กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 279-280
บทที่ 279 ลูกคิดอย่างไรกับเขา
”ตอบแม่ก่อนว่าลูกมีความสัมพันธ์ยังไงกับฮวงเฟิงคนนี้?”แม่ของ ชิวหนิงช่วงถามแทนที่จะตอบ
“อะไรนะ?ความสัมพันธ์อะไรคะ?”
แววตาตื่นตระหนกปรากฏขึ้นทั่วดวงตาของชิวหนิงช่วง
แต่เธอก็บังคับตัวเองให้สงบลงในทันที:”เขากับลูกก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดา และเมื่อคืนเขาก็ได้ช่วยลูกไว้ ดังนั้นตอนนี้เราถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แล้ว”
”เพื่อนงั้นเหรอ?แล้วเวลาที่เพื่อนร่วมงานและเพื่อนคนอื่นๆ มาเยี่ยมลูก ลูกแทบจะไม่อยากให้พวกเขาเข้ามาด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาแต่ลูก็ต้องหาข้ออ้างเพื่อบอกว่าลูกเหนื่อยและไม่ต้องการให้อยู่ แต่สำหรับฮวงเฟิงคนนี้ ลูกกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลยนะ” แม่ของชิวหนิงช่วงกล่าวด้วยความไม่เชื่อ
”แม่ได้ยินทั้งหมดเลยสินะ หรือว่าแม่แอบฟังใช่ไหม?” ชิวหนิงช่วงกล่าวด้วยความโกรธและเป็นห่วงเล็กน้อย
ตอนนี้เธอไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการที่แม่ของเธอได้ยินเธอรู้สึกอายเล็กน้อย
แต่เธอกำลังคุยกับฮวงเฟิงเกี่ยวกับการปกปิดของที่กินไปเมื่อคืนถ้าแม่ของเธอได้ยินเรื่องนี้เข้า คงไม่ดีแน่
”แม่ไม่ได้แอบฟังแม่ก็แค่อยากจะเข้ามาถามว่าเย็นนี้ลูกอยากกินอะไร แม่ก็เลยได้ยิน” แม่ของชิวหนิงช่วงอธิบาย
เธอไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆเธอแค่รู้สึกว่าลูกสาวของเธอคงจะอาย
”แม่ได้ยินอะไรอีกหรือเปล่าคะ?”เธอเพิ่งสัญญากับฮวงเฟิงไป าเธอจะไม่เปิดเผยความลับของเขา
ถ้าแม่ของเธอรู้เรื่องนี้เร็วแบบนี้เพราะเธอเธอก็จะไม่สามารถอธิบายกับฮวงเฟิงได้เลย
“มีอะไรงั้นเหรอ?”“ก่อนหน้านี้แม่ยุ่งอยู่ หรือว่าพวกเธอจะมีความลับอะไรกันงั้นเหรอ?” แม่ของชิวหนิงช่วงถามว่า “คงไม่เกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ใช่ไหม?”
เมื่อมองดูใบหน้าที่อยากจะนินทาของมารดาชิวหนิงช่วงก็ถึงกับพูดไม่ออก
อย่างไรก็ตามเธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกดูเหมือนว่าแม่ของเธอจะไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเลย
“เขายังไม่มีแฟนและแม่คิดว่าเขาก็ค่อนข้างเป็นคนดีแม้ว่าฐานะครอบครัวจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่เราไม่คาดหวังว่าสามีในอนาคตของลูกจะต้องมีฐานะที่ดีตราบใดที่ลูกชอบเขา และมีพ่อของลูกอยู่ด้วยพวกเราก็สามารถช่วยเขาสร้างอนาคตที่ดีได้อย่างแน่นอน” แม่ของชิวหนิงช่วงพูดอย่างกังวล เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเธอดูเหมือนจะตั้งใจที่จะไม่พูดอะไร
”แม่กำลังพูดถึงเรื่องอะไรคะเนี่ย?พวกเราเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดาจริงๆ แม่คงไม่ได้ถามคำถามพวกนี้ตอนที่อยู่ข้างนอกใช่ไหมคะ?” ชิวหนิงช่วงถามอย่างอดไม่ได้
ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆเธอสามารถที่จะจินตนาการถึงสีหน้าของฮวงเฟิงได้เลย
แน่นอนว่าถ้าเขาสงสัยว่าเธอเป็นคนที่ทำเรื่องนี้เธอก็คงจะเสียหน้ามาก
จริงๆแล้ว ชิวหนิงช่วงรู้สึกขอบคุณพ่อแม่ของเธอมากสำหรับความเอื้ออาทรและความอดทนอดกลั้นในชีวิตแต่งงาน
พวกเราต้องรู้ว่าในแวดวงของพวกเขานั้นมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเลือกคู่แต่งงานด้วยตัวเองได้
แม่ของเธอเป็นข้าราชการรุ่นที่สองในขณะที่พ่อของเธอเป็นคนธรรมดา
แม่ของเธอจับมือเดินไปกับพ่อของเธอแม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากครอบครัว
และหลังจากนั้นหลายปีครอบครัวของแม่ของเธอก็ยอมรับพ่อของเธอ
พวกเขายินดีกับการแต่งงานครั้งนี้มากดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยุ่งกับลูกสาวของพวกเขา
แน่นอนว่ายังมีข้อมูลบางอย่างที่พวกเขาควรรู้เช่น ฐานะและภูมิหลังซึ่งพวกท่านไม่ได้พึ่งพาครอบครัวของพวกเขาอีกต่อไป
สิ่งที่พวกท่านให้ความสำคัญมากที่สุดคือบทบาทหน้าที่และความรู้สึกของลูกสาว
”ก็ถามทั้งหมดนั่นล่ะแล้วมีอะไรล่ะ? แม่รู้ว่าลูกอายแม่ก็เลยช่วยแก้ปัญหาไงล่ะ? แม่ของชิวหนิงช่วงพูดอย่างอิ่มเอมใจราวกับว่าเธอกำลังยกเครดิตให้ลูกสาวของตัวเอง
”มันจบแล้วครั้งนี้พวกเราเสียหน้า!” ชิวหนิงช่วงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มราวกับว่าจะทำให้ใบหน้าของเธอรู้สึกดีขึ้น
”อ้าวอย่าพูดแบบนั้นสิ นี่ลูกคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย?” แม่ของชิวหนิงช่วงยังคงถามต่อไป
สำหรับการแต่งงานของลูกสาวเธอได้ตัดสินใจแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ถามถึงภูมิหลังครอบครัวของชายคนนั้น
แต่เธอก็กังวลว่าลูกสาวของเธอจะถูกหลอกและยิ่งไปกว่านั้นลูกสาวของเธอก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปดังนั้นเธอจึงควรมีแฟนเสียที
อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้มีคนมากมายไล่ตามจีบเธอ แต่เธอไม่เคยชอบพวกเขาเลย
เมื่อชิวหนิงช่วงถูกแม่ของตัวเองวางกับดักและฮวงเฟิงก็หนีกลับบ้านไปแล้ว
คำพูดของแม่ของชิวหนิงช่วงนั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดในตอนนี้และในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาคงจะไม่กล้าไปเยี่ยมชิวหนิงช่วงที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำ เพราะเขากลัวว่าแม่ของเธอจะถามคำถามเขามากไปกว่านี้
ฮวงเฟิงไม่ทันได้สังเกตเห็นอะไรเลยตอนที่เขามองในกล่องจักรวาลเขาจึงไปที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรกิน
อย่างไรก็ตามเสี่ยวไป่เดินตามเขาเหมือนสุนัขตัวเล็กๆที่กระดิกหาง
”เจ้าตัวเล็กแกอยู่ที่นี่มาก็หลายวันแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้พาแกออกไปเดินเล่นข้างนอกเลย หลังจากกินเสร็จแล้วเราออกไปเดินเล่นกันเถอะนะ” ฮวงเฟิงพูดกับเสี่ยวไป่ ซึ่งเขารู้ว่าเสี่ยวไป่สามารถเข้าใจคำพูดของเขาได้
เป็นตามที่คาดไว้หลังจากที่เสี่ยวไป่ได้ยินคำพูดของเขามันก็ถูหางของมันที่ขาของเขาสองสามครั้งและกระดิกหางอย่างมีความสุขมากขึ้น
เห็นได้ชัดว่ามันต้องการออกไปข้างนอกด้วยเพราะว่ามัวแต่ขลุกอยู่ในบ้านตลอดเวลา ซึ่งทำให้จิตใจของมันไม่ค่อยดีสักเท่าไร และสุนัขส่วนใหญ่ก็ต้องการที่จะไปเดินเล่น และมันเองก็เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และต้องมาถูกกักขังอยู่แต่ในบ้านแล้วมันจะทนได้อย่างไรกัน
แน่นอนว่าด้วยความสามารถในปัจจุบันของเจ้าตัวเล็กมันคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมันที่จะออกจากบ้านด้วยตัวเอง
แต่เพียงเพราะฮวงเฟิงเคยสั่งไว้ก่อนหน้านี้ว่าอย่าวิ่งออกไปข้างนอกโดยไม่มีเขา
ดังนั้นแม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะอยากออกไปจริงๆแต่ก็ยังคงอยู่แต่ในบ้านอย่างเชื่อฟัง
หลังทานอาหารเสร็จฮวงเฟิงก็ยังรักษาสัญญาแม้ว่าเจ้าตัวนี้จะเป็นหมาป่าและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็ยังไม่โตและดูเหมือนกับลูกสุนัข
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเจ้าตัวเล็กนั้นเชื่อฟังมากแต่ฮวงเฟิงก็ยังคงผูกมันไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นกลัวเมื่อพบพวกเขา
แม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะไม่ค่อยพอใจที่ฮวงเฟิงผูกคอของมันก่อนที่จะออกไปเดินเล่นแต่ก็ยังอดทนและฟังเขาอย่างเชื่อฟัง
ตอนนี้ผู้คนที่รับประทานอาหารแล้วบางส่วนได้ออกมาออกกำลังกายและพักผ่อนกันบ้างแล้ว
แม้ว่าผู้คนในย่านที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะเป็นคนงานในโรงงาน
แต่ก็ยังมีชาวบ้านธรรมดาอยู่บ้างดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่ออกมาเดินเล่นตอนกลางคืน
บางคนกำลังเต้นรำอยู่ในจัตุรัสบางคนกำลังเดินเล่น และแน่นอนว่ามีคู่รักจำนวนไม่น้อยที่พบสถานที่โรแมนติกสำหรับนั่งคุยกัน
บทที่ 280 เด็กน้อย
แน่นอนว่ายังมีคนอย่างฮวงเฟิงที่กำลัง‘พาสุนัขไปเดินเล่น’ อย่างสบายใจ
ดูเหมือนสหายตัวน้อยจะเห็นเพื่อนของมันเข้ามันเลยส่งเสียงร้องแล้ววิ่งไปหาสุนัขอีกตัวที่อยู่ไม่ไกล
เมื่อสุนัขเห็นมันเข้าเหมือนกับว่ามันเป็นมิตรมาก จึงอยากวิ่งไปหาฮวงเฟิงด้วยเช่นกัน
ในระหว่างทางฮวงเฟิงก็ได้พบเจอกับสถานการณ์เหมือนก่อนหน้านี้อีกสองสามครั้ง เขาจึงส่งยิ้มให้เจ้าของของมัน
ในสถานที่ที่ค่อนข้างมืดจู่ๆฮวงเฟิงก็ได้ยินเสียงหมาเห่า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ เนื่องจากในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงหมา แต่เขาเพิ่งเห็นพวกมันแค่ไม่กี่ตัว
แต่คราวนี้นอกจากเขาจะได้ยินเสียงหมาเห่าแล้วยังได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ด้วย เสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอึดอัด เหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังกลัวอะไรบางอย่างเลยไม่กล้าร้องไห้เสียงดัง
ฮวงเฟิงรีบเดินไปตามเสียงทันใดนั้นชายหนุ่มก็ได้เห็นสุนัขตัวใหญ่ข้างพุ่มไม้เล็กๆ สุนัขตัวนั้นกำลังแยกเขี้ยวและคำรามใส่เด็กคนหนึ่ง เหมือนกับว่ามันสามารถพุ่งไปกัดเด็กคนนั้นได้ตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เจ้านายของสุนัขตัวนั้นถ้าอย่างนั้น เจ้าของตัวจริงของมันอยู่ไหนล่ะ?
ฮวงเฟิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ไหนแต่ที่เขารู้แน่ๆคือคนๆนั้นไม่ใช่ที่นี่แน่นอน
ฮวงเฟิงกับเสี่ยวไป่รีบตรงเข้าไปหาเด็กคนนั้นเพื่อช่วยเหลือแต่ดูเหมือนสุนัขตัวนี้จะไม่กลัวคนที่โตกว่าอย่างฮวงเฟิงเท่าไหร่นัก พอมันเห็นว่าฮวงเฟิงเดินเข้ามามันก็คำรามใส่เขาทันที
ในขณะที่ฮวงเฟิงกำลังจะคว้าเด็กคนนั้นให้มายืนหลังเขาจู่ๆสุนัขตัวนั้นก็เคลื่อนไหวและกระโจนใส่ฮวงเฟิงทันที
แต่ฝ่ายฮวงเฟิงนั้นไวกว่าเมื่อมันวิ่งเข้าใกล้ เขาก็ใช้เท้าเตะจนตัวลอย
”เห้ย!แม่แกสิ นี่แกกล้าเตะหมาฉันเร๊อะ! แกรู้ไหมว่าสุนัขของฉันมันแพงขนาดไหน? ถึงฉันจะเอาไอ้กุ๊ยอย่างแกไปขาย ก็ยังเอาไปแลกกับหมาของฉันไม่ได้เลยนะโว้ย!”
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มที่แสดงสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรก็ได้ปรากฏตัวขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ก่อนหน้านั้นเขาเห็นหมาของตัวเองถูกใครก็ไม่รู้เตะจนลอยมาอยู่ตรงหน้า พอเขาเห็นมัน เขาก็รีบวิ่งไปคนทำทันที
”สาวน้อยไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ เธอปลอดภัยแล้ว” ทว่าฮวงเฟิงไม่แม้แต่จะสนใจชายหนุ่ม เขาหันกลับมาปลอบเด็กน้อยที่อยู่ข้างหลังแทน
ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายชัดเจนจากระยะไกลแต่ตอนนี้ ฮวงเฟิงรู้แล้วว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาน่ารักราวกับถูกแกะสลักออกมาจากหยก
ทว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาคนนี้กลับมีหยดน้ำตาไหลอาบแก้ม ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไรแล้วนะ” ฮวงเฟิงปลอบโยนเธออย่างต่อเนื่อง เขาหวังว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้จะไม่ฝังอยู่ในความคิดของเธอ
”เห้ยไอ้กุ๊ย ฉันกำลังพูดกับแกอยู่ ไม่ได้ยินรึไงวะ?” เห็นว่าฮวงเฟิงไม่สนใจเขาแถมยังหันไปคุยกับเด็ก ชายหนุ่มพลันมีน้ำโหขึ้นมาทันที
”คุณลองดูที่หมาของคุณสิครับคุณกล้ามามันออกมาโดยที่ไม่ล่ามเชือกได้ยังไง? เห็นไหมมันวิ่งไปทั่วเลย ถ้ามันกัดผมขึ้นมา คุณจะทำยังไงละครับ? คุณจะจ่ายค่ารักษาให้ผมหรือเปล่า?” ฮวงเฟิงยืนขึ้นแล้วถามกลับ
”บัดซบ!นี่แกกล้าสอนฉันเหรอ!? ใครสนล่ะ? หมาของฉัน ฉันจะทำอะไรกับมันก็เรื่องของฉัน ถ้างั้นแกก็บอกฉันมาสิว่าแกจะชดเชยที่แกเตะหมาของฉันยังไง?” คน ๆ นี้ไม่เพียงไม่สำนึก ยังต้องการให้ฮวงเฟิงชดเชยให้เขาอีก
ฮวงเฟิงเกือบจะเดือดที่อีกฝ่ายหัวเราะใส่เขาเต็มที”หมาของคุณเกือบจะกัดเด็กคนนี้แล้วคุณจะชดเชยให้เธอยังไงละครับ?”
“ฉันจะชดเชยให้แม่แกเอง!”เห็นได้ชัดชายหนุ่มกำลังโมโหสุดๆ “เด็กมันเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอง แกยังจะโทษหมาของฉันอยู่อีก? เหอะ หมาของฉันยังไม่ได้กัดใคร และเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่?”
”หึถ้าผมมาช้ากว่านี้อีกนิดนึง เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นไปตามที่คุณพูดหรอกครับ” ฮวงเฟิงกล่าว
เขาไม่ยินดีที่จะเสียเวลากับอีกฝ่ายอีกจึงพูดว่า”วันหลัง อย่าลืมใช้เชือกล่ามหมาของคุณตอนที่พามันออกไปเดินเล่นด้วยละครับ วันดีคืนดีมันอาจจะถูกคนอื่นตีจนตายได้!”
เมื่อได้ยินคำขู่จากฮวงเฟิงชายหนุ่มก็ยิ่งโกรธ โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นว่าฮวงเฟิงกำลังจะจากไป
ในเมื่อเขาต้องการแก้แค้นให้หมาของตัวเองขนาดนี้เขาจะอดทนมองฮวงเฟิงเดินจากไปง่ายขนาดนั้นได้ยังไง?
”เจ้าขุนพลไปกัดไอ้ตัวเล็กนั่นให้ตายไปเลย!” ชายหนุ่มไม่กล้าให้สุนัขของตนกัดฮวงเฟิงและเด็ก เขารู้ว่าสุนัขของตนนั้นดุร้าย ถ้าหากเขาให้มันกัดสุนัขของมันจนถึงตายจริงๆ เขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้
เขาไม่มีทางปล่อยให้สุนัขของตัวเองตายแต่อย่างนั้นก็ไม่สนสุนัขของอีกฝ่าย
เนื่องจากวิธีนี้ทำให้เขาสามารถสอนบทเรียนให้กับฮวงเฟิงว่าวันหลัง อย่าแส่เรื่องของชาวบ้านและห่วงตัวเองก่อน
นอกจากนี้เขายังสามารถแก้แค้นให้กับสุนัขที่เพิ่งถูกฮวงเฟิงเตะได้อีกด้วย
อันที่จริงเสี่ยวไป่ที่อยู่ข้างๆ ฮวงเฟิงได้เห็นความทุกข์ของสุนัขตัวนี้มาสักพักแล้ว แต่ฮวงเฟิงยังคงรั้งมันไว้ทำให้ไม่สามารถวิ่งเล่นได้อย่างอิสระ นอกจากนี้มันยังไม่ได้รับอนุญาตจากฮวงเฟิง มันเลยวิ่งไปรอบๆไม่ได้
สิ่งแรกที่เห็นคือสายตาฮึกเหิมที่กำลังจ้องมาทางเขาจากนั้นมันก็พุ่งเข้ามาหาเขาจริงๆ
เสี่ยวไป่รู้สึกดีใจมากมันไม่ได้วิ่งหนี กลับกัน มันหันไปมองสุนัขตัวใหญ่แทน
ในตอนนี้ฮวงเฟิงยังเห็นสายตาของเจ้าตัวเล็กข้างหลัง จู่ๆเขาก็รู้สึกเป็นห่วงเสี่ยวไป่ขึ้นมา
แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่มันก็ยังไม่โตเต็มวัย มันจึงไม่ใช่เป็นคู่ต่อสู้กับสุนัขตัวนั้นในศึกนี้
ฮวงเฟิงเลยอยากดึงมันกลับมาเพื่อเขาจะได้สอนบทเรียนให้แก่สุนัขตัวนั้นแทน
อย่างไรก็ตามเขาสังเกตเห็นว่า ไม่ว่าเขาจะดึงเสี่ยวไป่อย่างไรก็ไม่สามารถดึงมันกลับมาได้ ราวกับว่าเสี่ยวป่ถูกยึดไว้กับพื้น มันไม่ขยับไปไหนและยังคงจ้องมองสุนัขตัวนั้นอยู่
ฮวงเฟิงแอบรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสุนัขตัวใหญ่กำลังจะเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ฮวงเฟิงตั้งท่าเตรียมเดินไปเตะมันให้กระเด็นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
ก่อนที่ฮวงเฟิงจะได้ลงมือจู่ๆเสี่ยวไป่ก็กระโดดไปข้างหน้า
แม้ว่าขาของมันจะสั้นแต่ระยะที่มันกระโดดออกไปนั้นนับว่าไม่สั้นเลย เหมือนกับฮวงเฟิง มันเหยียดขาขวาหน้าออกไปเตะใต้ศีรษะสุนัขตัวใหญ่อย่างไร้ความปรานี
ลูกเตะนี้ทำให้สุนัขตัวนั้นถึงกับบินได้!
ฮวงเฟิงและชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นฉากตรงหน้าพวกเขาไม่คิดเลยว่าร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวไป่จะมีแข็งแกร่งขนาดนี้
สุนัขตัวใหญ่ต้องมีน้ำหนักมากกว่าร้อยกิโลกรัมแต่มันกลับถูกเตะจนตัวลอยอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำความสูงที่มันลอยนั้นนับว่าสูงในระดับหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวไป่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของเขาทั้งๆที่การโจมตีของมันควรจะเป็นการกัดและกระชากอีกฝ่าย ไม่ใช่การใช้ลูกเตะแบบนี้
ฮวงเฟิงกำลังคิดว่าถ้าเสี่ยวไป่อยู่กับเขาไปเรื่อยๆ วันดีคืนดีมันจะ ‘เสียหมา’ ไหม?