า “โอ้โห ที่ตรงนี้ดีมากจริง ๆ ครับ”
จัสมินยิ้มอย่างเขินอาย เธอใช้มือลูบเส้นผมสีดำยาวสลวยนั้นขึ้นไปทัดไว้หลังใบหู แล้วพูดว่า “ฉันชอบมาที่นี่ตอนที่ฉันยังเด็ก คุณพ่อของฉันงานยุ่ง ก็เลยมีแต่ตุณแม่เท่านั้นที่พาฉันมาที่นี่ทุกวัน”
จากนั้นเธอก็ถอนหายใจอย่างหงอยเหงาเศร้าสร้อย แล้วพูดต่อว่า “ตอนนั้น คุณแม่จะขับรถพาฉันมาที่นี่ จอดรถไว้ตรงที่เดิม แล้วพาฉันเดินลงบันไดหินมาที่นี่ ในขณะที่จับมือฉันอย่างระมัดระวัง เหมือนกับที่คุณทำก่อนหน้านี้เลย”
ชาร์ลีพยักหน้าเบา ๆ
เขานึกถึงพ่อแม่อยู่บ่อย ๆ ตอนที่เขาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ตอนนั้นเขาไม่ได้แข็งแรงเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขาคิดถึงพ่อแม่ เขาก็จะซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หรือในมุมเงียบ ๆ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วร้องไห้
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาก็ค่อย ๆ คุ้นชินกับความรู้สึกนี้ และควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
ชีวิตที่ยากลำบากในตอนนั้นได้สอนบทเรียนอันมีค่าให้แก่เขามากมาย ยกตัวอย่างเช่น ‘ขอให้ผู้วายชนม์ไปสู่สุคติ ในขณะที่ผู้ยังมีชีวิตก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป’ และ ‘อดีตที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป’
ในเวลานี้ จัสมินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็พลันถอนหายใจ “เช้าวันนี้ฉันไปเคารพหลุมฝังศพของคุณพ่อคุณแม่ ไม่น่าเชื่อว่าพวกท่านได้จากไปนานกว่าสิบปีแล้ว ความทรงจำในวัยเด็กของฉันยังแจ่มชัดอยู่ในหัวของฉันอยู่เลยค่ะ ฉันมักเกิดภาพลวงตาว่า ฉันกลับไปเป็นเด็กอายุแปดเก้าขวบอีกครั้ง”
ชาร์ลีหัวเราหึ ๆ กับตัวเอง แล้วถอนหายใจเบา ๆ “อย่างน้อยที่สุดคุณก็ยังมีหลุมฝังศพของพ่อแม่ให้ไปเยี่ยม แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พ่อแม่ของผมถูกฝังอยู่ที่ไหน”
“อะไรนะคะ?!” จัสมินอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “เป็นไปได้ยังไง? เป็นเพราะคุณหาไม่เจอ? หรือมีอะไรเกิดขึ้นในตอนนั้นกันคะ?”
ชาร์ลียิ้มอย่างขมขื่นแล้วตอบว่า “ผมมีอายุแค่แปดขวบตอนที่พ่อแม่เสียชีวิต ตอนนั้นผมยังดูแลตัวเองไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าควรจะไปนอนที่ไหน หรือจะได้กินอาหารมื้อถัดไปเมื่อไหร่ ผมไม่สามารถจัดการเรื่องงานศพของพ่อแม่ได้เลย แต่พอผมตั้งหลักแหล่งได้แล้ว และพยายามจะค้นหาพ่อแม่ ก็ค้นหาไม่เจออีกเลย”
ชาร์ลีหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อว่า “เป็นไปได้ว่าคุณปู่หรือคนในครอบครัวของผมได้นำศพพ่อแม่ของผมไป แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่”
จัสมินอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ปรมาจารย์เวด คุณยังมีญาติพี่น้องอยู่หรือเปล่า?”
ชาร์ลีพยักหน้า “มีครับ แต่ผมยังไม่พร้อมจะเจอพวกเขา”
จัสมินพยักหน้าเบา ๆ ขนตาสวย ๆ ของเธอขยับขึ้นลงในขณะที่เธอพูดว่า “ปรมาจารย์เวดคะ เราไปเดินเล่นริมแม่น้ำกันเถอะค่ะ”
“ไปสิครับ” ชาร์ลีตอบตกลงแบบสบาย ๆ แล้วเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำโดยมีจัสมินอยู่ข้าง ๆ
จัสมินหัวเราคิกคักแล้วพูดว่า “ว่าแต่ว่า… คุณยังจำตอนที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหมคะ ปรมาจารย์เวด”
ชาร์ลีหัวเราะ “จำได้แน่นอนครับ! เราพบกันที่ร้านขายของเก่า เดอลุคซ์ ตอนนั้นพ่อตาที่ซุ่มซ่ามของผมทำแจกันโบราณของคุณแตกไปหนึ่งใบโดยไม่ตั้งใจ”
จัสมินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนั้นฉันตกใจมากกับวิธีการซ่อมแซมของคุณ ได้แต่นึกสงสัยว่า ทำไมชายหนุ่มอย่างคุณถึงรู้เทคนิคในการบูรณะข้าวของให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมที่สูญหายไปนานแล้ว มันดีจริง ๆ เลยค่ะ! ตอนนั้นฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่า นี่จะเป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋วเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณช่วยฉันไว้อย่างมากมายก่ายกองในภายหลัง”