กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - ตอนที่ 91
บทที่ 91 สองพี่น้อง
ในอีกด้านหนึ่งหลังจากที่เทียนจุ้นออกจากบาร์แห่งนั้นไป เขาได้กลับไปที่บ้าน อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ได้รับการรักษา
“พี่ชายนั่นพี่ใช่ไหม?”
เมื่อเทียนจุ้นเปิดประตูเขาก็ได้ยินเสียงของหญิงสาว ซึ่งก็คือน้องสาวของเขานั่นเอง เทียนหลิน
“ใช่พี่เอง” เมื่อได้ยินเสียงของน้องสาว เทียนจุ้นที่มีสีหน้าเรียบเฉยตลอดเวลา ก็มีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
พวกเขาอาศัยอยู่ในสลัมและเช่าเขาอยู่ด้วยราคาที่แสนถูกแต่สำหรับสถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้นั้นมันไม่ใช่ภาระที่เล็กน้อยเลย
ที่นั่นมีเพียงห้องเดียวแต่ถูกแบ่งออกโดยใช้ผ้าม่านกั้นตรงกลาง นอกเหนือไปจากกาและถ้วยนำ้ชาภายในห้องนั้นแล้ว ก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นอีกเลย มันช่างเรียบง่ายและไม่สะดวกสบาย
ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับห้องของฮวงเฟิง
เทียนจุ้นเปิดผ้าม่านออกและภายในนั้นมีเตียงขนาดเล็ก
และบนเตียงนั้นก็คือน้องสาวของเขาเทียนหลิน หญิงสาวแสนสวย
วันนี้เทียนหลินมีอายุครบยี่สิบปีและหญิงสาวทั่วไปรุ่นราวคราวเดียวกับเธอคงจะกำลังมีความสุขกับชีวิตวัยรุ่นอยู่ในมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตามเทียนจุ้นทำได้เพียงอยู่ในกระท่อมเล็กๆตลอดทั้งวัน และออกไปที่ไหนสักแห่ง
เขาจึงพาเธอออกไปสูดอากาสบริสุทธิ์ข้างนอกหลังจากที่พี่ชายกลับมา
เพราะว่าเธอนั้นเดินไม่ได้และตาก็มองไม่เห็น
ดวงตาของเทียนหลินนั้นช่างงดงามนักมันกลมโต สดใสและมันช่างน่าดึงดูดยิ่งนัก
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามันจะใหญ่โตเพียงใดก็ตามแต่มันก็ไร้ประโยชน์เพราะมันใช้การอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย
เทียนหลินไม่ได้ตาบอดตั้งแต่กำเนิด
แต่ตอนที่เธออายุประมาณห้าขวบเธอเกิดป่วยเป็นโรคประหลาด
ทำให้ขาของเธอเดินไม่ได้และจากนั้นก็ทำให้มองไม่เห็น
เธอและเทียนจุ้นนั้นเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็กและเทียนจุ้นเองก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อพาเธอไปรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาโรคร้ายของเทียนหลินได้เลย
ในตอนแรกที่เธอเริ่มป่วยด้วยโรคร้ายเธอกลัวมาและหวังว่าเธอจะสามารถรักษาให้หายได้
เธอหวังว่าเธอจะสามารถมองเห็นโลกใบนี้และเดินได้อีกครั้งแต่หลังจากนั้น เมื่อเธอตระเวนไปรักษาโรงพยาบาลแล้วโรงพยาบาลเล่า เธอก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงที่ว่าครอบครัวของเธอนั้นไม่มีเงินเหลือแล้ว
ดังนั้นเธอจึงห้ามไม่ให้พี่ชายพาเธอไปรักษาตัวอีก
ดังนั้นเงินทั้งหมดที่ได้มาจากพี่เปียวได้ถูกใช้ไปกับการรักษาน้องสาวของเขา จนนำพวกเขาสองคนพี่น้องต้องมาทนอยู่ในฐานะเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าพี่เปียวจะดูซื่อสัตย์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขานั้นเป็นคนใจแคบ
เพราะว่าเทียนจุ้นได้ทำอะไรให้เขาตั้งมากมายแต่กลับไม่เคยให้รางวัลอะไรแก่เขาเลย
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความจริงที่ว่าเทียนจุ้นไม่สามารถที่จะทนดูพี่เปียวได้อีกต่อไป และด้วยการคัดค้านของน้องสาวของเขา เทียนจุ้นจึงตัดสินใจที่จะไม่ติดตามพี่เปียวอีกต่อไป
“เป็นไงบ้าง?อยู่บ้านคนเดียวคงจะน่าเบื่อมากเลยล่ะสิ” เทียนจุ้นนั่งลงที่อีกด้านของเตียง มองดูผมเผ้าที่ไม่ได้รับการดูแลของน้องสาว และเขาก็ถามออกมาอย่างอ่อนโยน
“ฉันไม่เบื่อหรอกฉันมีวิทยุ มีช่องที่น่าสนใจให้ฟังตั้งเยอะ” เทียนหลินชูวิทยุเครื่องเก่าที่เทียนนจุ้นซื้อมาให้อย่างมีความสุข
เหตุผลที่ซื้อมาให้ก็เพราะว่าเขากลัวว่าเธอจะเบื่อที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว
“เฮ้พี่ชาย ทำไมฉันได้กลิ่นเลือดจากตัวพี่ล่ะ?” นี่พี่บาดเจ็บหรือเปล่า? นี่พี่ไปสู้มาอีกแล้วใช่ไหม? ฉันบอกพี่แล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องพาฉันไปรักษาอีกแล้ว และพวกเราก็ค่อยๆ หาเงินมาประทังชีวิตกัน? พี่จะไปทำเรื่องผิดกฎหมายไม่ได้นะ? แล้วฉันจะทำยังไงถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพี่?”
ทันใดนั้นเทียนหลินก็ได้กลิ่นคาวเลือดจากตัวของเทียนจุ้น
ตั้งแต่ที่เธอเริ่มมองไม่เห็นประสาทสัมผัสทางการรับกลิ่นของเทียนหลินก็ดีขึ้นมา
ดังนั้นเธอจึงได้กลิ่นคาวเลือดจากตัวของเทียนจุ้นอย่างง่ายดาย
ตั้งแต่ที่พี่ชายของเธอกลายไปเป็นพวกอันธพาลเทียนหลินก็คอยต่อต้านมาโดยตลอด
ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถหาเงินมาได้ด้วยวิธีนี้
แต่เธอก็ไม่ต้องการให้พี่ชายของเธอตกอยู่ในอันตราย
ยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย
เธอต้องการให้พี่ชายของเธอเป็นคนดีและเป็นคนดีอย่างนี้ตลอดไป
“ไม่ต้องห่วงหรอกฉันไม่เป็นอะไร ฉันสบายดี” เทียนจุ้นปลอบน้องสาวของเขา
“นี่ฉันไม่เคยบอกเธอมาก่อนเลยหรือ?ฉันสัญญากับคนๆ นั้นว่าจะทำสามสิ่งเพื่อเขา และวันนี้ฉันก็ได้ช่วยเขาจนครบสามครั้งแล้ว
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพี่ใหญ่จะไม่เป็นอันธพาลอีกต่อไปแล้ว
พรุ่งนี้พี่ใหญ่จะไปหางานทำนะหางานทำ”
“จริงๆนะ?” เทียนหลินเงยหน้าขึ้นมองและพูดกับพี่ชายของเธอ
เธอทราบดีเกี่ยวกับข้องตกลงระหว่างเทียนจุ้นและพี่เปียวซึ่งเทียนจุ้นเคยบอกเธอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“จริงสิพี่ชายเคยโกหกเธอเมื่อไรกันล่ะ?” เทียนจุ้นที่ปกติดูเยือกเย็นและเงียบขรึมต่อหน้าคนอื่น ตอนนี้กลายเป็นคนอบอุ่นเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาวของเขา
ภายในใจของเขานั้นเขาห่วงใยแค่เพียงน้องสาวคนเดียวของเขาเท่านั้น
“ดีเลยพี่ชาย ไม่ต้องกังวลนะ พวกเราจะค่อยๆ เก็บเงิน มันดีมากเลยตราบใดที่คนๆ นั้นไม่เป็นอะไร” เทียนหลินกล่าว
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันเองถ้าฉันเป็นปกติดี ฉันก็คงจะช่วยพี่ชายหาเงินได้และพี่ชายจะได้มีพี่สะใภ้เสียที”
“นี่เธอพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน?จำไว้นะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก นี่เธอฟังพี่อยู่หรือเปล่า ช่างไร้ประโยชน์อะไรอย่างนี้นะ? ตราบใดที่พี่ยังมองเห็นเธออยู่ พี่ก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงผลักดัน เธอมีประโยชน์มากเลยนะ” เทียนจุ้นกล่าว
“ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายยังไม่อยากจะแต่งงานตอนนี้ ลองคิดดูสิ ถ้าพี่แต่งงาน เราก็จะถูกควบคุมโดยคนอื่น แล้วเราจะเป็นอิสระแบบตอนนี้ได้ยังไง”
“พี่จะแต่งงานได้ยังไงกัน?ถ้าพี่ไม่สามารถดูแลเธอได้ด้วยสถานะของพี่ในตอนนี้ ถ้าพี่พาพี่สะใภ้กลับมา ก็จะมีใครสักคนมาดูแลเธอ ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่ก็คงจะเบาใจได้” เทียนจุ้นกล่าว
“เอาล่ะอย่าเสียเวลาพูดเรื่องนี้กันอีกเลย เพื่อเป็นการฉลองที่ฉันได้ออกจากชีวิตเดิมๆ วันนี้พี่ซื้อเป็ดย่างมาครึ่งตัวด้วยนะ” เทียนจุ้นกล่าว
“ว้าวมิน่าละฉันถึงได้กลิ่นอะไรหอมๆ” เทียนหลินกล่าวขณะที่ทำหน้าเป็น ซึ่งอาหารจานโปรดของเธอก็คือเป็ดย่างนั่นเอง
หลังจากนั้นสองคนพี่น้องก็เอร็ดอร่อยกับอาหารอยู่ภายในห้องเช่าธรรมดานั้น
ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะต้องเจ็บปวดกับความยากจนและความเจ็บป่วย
แต่หัวใจของพวกเขายังคงบริสุทธิ์และพวกเขาไม่เคยปริปากบ่นเลย
อีกด้านหนึ่งขณะที่สองคนพี่น้องกำลังกินอย่างมีความสุข ฮวงเฟิงกำลังรู้สึกรันทดอย่างสุดขีดขณะที่เขากำลังคิดเกี่ยวกับกล่องจักรวาลอยู่ทุกขณะ ในจุดที่เขานั้นไม่สามารถที่จะนั่งสมาธิต่อไปได้
“เฮ้อฉันยังเปิดมันไม่ออกเลย” หลังจากที่พยายามเปิดกล่องจักรวาลอีกครั้ง ฮวงเฟิงก็ต้องผิดหวังที่เขาพบว่ายังไม่มีทางที่จะเปิดมันออกได้ ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ความพยายามอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่ามันจะส่งผลต่อความสามารถของกล่องจักรวาลหรือไม่ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม
”ช่างมันเถอะฉันโชคดีและได้ทุ่มชีวิตไปแล้ว ฉันเองก็ได้รับของมาจากกล่องจักรวาลแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถใช้กล่องจักรวาลได้อีกต่อไป ฉันก็ควรจะพอใจได้แล้ว”
หลังจากนั้นไม่นานฮวงเฟิงก็คิดได้ในที่สุดและหัวใจของเขาก็รู้แจ้ง
ก่อนที่เขาจะได้รับกล่องจักรวาลฮวงเฟิงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี
ถึงแม้ว่างานของเขาจะไม่มั่นคงและเงินเดือนก็ไม่สูงนัก
แต่เขาก็ไม่เคยสูญเสียความหวังใดๆสำหรับอนาคตและเชื่อมั่นมาตลอดว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาได้รับกล่องจักรวาลมา
เขาก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับผลกำไรและการสูญเสียของเขา
เขากลัวว่ากล่องจักรวาลจะหายไปหรือใช้งานไม่ได้และวันนี้ความกลัวที่เคยมีก่อนหน้านี้ของเขาก็กลายเป็นความจริง
เขากังวลเกี่ยวกับผลกำไรและขาดทุนของเขามาระยะหนึ่งแล้วและตอนนี้เขาก็คิดได้แล้ว