กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 239-240
บทที่ 239 ลดราคาเพิ่ม
“ไม่ครับ!”ฮวงเฟิงส่ายหัวอย่างเด็ดขาด “บอสหลี่จะเป็นคนจัดการเอง เราต้องการแค่โรงงานนี้ ไม่ได้ต้องการคนงานครับ”
”อ๋า!” บอสหลี่ตกใจมาก ถ้าหวงเฟิงไม่ต้องการคนงานพวกนั้น เขาก็ต้องรับผิดชอบในการไล่พวกเขาออกน่ะสิ ขืนเป็นนั้น เขาก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้คนงานพวกนั้นน่ะสิ นี่มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลยนะ!
ด้วยคามสัตย์จริงแม้ว่าบอสหลี่จะไม่ได้ทำงานต่อ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกคนงาน เพราะพวกเขาสามารถทำงานต่อได้
หากพวกเขาถูกไล่ออกกะทันหันมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะมีปัญหา ดังนั้นบอสหลี่จึงไม่ยินดีรับมือกับเผือกร้อน*เท่าไหร่นัก
”ประธานฮวงฉันคิดว่าพวกเราสามารถเจรจาเรื่องราคาได้!” ในที่สุดบอสหลี่ก็ยอมจำนน คนงานพวกนั้นคือปัญหา และอุปกรณ์ก็สร้างปัญหาให้กับเขาเช่นกัน และเขาก็เป็นคนที่ไม่ชอบปัญหาเอามากๆเสียด้วย
ฮวงเฟิงกับกัวเหลียงหันมามองหน้ากันด้วยความดีใจผ่านสายตา
เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลงฮวงเฟิงจึงบอกบอสหลี่ว่า ก่อนหน้านี้ กัวเหลียงกลัวว่าฮวงเฟิงจะหลอกเขา แต่สุดท้ายแล้ว บอสหลี่ก็ยินดีรับผิดชอบเรื่องอุปกรณ์และช่วยไล่พนักงานออก
ในตอนที่ฮวงเฟิงก็ยังยืนกรานที่จะทำมันต่อไปเขาเห็นว่าประธานต้องการออกจากที่นี่โดยเร็ว เขาเลยกล้าทำแบบนั้น มันเหมือนกับการเสี่ยงโชค ถ้าพวกเขาชนะการเดิมพัน พวกเขาก็จะประหยัดเงิน และถ้าแพ้ ทั้งอุปกรณ์ทั้งคนงานก็จะหายไปทั้งหมด
แต่อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขาเป็นฝ่ายแพ้การเดิมพัน ฮวงเฟิงกับเขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเสียหายเท่าไหร่ เพราะพวกเขายอมรับราคาของบอสหลี่ตั้งแต่แรก นี่คือเหตุผลว่าทำไม กัวเหลียงถึงได้เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย
ท้ายที่สุดฮวงเฟิงนั้นคิดถูกแล้ว
ในเรื่องราคาหากเทียบกับของเมื่อวานแล้ว มันถูกกว่าเดิมถึงหนึ่งแสนหรือมากกว่า ตามข้อตกลงระหว่างทั้งสอง อุปกรณ์ทุกอย่างและพนักงานทุกคนของโรงงานจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของฮวงเฟิงและเขา
หลังจากทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาแล้วทั้งสองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงวันนี้ บอสหลี่จะปรับราคาลงเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเขาได้กำจัดปัญหาออกไปได้สำเร็จ
แต่สำหรับฮวงเฟิงและคนที่เหลือนั้นพวกเขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมากเพราะไม่เพียงพวกเขาจะสามารถซื้อโรงงานมาในราคาที่ค่อนข้างต่ำเท่านั้น พวกเขายังได้ประหยัดเงินในการซื้ออุปกรณ์และไม่ต้องวิ่งหาพนักงานใหม่อีก
”ประธานทั้งสองผมยังมีอีกเรื่องครับ!”
หลังจากเซ็นสัญญาแล้วบอสหลี่ก็พาฮวงเฟิงและกัวเหลียงไปพบปะคนงานและพูดคุยกับพวกเขา
”เมื่อกี้ฉันเพิ่งขายโรงงานนี้ให้กับประธานทั้งสองคนนี้ ที่ฉันจะบอกก็คือ หลังจากนี้ ฉันจะไม่ได้เป็นเจ้าของที่นี่อีกแล้ว โรงงานแห่งนี้จะตกเป็นของประธานทั้งสองคนนี้ นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พวกเขาคือบอสคนใหม่ของพวกคุณ” บอสหลี่กล่าวเสียงดัง น้ำเสียงของเขาฟังไม่ออกว่ากำลังมีความสุขหรือเป็นทุกข์
”บอส…แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีครับ?”
“ใช่พวกเราจะทำยังไงดีละครับ?”
พนักงานด้านล่างก็เริ่มส่งเสียงพูดคุยกันพวกเขาไม่ได้สนใจเลยว่าใครเป็นเจ้านายของโรงงานแห่งนี้ พวกเขาคิดแค่ว่ามันจะส่งผลกระทบต่องานกับเงินเดือนของพวกเขาหรือไม่ หรือไม่ก็ พวกเขาจะถูกไล่ออกหรือเปล่า?
สาเหตุที่ทุกคนรู้สึกตระหนกเป็นเพราะพวกเขามีโอกาสที่จะถูกไล่ออกเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเจ้านายคนใหม่ต้องการทำอะไรกับโรงงานนี้
อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่เจ้านายคนใหม่ไม่ต้องการปิดโรงงานเพราะถ้าเป็นเขาทำแบบนั้น เขาก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอให้ทำงานที่นี่ต่อ
และตอนนี้งานของนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายคนก็หายากไม่ต้องพูดถึงคนงานธรรมดาอย่างพวกเขาแล้วต้องหายากกว่าแน่นอน พวกเขาทุกคนเลยรู้สึกกังวล
”ทุกคนเงียบก่อนครับ ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัวไปนะครับ โรงงานจะดำเนินต่อไป ผมจะไม่ไล่พวกคุณออกแม้แต่คนเดียวครับ!” ในตอนนี้ ฮวงเฟิงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว แม้ว่าบอสหลี่ต้องการบ่นที่ฮวงเฟิงขัดจังหวะเขา แต่สุดท้าย โรงงานนี้ก็เป็นของฮวงเฟิงแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้
”แต่มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นครับ!”ฮวงเฟิงมองไปที่คนงานที่เริ่มเงียบเสียบแล้วพูดต่อ “ถ้าผมพบว่ามีคนขี้เกียจหรือทำให้กำไรของโรงงานลดลง ผมก็จะไล่เขาออกครับ”
ถึงฮวงเฟิงจะกล่าวเตือนไว้แต่คนด้านล่างต่ทางรู้สึกโล่งใจ แสดงว่าเจ้านายคนใหม่จะไม่ไล่พวกเขาออก ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำความเสียหายต่อผลประโยชน์ของโรงงานหรือทำตัวขี้เกียจ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร
“และแน่นอนว่าถ้าผลกำไรจากโรงงานดีผมก็จะขึ้นเงินเดือนให้ทุกคนด้วยครับ หลังจากนี้ ในอนาคต โรงงานของเราจะต้องเติบโอย่างแน่นอนครับ และพวกคุณก็จะได้เป็นพนักงานอาวุโสภายใต้การควบคุมของผม ตราบใดที่คุณทำงานอย่างหนัก ผมก็จะไม่ปฏิบัติกับคุณอย่างไม่เป็นธรรมครับ” การตบหัวแล้วลูบหลัง ก็เหมือนกับการที่ฮวงเฟิงจึงพูดชักจูงให้พวกเขามีความกระตือรือร้นและแรงจูงใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น
เป็นไปตามคาดหลังจากได้ยินคำพูดของฮวงเฟิง ทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าฮวงเฟิงจะทำในสิ่งที่เขาพูดจริงๆหรือไม่ แต่พวกเขาก็ยังมีหวังนี่…ใช่ไหม? พวกเขาส่วนใหญ่เป็นแค่คนธรรมดาและซื่อสัตย์ ต่อให้ฮวงเฟิงไม่พูดถึงเรื่องการขึ้นเงินเดือน พวกเขาก็จะทำงานอย่างหนักตามเดิม ในตอนนี้ พวกเขาได้คำมั่นจากฮวงเฟิงแล้ว พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่าพนักงานที่อยู่ด้านล่างอยู่ในความสงบฮวงเฟิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ในตอนส่งต่อตำแหน่ง เขากลัวว่าจะมีคนงานคนงานบางคนไม่พอใจ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ หลังจากที่ได้เป็นเจ้าของโรงงานแล้ว อาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเขาก็เป็นได้
ยังดีที่เรื่องแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้น
หลังจากนั้นฮวงเฟิงและบอสหลี่ก็ดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เขาทำการโอนเงินให้อีกฝ่าย แม้ว่าวันนี้พวกเขาจะมีเงินเพิ่มขึ้นหนึ่งแสน แต่ฮวงเฟิงก็ยังใช้เงินไปหนึ่งล้านห้าแสนเพื่อซื้อโรงงานแห่งนี้ ครั้งนี้ เขาใช้เงินออมไปมากกว่าครึ่ง
กัวเหลียงใช้เงินเก็บเข้าช่วยฮวงเฟิงแม้สุดท้าย เขาจะไม่เหลือเงินในบัญชีมากนัก มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา
ข่าวดีก็คือพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินในตอนนี้พวกเขามีทั้งโรงงาน อุปกรณ์และคนงาน แถมวัสดุที่ใช้สำหรับอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียก็มีแล้ว ถ้าบอสหลี่ไม่ต้องการอุปกรณ์จริงๆ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้สนใจวัสดุราคาแพงพวกนี้ล่ะ
ด้วยเหตุนี้ฮวงเฟิงและกัวเหลียงก็ได้ทำการผลิตสำเร็จ
ฮวงเฟิงบอกให้กัวเหลียงไปที่หน่วยงานรัฐเพื่อตรวจสอบขั้นตอนส่วนเขาจะเป็นกองหนุนคอยหาผู้เชี่ยวชาญในโรงงานเพื่อพูดคุยเรื่องการผลิตอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียให้
โรงงานไม่ได้มีขนาดใหญ่โตเพราะมีพนักงานเพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้นนามสกุลของผู้เชี่ยวชาญคือ เหอ และเขาก็เป็นถึงผู้จัดการเวิร์คช้อป และผู้จัดการฝ่ายเทคโนโลยี ดังนั้น ปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียทั้งหมดจึงได้รับการแก้ไขโดยเขา
บทที่ 240 เริ่มดำเนินการ
”ผู้จัดการเหอลองดูเนื้อหาตรงนี้สิครับอุปกรณ์และคนงานในโรงงานของเราในตอนนี้สามารถผลิตมันได้ไหมครับ?” ฮวงเฟิงเอ่ยถามพลางหนังสือเล่มเล็กให้ผู้จัดการเหอ แม้ว่าเขาพอจะคาดเดาได้ว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารับประกัน
”บอสโปรดเรียกผมว่าเฒ่าเหอเถอะครับ” ทันทีที่ผู้จัดการเหอหยิบหนังสือเล่มเล็กจากมือของฮวงเฟิงไป เขาก็พูดกับอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจและประหม่าเล็กน้อย
ผู้จัดการเหอรู้สึกได้ถึงความเคารพและความนอบน้อมที่ฮวงเฟิงมีต่อเขาได้ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่เคยได้รับจากบอสหลี่มาก่อน
ก่อนหน้านี้เขาเป็นถึงปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของที่นี่แต่บอสหลี่กลับไม่ให้ความเคารพต่อเขามากนัก โดยปกติอีกฝ่ายจะเรียกเขาด้วยชื่อจริง แต่บางครั้งเมื่อพบเจอกับปัญหาที่เขาไม่สามารถแก้ไขได้ บอสหลี่ก็จะต่อว่าเขาโดยไม่ไว้หน้าเขาเลยสักครั้ง
ในตอนที่เปลี่ยนบอสใหม่ผู้จัดการเหอก็รู้สึกกังวลเหมือนกับพนักงานคนอื่น ๆ เขาไม่รู้เลยว่าบอสคนใหม่จะเป็นคนแบบไหน หรือเขาจะถูกไล่ออกไหม เขาอายุสี่สิบเกือบห้าสิบแล้ว และรู้เฉพาะสายงานนี้เท่านั้น ไม่ง่ายเลยที่เขาจะไปทำงานที่โรงงานอื่นได้
อย่างไรก็ตามพอดูดีๆแล้ว บอสคนใหม่ของเขาในตอนนี้ได้สร้างความประทับใจให้เขาไม่น้อย
หลังจากที่ผู้จัดการเหอได้รับหนังสือแล้วเขาก็เริ่มอ่านมันผู้จัดการเหอเริ่มอ่านประโยคแรกก็รู้สึกมีความสุขปนกังวลไปด้วย
หากโรงงานยังคงผลิตอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียต่อไปหน้าที่การงานของเขาในอนาคตก็ยังมั่นคงโดยไม่ต้องสงสัย และเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะถูกไล่ออกอีก
แต่ถ้าหากว่าโรงงานผลิตสินค้าอื่นตัวเขาก็ทำได้แค่เรียนรู้งานใหม่ แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาก็ไม่คิดว่าบอสคนใหม่จะทิ้งคนไร้ประโยชน์อย่างเขาไว้ข้างหลัง
ผู้จัดการเหอกลัวว่าบอสคนใหม่จะเดินตามรอยของบอสหลี่และถูกขายอีก ขืนเป็นแบบนั้น เจ้าของก็จะไม่สามารถหนีไปจากพวกเขาได้ และบอสก็จะไม่เก็บพวกมันไว้ เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะคิดยังไง ในเมื่อบอสอยากให้เขาอ่านมัน เขาก็ต้องอ่านมันต่อไป
ยี่สิบนาทีผ่านไปผู้จัดการเหอก็อ่านจบ แน่นอนว่าเขาไม่ได้อ่านมันอย่างรอบคอบในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้
”บอสถึงอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียนี้จะแตกต่างจากที่เรามีอยู่ตอนนี้ และมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่า แต่เราสามารถผลิตมันได้ครับ เราแค่ทำการอัพเกรดการผลิตที่มีอยู่ และพัฒนาศักยภาพของคนงานในสายผลิตครับ” ผู้จัดการเหอกล่าว
ถึงจะเป็นอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียเหมือนกันแต่ก็ยังมีความแตกต่างระหว่างระหว่างกันอยู่ ดังนั้นการอัพเกรดสายการผลิตจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
“ผู้จัดการเหอคุณสามารถอัพเกรดสายการผลิตให้สำเร็จได้ไหมครับ?” ฮวงเฟิงถาม
“ผมจะลองดูครับ”ถึงผู้จัดการเหอเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่เขาก็ไม่กล้าทำตัวออกหน้าออกตาเกินไป เพราะถ้าผลออกมาไม่เป็นไปตามคาด บอสอาจรู้สึกแย่กับการคุยโวของเขาได้
ฮวงเฟิงพูดแบบตรงไปตรงมาถึงมันจะต่างกับที่เขาคิดไว้ แต่ก็พอเข้าใจได้ โชคดีที่เขายังพอมีเงินติดตัว เขาจะได้นำมันมาใช้
หลังจากที่มอบหมายให้ผู้จัดการเหอเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการอัพเกรดสายการผลิตเสร็จฮวงเฟิงก็ไปคุยกับพนักงานที่รับผิดชอบเรื่องความสะอาดและการตรวจสอบสิ่งอันตรายที่ซ่อนอยู่ในอุปกรณ์
กับเรื่องแบบนี้เขาไม่อยากประมาทเท่าไหร่ขืนเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วมีคนเสียชีวิตขึ้นมา มันคงเป็นข่าวร้ายต่อเขาและพนักงานทุกคน
จากนั้นกัวเหลียงก็บอกเขาว่าตอนนี้มืดแล้ว พวกเขาควรกลับแล้ว ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงกลับไปพร้อมกัน
“พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงาน เพราะฉนั้นนายต้องเป็นคนจัดการเรื่องนี้ต่อจากฉัน โดยเฉพาะเรื่องสิทธิบัตร นายต้องเร่งจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด อาจจะต้องเสียเงินนิดหน่อย แต่นายไม่จำเป็นต้องจ่ายคนเดียวหรอกนะ นายจะให้แฟนช่วยออกได้” ระหว่างทางกลับ ฮวงเฟิงบอกกับกัวเหลียง
”ได้เลยยังไงเธอก็อยู่บ้านเฉยๆ พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปด้วย” กัวเหลียงตอบ
ความจริงแล้วกัวเหลียงก็อยากจะชวนโจวหรูหรานมาด้วย แต่เขาก็อายจนไม่กล้าพูดมันออกมา เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มันก็แปลว่าเขาอยากอยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสองน่ะสิ แต่ในเมื่อฮวงเฟิงออกปากขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอีก
”หลังจากนี้ฉันจะเป็นคนจัดการให้นายเอง ฮ่าๆ ” แม้ว่าเขาจะออกไปข้างนอกมาทั้งวัน แต่เขาก็ยังคงวุ่นกับการทำเรื่องต่างๆให้ตัวเอง แม้ว่ากัวเหลียงจะรู้สึกเหนื่อย แต่เขาก็ยังมีแรงเหลือเฟือ
”นายหมายถึงอะไรละนั่น?นี่เป็นธุรกิจของเรา การที่นายทำงานเพื่อตัวเองน่ะถูกแล้ว โรงงานนี้เป็นของพวกเราทั้งคู่นะ” ฮวงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฮวงเฟิงไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากกัวเหลียงเพียงคนเดียวในอนาคตกัวเหลียงจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากโรงงานแห่งนี้ ไม่อย่างนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จะกลายเป็นหัวหน้ากับลูกน้องเท่านั้น ถึงกัวเหลียงจะไม่ว่าอะไร เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี นี่เป็นเหตุผลที่ฮวงเฟิงยอมรับเงินมาจากกัวเหลียง
เมื่อได้ยินฮวงเฟิงพูดแบบนั้นกัวเหลียงก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้นมาจากใจ เขารู้ว่าฮวงเฟิงไม่มีทางใช้เขาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวแน่นอน หลังจากนี้ คงต้องบอกว่าในที่สุด เขาก็มีอาชีพเป็นของตัวเองแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกทางกันและกลับไปยังบ้านของตน
“ทำไมวันนี้กลับดึกจัง?”ในตอนที่กัวเหลียงกลับถึงบ้าน แฟนสาวของเขา โจวหรูหรานก็ทำอาหารเกือบเสร็จแล้ว เมื่อเห็นว่ากัวเหลียงกลับมาแล้ว เธอจึงถามอีกฝ่ายด้วยท่าทางสบายๆ
“ก็เรื่องงานนะสิ”กัวเหลียงตอนพลางนั่งลงบนโซฟา วันนี้ทำงานทั้งวัน เหนื่อยชะมัด!
”หืมงาน งานอะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่าวันนี้นายก็ไปออกหางานอีกแล้ว? ไม่ใช่ว่านายบอกฉันว่าวันนี้นายจะพักผ่อนหรอ? เมื่อวานนายก็ออกไปหางานแต่ไม่เห็นกลับมาดึกเท่าวันนี้เลยนี่” โจวหรูหลานเดินมาถามความกับกัวเหลียง
ในตอนที่โจวหรูหรานเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหน็ดเหนื่อยของกัวเหลียงเธอก็คิดว่ากัวเหลียงคงเหนื่อยมากเพราะวุ่นอยู่กับการหางาน เธอจึงรีบบอกกับอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“นี่นายไม่ต้องรีบหางานทำหรอก ค่อยๆหาไปเรื่อยๆก็ได้ ไม่เห็นมีใครบังคับให้นายต้องทำแบบนั้นเลย…”
“ไม่มีคนบังคับฉันก็จริงแต่ฉันจะยอมให้เธออยู่กับฉันในห้องเช่าแบบนี้ไปตลอดได้ยังไงล่ะ?” กัวเหลียงถามกลับ
”ไป..ไปไกลๆเลยนะ!ใคร..ใครบอกว่าฉันจะอยู่กับนายกัน!” โจวหรูหรานตอบ
ความจริงแล้วถึงโจวหรูหรานจะอยู่ในบ้านของกัวเหลียง แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน กัวเหลียงเป็นคนที่สนใจเธอ ก่อนที่เขาจะรู้ว่าเธอพักอยู่ที่ไหน เขาก็เช่าห้องพักที่อยู่ใกล้กับอีกฝ่ายแล้ว แม้ทั้งสองจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็มากินข้าวด้วยกันอยู่บ่อยๆ