กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 283-284
บทที่ 283 ร่วมประชุม
สองวันต่อมาฮวงเฟิงก็ไปทำงานตามปกติ ในขณะที่ฝึกวิชาอยู่นั้น เขาโทรหาคนที่โรงงานเพื่อถามไถ่เรื่องต่างๆ
ความคืบหน้าในโรงงานเป็นไปอย่างราบรื่นหลังจากนั้นฮวงเฟิงก็เก็บอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ที่โรงงานกับคนงาน
หลังจากซื้อมันแล้วเขาก็จะทุ่มเงินเพื่อพัฒนามัน
การที่มีกัวเหลียงและคนอื่นๆที่พยายามทำงานอย่างเต็มที่ภายในเวลาสั้นๆ อีกไม่กี่วัน โรงงานของเขาก็พร้อมเปิดตัว
“พรุ่งนี้โรงงานก็จะเริ่มผลิตอย่างเป็นทางการแล้ว ในฐานะบอส ฉันขอถามนายว่าไม่คิดจะโผล่หน้ามาที่นี่เลยรึไง?” กัวเหลียงพูดแกล้งฮวงเฟิงผ่านทางโทรศัพท์
โชคดีที่ความสามารถของเขานับว่าไม่เลวนะในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วันเขาก็สามารถทำตามขั้นตอนต่างๆได้ แน่นอนว่าเขาต้องเสียเงินไปมากเช่นกัน
แต่เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมดสำเร็จได้เร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นฮวงเฟิงหรือกัวเหลียง ทั้งคู่ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าสิ่งที่เขาต้องแลกจะเป็นเงินก็ตาม
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เขายังออกไปสังสรรค์และยิ้มได้ กัวเหลียงมีความสุขกับสิ่งที่เขาทำมาก
เพราะถึงยังไงมันเป็นธุรกิจของเขาและแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสุดยอดอุปกรณ์ที่ฮวงเฟิงพูดถึงก่อนหน้านี้จะมีประโยชน์อะไร หรือจะเป็นสินค้าที่ตีตลาดได้หรือไม่ แต่เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก
“รู้แล้วน่าพรุ่งนี้ฉันไปอยู่แล้ว!” ฮวงเฟิงตอบกลับด้วยความเคอะเขิน
ในเวลานี้เขากำลังทำงานอย่างหนัก ในฐานะเจ้าของบริษัททำให้กัวเหลียงและคนอื่นๆยุ่งมาก ดังนั้นเขาเลยรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
เนื่องจากว่าพรุ่งนี้เป็นวันเริ่มการผลิตอย่างเป็นทางการของโรงงานแน่นอนว่าฮวงเฟิงจะต้องปรากฎตัวที่โรงงาน ถ้าหากพรุ่งนี้ เขาไม่ไปที่นั่นมันคงจะดูเห็นแก่ตัวเกินไป
หลังจากวางสายจากกัวเหลียงฮวงเฟิงก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เฮฟเว่นไพร์กรุ๊ป ตั้งแต่วันที่พวกเขาได้พบกันในศูนย์อาหาร หลายครั้งที่ซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวได้เข้ามาทักทายและพูดคุยกับฮวงเฟิงราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้จัดการของรปภ. แต่กลับเป็นผู้บริหารในบริษัทคนหนึ่ง
เรื่องนี้ทำให้ฮวงเฟิงไม่เข้าใจพวกเธอเลยแม้แต่น้อยแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ถามกลับเพราะเขาเองก็มีธุรกิจของตัวเองรออยู่ การได้มีส่วนร่วมกับเฮฟเว่นไพร์กรุ๊ปเช่นนี้ทำให้เขาสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และมีประโยชน์ต่อตัวเขาที่เป็นเจ้าของธุรกิจในภายภาคหน้า
หลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าถงเฉียนจุนคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดเซี่ยเมิ่งเจียวก็รีบต่อสายไปหาอีกฝ่ายทันที
แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้นแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับแล้ว แต่ถงเฉียนจุนก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ความ
ถ้าหากอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เซี่ยเมิ่งเจียวก็ไม่มีทางได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายแน่ เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเท่านั้น
เท่านี้ก็รู้แล้วว่าถงเฉียนจุนกำลังคิดอะไรอยู่อีกฝ่ายไม่ต้องการเจรจากับเฮฟเว่นไพร์กรุ๊ปอย่างสันติ อีกฝ่ายต้องการเล่นงานเฮฟเว่นไพร์กรุ๊ป
แม้ว่าเธอจะไม่รู้เหตุผลที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นในเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว เธอก็ต้องหาวิธีรับมือ
“ผมว่าเราควรเปิดหน้าร้านเป็นของตัวเองนะครับ”ภายในห้องทำงานของซูหยูโม่ ฮวงเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
ภายในห้องทำงานของซูหยูโม่ตอนนี้เซี่ยเมิ่งเจียวและผู้บริหารคนอื่น ๆ กำลังตกลงกันว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
“ความคิดเข้าท่านอกจากนี้ เราเพิ่งลงทุนไปไม่น้อย ถ้าเราทำได้ดี เราอาจเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เช่นกัน” ซูหยูโม่เป็นคนแรกที่เห็นด้วยกับแนวคิดของฮวงเฟิง
สินค้าก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ถูกวางขายภายในห้างสรรพสินค้าแทนที่จะนำมาขายเองนอกจากนี้ยังส่งขายให้กับร้านเสริมสวยและร้านค้าอื่น ๆ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขายังไม่มีหน้าร้านเป็นของตัวเองเลย
แน่นอนว่าการเปิดร้านนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ อย่างแรก พวกเขาต้องลงทุนมากขึ้น เพราะถ้าพวกเขามีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อย่างที่สองคือพวกเขายังไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้และอย่างสุดท้ายคือพวกเขาเพิ่งเริ่มทำธุรกิจได้ไม่กี่ปีที่ หากแบรนด์ของพวกเขายังไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากสังคม พวกเขาก็จะขาดทุน
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนกังวลหากพวกเขาล้มเหลวในการเปิดหน้าร้าน ธุรกิจของเขาก็อาจจะขาดทุนมากขึ้น แต่ถ้าหากประสบความสำเร็จ มันก็จะกลายเป็นโอกาสในการพัฒนาบริษัทของพวกเขา
“มาทำกันเถอะ!”เซี่ยเมิ่งเจียวว่า
ในแง่ของการพัฒนาในเชิงบวกทั้งเธอและซูยูโม่ไม่เคยขาดความมั่นใจเลยสักนิด ทั้งสองไม่ใช่คนประเภทที่รู้แค่ว่าจะลอยกลางน้ำได้อย่างไรเท่านั้น
ในเมื่อตอนนี้บริษัทกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมันจะต้องช่วยให้พวกเขาเปิดร้านเองได้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าประธานทั้งสองคนเห็นด้วยกับคำแนะนำของฮวงเฟิงคนที่เหลืออยู่จึงไม่คัดค้านหรือมีข้อโต้แย้งใดๆ
สำหรับฮวงเฟิงแล้วพวกเธอได้ให้ความสนใจกับเขามากขึ้น เพราะเขาสามารถเข้าร่วมการประชุมในหัวข้อการพัฒนาของบริษัท
นอกจากนี้เจ้านายยังรับฟังความคิดเห็นของเขาเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญมากต่อท่านประธานทั้งสองคน
สำหรับการซื้อวัตถุดิบคนที่อาศัยอยู่ในเมืองชิงมีวัตถุดิบที่ไม่ตรงตามความต้องการของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจซื้อจากต่างเมืองก่อน
แม้ว่าต้นทุนจะสูงขึ้นแต่เซี่ยและซูหยูโม่ก็ยังยืนยันที่จะทำมัน ตราบเท่าที่พวกเธอสามารถเอาชนะความยากลำบากนี้และผ่านมันไปได้ ผู้ขายจะต้องรีบวิ่งมาขอร่วมมือกับเธอถึงหน้าบริษัทแน่นอน
ส่วนฮวงเฟิงที่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับเฮฟเว่นไพร์กรุ๊ปโดยเฉพาะกับซูหยูโม่ เขาเองก็มีความประทับใจที่ดีต่อบริษัทไม่น้อย เขาจึงหวังว่าเธอจะก้าวผ่านปัญหานี้ไปได้
”อ้อใช่แล้ว ผู้จัดการฮวงเฟิง เราจะเชิญหลี่ปิงอวิ๋นมาเป็นนางแบบให้บริษัท เธอจะมาถ่ายโฆษณาให้เราภายในอีกไม่กี่วันนี้” ก่อนที่การประชุมจะสิ้นสุด ซูหยูโม่ก็หันไปพูดกับฮวงเฟิง
“หลี่ปิงอวิ๋น?”ฮวงเฟิงตกใจ จากนั้นเขาก็เริ่มคิดว่าครั้งนี้บริษัทจะต้องขาดทุนแน่!
แน่นอนว่าฮวงเฟิงเคยได้ยินชื่อของหลี่ปิงอวิ๋นเธออายุไม่มากเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสายนี้มานานแล้ว แต่ชื่อเสียงของเธอก็ได้เป็นที่รู้จักไปทั่วแม่น้ำทางตอนเหนือและตอนใต้
นอกจากเธอจะมีหน้าตาที่ไร้ที่ติแล้วเธอยังมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงและการแสดงอีกด้วย แม้ว่าละครและภาพยนตร์ที่เธอแสดงในโทรทัศน์จะมีไม่มาก แต่ทุกเรื่องก็นับว่าเป็นอันดับต้น ๆ ที่ได้รับการการันตียอดขายและความโด่งดังของเธอ
เรียกได้ว่าหลี่ปิงอวิ๋นเป็นหนึ่งในดาราหญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดมากที่สุดในแวดวงบันเทิงเธอเป็นทั้งนักแสดงที่งดงามและเป็นไอดอลที่มีคุณภาพคนหนึ่ง
บอกเลยว่าค่าตัวที่ต้องจ่ายเพื่อเชิญเธอคนนี้มาเป็นนางแบบให้บริษัทนั้นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ!
บทที่ 284 ดารามาร่วมงาน
ในทางตรงกันข้ามเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องการให้หลี่ปิงอวิ๋นมาเป็นนางแบบให้ เนื่องจากว่ามีบริษัทมากมายที่ต้องการตัวเธอให้มาเป็นนางแบบ แต่น้อยครั้งที่เธอจะตอบรับงาน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องความต้องการของเจ้าตัว
สาเหตุมาจากที่เธอรู้สึกเกรงใจเหล่าแฟนคลับที่ชื่นชอบเธอเธอจะไม่รับงานโฆษณาสินค้าที่เธอไม่รู้จักเพื่อป้องกันไม่ให้แฟนคลับหลงเชื่อสินค้าที่มีคุณภาพเกินจริง ดังนั้นทุกครั้งที่เธอรับงานโฆษณาสินค้า เธอจะต้องศึกษามันก่อน
แม้ว่ามันจะทำให้เธอมีงานมากขึ้นและทำให้มีสปอนด์เซอร์ลดลงแต่อย่างน้อยสินค้าที่เธอได้โฆษณานั้นทำให้เหล่าแฟนคลับและผู้ชมรู้สึกไว้วางใจมากขึ้น
ทุกครั้งที่เธอให้การรับรองหรือถ่ายโฆษณายอดขายของสินค้าก็ยังมั่นคงอยู่เสมอ
แม้ว่าสัญญาของเธอจะค่อนข้างเข้มงวดรวมถึงค่าตัวที่ค่อนข้างสูงแต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการจ้างเธอให้มาโฆษณาสินค้า
ดังนั้นเมื่อฮวงเฟิงและคนอื่นๆ ได้ยินว่าซูหยูโม่กำลังเตรียมนางแบบและการถ่ายโฆษณา ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันทีว่าบริษัทจะต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยแน่ และพวกเขาก็รู้แล้วว่าทำไมหลี่ปิงอวิ๋นถึงเดินทางมาหาถึงที่บริษัท
อันที่จริงในตอนที่หลี่ปิงอวิ๋นต้องการรับรองหรือถ่ายโฆษณาสินค้า ถึงเธอจะรู้คุณภาพและคุณประโยชน์ของสินค้า
แต่น้อยครั้งที่เธอจะยอมไปที่บริษัทของผู้อื่นเนื่องจากว่าเธอไม่ได้เป็นประธานบริษัทแต่อย่างใด แถมเธอยังมีงานต้องทำอีกมากมาย
หากแต่เซี่ยเมิ่งเจียวต้องการใช้โอกาสนี้เพิ่มชื่อเสียงให้กับบริษัทและบังเอิญว่าภายในอีกไม่กี่วัน หลี่ปิงอวิ๋นจะมาทำธุระที่เมืองชิง เธอจึงมีเวลาแวะเข้ามาที่บริษัท
”อืมผมเข้าใจแล้ว” ฮวงเฟิงตอบ
แม้ว่าหลี่ปิงอวิ๋นจะเป็นดาราแต่เธอก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่วันยังค่ำ ฮวงเฟิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตกอยู่ในเหตุการณ์อันตราย
แต่เพราะเธอมีแฟนคลับมากมายและในเวลานั้นหน้าที่หลักของเขาก็คือการปกป้องหลี่ปิงอวิ๋นจากเหล่าแฟนคลับที่ต้องการก่อกวนเธอนอกเวลางาน
เพราะในตอนที่แฟนคลับได้เห็นไอดอลผู้เป็นที่รักในชีวิตจริงพวกเขาจะมีท่าทางตื่นเต้นมากและพลาดพลั้งทำเรื่องที่ไม่สมควรได้
หลังจากนั้นไม่นานข่าวของหลี่ปิงอวิ๋นที่เดินทางมาที่บริษัทก็แพร่งพรายออกไปพนักงานหลายคนเริ่มซุบซิบกัน และพนักงานบางคนก็ดูตื่นเต้นมาก
เรื่องนี้ฮวงเฟิงกับซูหยูโม่ก็ไม่ได้ต่อว่าพวกเขาโดยไร้เหตุผล แม้แต่กับพนักงานในบริษัทยังตื่นเต้นเหมือนเป็นแฟนคลับตัวยงของเธอเลย
”ผู้จัดการฉันได้ยินมาว่าหลี่ปิงอวิ๋นจะมาที่บริษัทเหรอ?” พอได้เห็นท่าทางตกใจของฮวงเฟิงแล้ว แม้แต่พี่หวังก็ยังเดินมาถามเขาถึงห้องทำงาน
”ใช่คุณก็เป็นแฟนคลับของเธอเหรอครับ?” ฮวงเฟิงถามกลับด้วยความสงสัย
แม้ว่าพี่หวังจะอายุไม่มากพอที่จะเป็นพ่อของหลี่ปิงอวิ๋นแต่ก็ไม่ได้ดูห่างกันมากนัก เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังคว้าดาวและไล่ตามหลี่ปิงอวิ๋นอยู่?
”ลูกสาวของผมเธอเป็นแฟนคลับตัวยงของหลี่ปิงอวิ๋นน่ะครับ เธอชอบหลี่ปิงอวิ๋นมาก ถ้าผมได้ลายเซ็นของเธอ ลูกสาวของผมจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ ” พี่หวังตอบด้วยท่าทางเขินอาย “แต่ว่าผมเองก็ชอบเธอเหมือนกัน…”
พูดตามตรงว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบหลี่ปิงหวิ๋นแต่โดยเฉพาะแล้วผู้ชาย ขนาดว่าฮวงเฟิงไม่ใช่แฟนคลับตัวยงก็ยังชอบเธอเลย
อย่างไรก็ตามฮวงเฟิงกลับคิดว่าในวงการบันเทิงคนที่ใบหน้างดงามขนาดนี้กลับไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาว แสดงว่าหลี่ปิงอวิ๋นจะต้องมีความลับบางอย่างแน่นอน
”ผมคิดว่าคุณขอลายเซ็นจากเธอได้นะครับเพราะงานนี้ เราจะได้เป็นบอดี้การ์ดให้เธอชั่วคราวครับ” ฮวงเฟิงตอบ
“จริงเหรอครับ?ยอดไปเลย!” พี่หวังตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมสุข เขากำลังคิดว่าจะให้อีกฝ่ายเซ็นให้ตรงไหนหรือจะอวดลูกสาวของเขายังไงดี
หลังจากส่งพี่หวังกลับไปฮวงเฟิงเข้าใจความรู้สึกของคนในบริษัทดี เพราะลึกๆแล้วเขาเองก็ค่อนข้างคาดหวังกับการมาถึงของหลี่ปิงอวิ๋นเช่นกัน
ขณะที่ฮวงเฟิงกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจู่ๆโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น แต่ทันทีที่เห็นว่ามันเป็นเบอร์ของชิวหนิงช่วง ทันใดนั้นฮวงเฟิงก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
วันที่เขาไปหาชิวหนิงช่วงเขาได้สัญญากับเธอว่าเขาจะไปเยี่ยมเธอบ่อยๆ แต่พอนึกถึงความกระตือรือร้นของแม่อีกฝ่ายแล้ว ฮวงเฟิงก็อยากถอนคำพูดทันที ทำให้เขาไม่ได้ไปหาเธอเลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
แต่ถึงอย่างนั้นชิวหนิงช่วงกลับโทรมาหาเขาเพื่อถามว่าทำไมเขาถึงไม่ไปพบเธออย่างต่อเนื่องและฮวงเฟิงก็ไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่าบอกว่าช่วงนี้เขายุ่งๆ
ชิวหนิงช่วงเองก็สามารถเดาเหตุผลนั้นได้และถึงแม้ว่าเธอจะโทรหาฮวงเฟิง แต่เธอก็ไม่ได้บังคับเขาให้คุยกับเธอ
เนื่องจากว่าพวกเขาต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมเธอทั้งสองจึงคุยโทรศัพท์กันไม่นาน
แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ฮวงเฟิงรู้สึกปวดหัวแต่เขาก็ยังคงรับโทรศัพท์และคิดว่าวันนี้ควรหาข้อแก้ตัวเพื่อปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างไรดี
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากรับโทรศัพท์แล้ว ชิวหนิงช่วงไม่ได้ขอให้เขาไปโรงพยาบาลด้วย อีกฝ่ายบอกเขาว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้
”อ่าถ้างั้นก็ดีใจด้วยนะ” ฮวงเฟิงกล่าวหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่
“พรุ่งนี้นายว่างไหม?”ชิวหนิงช่วงยังคงถามต่อ ในเมื่อเธอได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ชิวหนิงช่วงก็อยากเจอฮวงเฟิงจริงๆ
“พรุ่งนี้เหรอ?”ฮวงเฟิงอยากจะบอกอีกฝ่ายว่าพรุ่งนี้เขามีธุระ เพราะเขาสัญญากับกัวเหลียงว่าเขาจะไปที่โรงงานพรุ่งนี้
“ไม่ว่างเหรอ?”ชิวหนิงช่วงถาม แม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าทำไมฮวงเฟิงถึงไม่มาหา
แต่ถึงอย่างนั้นชิวหนิงช่วงก็ยังรู้สึกผิดหวังเป็นอีกครั้งที่เธอไม่ได้เจอฮวงเฟิง
จู่ๆก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเมื่อได้ฟังคำถามจากชิวหนิงช่วงปกติแล้วเขามักจะหาข้อแก้ตัว แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะต่างกันออกไปและอีกฝ่ายไม่มีทางเชื่อเขาแน่นอน
นอกจากนี้ประโยคเมื่อครู่ของชิวหนิงช่วงที่เขาได้ยินนั้นมีความเศร้าแฝงอยู่
ฮวงเฟิงคิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีพิธีเปิดที่โรงงานตอนสิบโมงก่อนหน้านั้นเขายังเหลือเวลาพอสมควร เขาสามารถไปเยี่ยมชิวหนิงช่วงได้ เพราะก่อนหน้านั้นเขาเคยสัญญาว่าจะไปหาแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป
“พรุ่งนี้ฉันพอจะมีเวลาอยู่บ้างฉันจะไปรับเธอที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน” ฮวงเฟิงตอบ
นอกจากนี้เขายังรู้ว่าแม่ของชิวหนิงช่วงจะต้องไปที่นั่นแน่นอนดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องไปรับเธอ
”จริงเหรอ?นายสัญญาแล้วนะ ถ้าพรุ่งนี้นายไม่มา ฉันก็อยู่ที่โรงพยาบาล ฉันจะไม่ยอมออกไปไหนเด็ดขาด!” ชิวหนิงช่วงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
”ได้พรุ่งนี้ฉันไปแน่!” ฮวงเฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่ชิวหนิงช่วงมีต่อเขาก่อนเกิดเรื่องขึ้น ไม่เหมือนกับก่อนหน้า
“เป็นเพราะคืนนั้นหรือเปล่านะ?”ฮวงเฟิงนึกถึงเรื่องในตอนนั้นหลังจากที่วางสายแล้ว