กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 287 -288
บทที่ 287 เฝ้ารอ
ในตอนนี้กัวเมิ่งหานได้เข้าสู่โหมดเก็บตัวและอ่อนแอเหมือนเดิมแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของฮวงเฟิง จู่ๆเธอก็รู้สึกอายขึ้นมา
“จริงๆแล้วพวกเราก็สนิทกันนะ”กัวเมิ่งหานตอบ ไม่รู้ว่าเธอกำลังอธิบายหรือปิดบังกันแน่
ในตอนนี้เธอรู้สึกอายกับสิ่งที่ได้ทำลงไปไม่น้อยตอนนี้ ฮวงเฟิงก็ได้รู้ว่าเธอเป็นฝ่ายยอมและไม่ตอบโต้ทั้งเลยเหมือนอย่างที่เธอทำในวันนี้ แต่เขาอาจจะคิดมากเกินไป เอาเป็นว่าช่างมันก็แล้วกัน
ฮวงเฟิงพยักหน้าและตอบว่า”แต่ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ก็บอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”
ฮวงเฟิงรู้ว่าเกาเมิ่งหานรู้สึกอึดอัดแต่เขาก็จะไม่ถามถ้าอีกฝ่ายยังไม่พร้อม เพราะถ้าเขาพูดออกไป เกรงว่าจะทำให้กัวเมิ่งหานอึดอัดมากกว่าเดิม
ส่วนเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ฮวงเฟิงไม่ได้พูดอะไรเป็นเพราะเขาทราบดีว่ากัวเมิ่งหานอยากพักที่นั่นต่อ
หลังจากที่ทั้งสองคนกลับมาถึงห้องของฮวงเฟิงทั้งสองก็เริ่มทานอาหารเย็นด้วยกัน ดูเหมือนว่ากัวเมิ่งหานจะลืมความหงุดหงิดก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น เธอได้คุยกับฮวงเฟิงอย่างเป็นกันเอง
ฮวงเฟิงสังเกตเห็นว่าจริงๆแล้วกัวเมิ่งหานไม่ใช่คนที่ชอบเก็บตัวเมื่อได้อยู่ต่อหน้าคนที่รู้จัก เธอเองก็เป็นคนช่างพูดไม่น้อย
“พรุ่งนี้นายต้องไปที่โรงงานนะถ้านายไม่ไป ฉันว่าพี่เหลียงคงได้เป็นบ้าตายแน่” เมื่อพูดถึงโรงงานแล้ว เกรงว่ากัวเมิ่งหานจะจำท่าทางลุกลี้ลุกลนของกัวเหลียงได้ จากนั้นเธอก็หัวเราะขึ้นมาในตอนพูดกับฮวงเฟิง
”รู้แล้วน่าเจอกันที่นั่นพรุ่งนี้เช้า สองสามวันมานี้เธอคงเหนื่อยไม่น้อยเลยสินะ ขอบคุณนะ” ฮวงเฟิงกล่าว
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยจริงๆ ฉันมีความสุขมากเลยนะ สภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่นั่นดีกว่าที่บริษัทที่ฉันเคยทำตั้งเยอะ” กัวเมิ่งหานว่า
ความจริงแล้วนี่คือความแตกต่างระหว่างบริษัทใหญ่และบริษัทเล็ก มีช่องทางการพัฒนามากมายในบริษัทใหญ่ แต่ในนั้นก็มีคนนิสัยไม่ดีอยู่ไม่น้อย
แม้ว่าในบริษัทเล็กๆอาจไม่มีความก้าวหน้าและพนักงานเทียบเท่าบริษัทใหญ่แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ของทุกคนในนั้นก็รักใคร่กลมเกลียวกัน
อาทิเช่นกัวเหลียงพวกเขาทั้งสอง และพนักงานคนอื่นต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ขณะที่ทั้งสองกำลังทานอาหารและพูดคุยกันเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทั้งสองทานอาหาร เสร็จ กัวเมิ่งหานก็เก็บถ้วยชามที่ใช้แล้วใส่กระเป๋าและกลับห้องตัวเองไป
”เฮ้เธอกลับมาแล้วเหรอ? ฉันคิดว่าเธอจะออกไปค้างกับแฟน…”
หลังจากกัวเมิ่งหานกลับถึงห้องหญิงสาวทั้งสองกำลังดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น ในตอนที่พวกเธอเห็นว่ากัวเมิ่งหานกลับมา พวกเธอก็ได้เบนความสนใจจากโทรทัศน์ไปที่กัวเมิ่งหานทันที
แต่กัวเมิ่งหานกลับเมินพวกเธอเหมือนกับก่อนหน้านี้เธอทำเหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยินอะไร เหมือนเสียงนั้นเป็นเพียงแค่เสียงลมไม่มีผิด
ท่าทางที่พวกเมิ่งหานปฏิบัติต่อพวกเธอนั้นได้ทำให้ทั้งสองสาวหงุดหงิดไม่น้อย
”เธอว่าแฟนของยัยนั่นจะพักอยู่แถวนี้ไหม?”เมื่อเห็นว่ากัวเมิ่งหานไม่สนใจและกำลังจะไปล้างจานในครัว หญิงสาวทั้งสองก็เริ่มซุบซิบกัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่กัวเมิ่งหานกับวงเฟิงเดินออกไป ทั้งสองคนสังเกตเห็นว่า กัวเมิ่งหานกับฮวงเฟิงถือถุงอาหารไว้ในมือ ในเมื่อกัวเมิ่งหานกลับมาพร้อมจานเปล่า แสดงว่าทั้งสองต้องนำอาหารไปทานที่อื่นแน่นอน
“ฉันว่าไม่”หญิงสาวอีกคนตอบ “เธอไม่รู้จักยัยนั่นรึไง ก็แค่เด็กบ้านนอกจนๆคนหนึ่ง ถ้าแฟนของยัยนั่นพักอยู่แถวนี้จริงๆ เธอคงย้ายไปอยู่กับเขาและจะประหยัดค่าเช่าไง”
”เออก็จริง แต่ฉันว่าหมอนั่นอาจจะแชร์ห้องกับคนอื่นก็ได้ ทั้งสองเลยไม่ได้อยู่ด้วยกันไง? เธอไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”
”ไม่มีทางย่ะถ้าเป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ ฉันว่าสองคนนั้นคงอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่แยกกันอยู่หรอก เชื่อฉันสิ”
”ที่เธอพูดมาก็ถูกหรือว่าสองคนนั้นจะเป็นคนคุยกัน อาจจะไม่ใช่แฟนกันก็ได้นะ ตอนที่พวกเราพูดจาไม่ดีใส่ยัยนั่น หมอนั่นไม่เห็นพูดอะไรสักคำ”
”ใช่!”
ขณะที่กัวเมิ่งหานกำลังล้างจานเธอไม่รู้เลยว่ารูมเมทสองคนของเธอกำลังพูดถึงเธออยู่ หรือไม่ก็เธออาจจะรู้ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะเธอเองก็ชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว
หากแต่ในโชคร้ายมักมีโชคดีแม้ว่าเธอจะได้พบเจอกับคนนิสัยไม่ดีมามาก แต่เพียงแค่เธอได้รู้จักกับคนที่ดีต่อเธอเพียงไม่กี่คนอย่างกัวเหลียง โจวหรูหลานและฮวงเฟิง เธอก็รู้แล้วว่าทั้งสามปฏิบัติดีต่อเธอ และปฏิบัติกับเธอในฐานะมิตรแท้
หลังจากที่กัวเมิ่งหานกลับไปฮวงเฟิงก็ไปอาบน้ำและไปเปิดกล่องจักรวาล แต่เขากลับไม่เห็นว่าจะมีสิ่งของอยู่ในนั้นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาได้รับของบางอย่างมาจากกล่องจักรวาล แต่มันกลับไร้ประโยชน์ เขาคิดว่าของพวกนั้นเป็นของเล่นสำหรับเด็ก ดังนั้น ฮวงเฟิงจึงโยนมันเข้าไปในแหวนมิติทันที และเฝ้ารอวันที่กล่องจักรวาลนำสิ่งของดีๆมาให้เขาอีกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้นฮวงเฟิงไม่ได้ไปที่บริษัท แต่เดินทางไปที่โรงพยาบาลและพาชิวหนิงช่วงกลับบ้าน
เมื่อวานเขาบอกซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวว่าขอลาหนึ่งวันเซี่ยเมิ่งเจียวไม่ได้พูดอะไรให้มากความและไม่ได้ผลักไสเขา
แต่ฮวงเฟิงกลับคิดว่าช่วงนี้เขาจะขอลาบ่อยเกินไป ถ้าเขาทำงานที่บริษัทอื่นเขาคงถูกเจ้านายด่าจนอกแตกตายแน่
ในทางกลับกันที่เฮฟเว่นไพร์ ซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวกลับไม่เคยว่าเขา และอนุญาตให้เขาลางานโดยไม่ถามเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ขอลางานเลยสักครั้ง
ในอีกด้านหนึ่งที่โรงพยาบาลแม่ของชิวหนิงช่วงกำลังช่วยลูกสาวเก็บของเตรียมกลับบ้าน ในขณะที่พ่อของเขากำลังพูดคุยกับหมอ เขาเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของลูกสาวไม่น้อย
ส่วนชิวหนิงช่วงที่จ้องมองประตูเพื่อรอให้ใครบางคนปรากฏตัวนั้นรู้สึกเบื่อแทบตาย
”หนิงช่วงลูกลองเช็คดูอีกทีสิว่าลืมอะไรไหม” แม่ของชิวหนิงช่วงพูดกับเธอ
“ไม่มีแล้วคุณแม่ไปเก็บของของตัวเองเถอะค่ะ” ชิวหนิงช่วงตอบโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองผู้เป็นแม่
”เจ้าลูกคนนี้นิ…”แม่ของชิวหนิงช่วงที่เห็นท่าทางของลูกสาวตัวเองถึงกับต้องเดินไปพูดกับเธอว่า “มีอะไร รอใครอยู่เหรอ? กำลังรอฮวงเฟิงอยู่ละสิ? เขาไม่ได้บอกลูกเหรอว่าเขาจะมากี่โมง? ป่านนี้แล้วทำไมเขายังไม่มาอีก?”
“เดี๋ยวเขาก็มาแล้วค่ะเขาสัญญากับหนูว่าเขาจะมา เขาก็ต้องมาสิคะ” ชิวหนิงช่วงตอบ แม้ว่าเธอจะมั่นใจมากว่าฮวงเฟิงจะมา แต่ลึกๆแล้วเธอเองก็กลัวว่าฮวงเฟิงจะไม่ทำตามสัญญา
”ถ้าวันนี้เขากลับคำไม่ยอมมาตามที่พูด แม่จะหักคะแนนเขาซะเลย” แม่ของชิวหนิงช่วงตั้งใจพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
”นี่คุณแม่กำลังพูดถึงเรื่องอะไรคะ?”แม้น้ำเสียงของชิวหนิงช่วงจะฟังดูเก้อเขิน แต่จริงๆแล้วเธอกำลังกลัวว่าถ้าหากวันนี้ฮวงเฟิงไม่มา พ่อแม่ของเธอจะต้องไม่ปลื้มอย่างแน่นอน
บทที่ 288 ขอโทษที่มาช้า
”ขอโทษที่มาช้านะ”
ในขณะที่ชิวหนิงช่วงกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยทันใดนั้นประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออกและร่างของฮวงเฟิงก็ได้ปรากฎสู่สายตา
เมื่อเห็นว่าสิ่งของในห้องพักถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบฮวงเฟิงรู้ว่าเขามาช้าไปจึงรู้สึกละอายใจ จริงๆแล้วเขาออกมาตั้งแต่เช้า แต่เพราะเป็นชั่วโมงเร่งด่วน ทำให้เขามาถึงที่นี่ไม่ทันเวลา
”มาแล้วเหรอ!”เมื่อชิวหนิงช่วงเห็นฮวงเฟิง ในตอนนั้นเองความกังวลบนใบหน้าของเธอก็พลันหายไปจนหมดสิ้น ชิวหนิงช่วงจึงเดินเข้าไปหาฮวงเฟิงด้วยใบหน้าแห่งความสุข
ทางด้านหลังของชิวหนิงช่วงแม่ของเธอมองไปทางผู้กำกับชิวที่เพิ่งคุยกับหมอเสร็จ และเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ในที่สุดก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วยินดีด้วยนะ” ฮวงเฟิงกล่าวพลางยื่นดอกไม้ที่อยู่ในมือให้ชิวหนิงช่วง
”ขอบคุณนะ…”ชิวหนิงช่วงรับดอกไม้จากมือฮวงเฟิงพร้อมกับยิ้มกว้าง ในตอนนี้ใบหน้าของเธอไม่หลงเหลือความกังวลและความรู้สึกเบื่อหน่ายจากก่อนหน้านี้อยู่เลย
“นายคงจะเป็นฮวงเฟิงสินะ”ในคืนนั้น เขาเคยเจอกับฮวงเฟิงครั้งหนึ่งแล้ว แต่เพราะทั้งสองยังไม่ได้แนะนำตัว ดังนั้นจึงไม่ถือว่าทั้งสองเป็นคนรู้จักกัน
“ใช่ครับผู้กำกับชิว สวัสดีและยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับ” ในอนาคต เขาจะก่อตั้งบริษัท เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความขัดแย้งระหว่างบริษัทกับตำรวจ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องอ่อนน้อมและสุภาพกับผู้กำกับชิวเข้าไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อของชิวหนิงช่วงด้วยแล้ว
”เอ่อนายเรียกฉันว่าลุงชิวก็พอ คืนนั้น ขอบใจนายมากที่ช่วยลูกสาวของฉันไว้” ผู้กำกับชิวตอบฮวงเฟิงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จนแทบไม่เหลือคราบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“ลุงชิวเกรงใจกันเกินไปแล้วครับ”ในเมื่อเป็นความต้องการของผู้กำกับชิว ฮวงเฟิงจึงไม่มีเหตุผลที่เขาต้องปฏิเสธ
“สองสามวันที่ผ่านมานี้ตอนที่หนิงช่วงพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลฉันยุ่งมาก ไหนๆวันนี้เธอก็มาในวันที่ฉันว่างพอดี เอาเป็นว่า ฉันจะเลี้ยงมื้อเที่ยงเป็นการตอบแทนเอง” ผู้กำกับชิวพูดกับฮวงเฟิง
”ลุงชิวผมกับหนิงช่วงเป็นเพื่อนกัน ที่ผมช่วยเธอไว้เป็นเรื่องที่ควรทำแล้ว ลุงไม่จำเป็นต้องตอบแทนผมหรอกครับ” ฮวงเฟิงรีบกล่าวปฏิเสธ
“ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ?ในเมื่อทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน และฉันเป็นคนในครอบครัว อะไรที่ควรตอบแทน ฉันก็ต้องตอบแทนสิ” เดิมทีเขาต้องการซื้อขนมให้ฮวงเฟิงเป็นการตอบแทน
แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าลูกสาวของเขาดูเหมือนจะสนใจฮวงเฟิงด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องรับประทานอาหารร่วมกับอีกฝ่ายเพื่อเป็นการตอบแทน
“ใช่แล้วฮวงเฟิง นายไม่ต้องมาปฏิเสธเลย” แม้ว่าก่อนหน้านี้ ชิวหนิงช่วงจะรู้สึกเขินอาย แต่เธอก็แอบหวังว่า ฮวงเฟิงจะยอมรับประทานอาหารร่วมกับเธอ
ฮวงเฟิงไม่รู้จักพ่อแม่ของเธออีกฝ่ายเคยช่วยชีวิตเธอ และเธอเองก็เคยช่วยเขามานัดต่อนัด นอกจากนี้เธอยังสนใจฮวงเฟิง เป็นธรรมดาที่เธอจะอยากให้ฮวงเฟิงรู้จักกับคนในครอบครัว
“เอ่อ..แต่ว่า..?” ฮวงเฟิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขามีธุระที่ต้องทำต่อจากนี้ หากเขาไม่มีธุระสำคัญ เขาก็ยินดีที่จะไปร่วมรับโต๊ะกับเจ้าเมืองชิงแล้ว
”ตอนเที่ยงเฟิงมีธุระเหรอลูก?” ดูท่าว่าแม่ของชิวหนิงช่วงจะสังเกตเห็นท่าทางของอีกฝ่าย
”ครับผมเปิดโรงงานเล็กๆและเตรียมการผลิตในวันนี้ หลังจากนี้ ผมต้องไปที่นั่นต่อ” ฮวงเฟิงตอบโดยไม่ปิดบัง เพราะถ้าไม่อย่างนั้น พ่อแม่ของชิวหนิงช่วงอาจคิดว่าเขาไม่อยากไป ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่สมควรทำ
“นี่เฟิงกำลังจะบอกแม่ว่าเฟิงเปิดโรงงานของเองเหรอลูก?” แม่ของชิวหนิงช่วงถามด้วยความตกใจ
ก่อนหน้านี้เธอได้ทราบฐานะของฮวงเฟิงมาจากลูกสาวและเธอรู้มาว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ผู้จัดการรปภ.เท่านั้น
แม้แต่ชิวหนิงช่วงและผู้กำกับชิวต่างก็หันไปมองฮวงเฟิงด้วยความตกใจเห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างคิดไม่ถึง โดยเฉพาะชิวหนิงช่วง
แม้สองสามวันนี้เธอจะพักฟื้นที่โรงพยาบาล แต่เธอก็ทราบเรื่องเกี่ยวกับฮวงเฟิงไม่น้อย เพราะเธอชอบฮวงเฟิง เธอจึงอยากรู้จักอีกฝ่ายมากขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่เธอรู้นั้นไม่ใช่ทั้งหมดเกี่ยวกับฮวงเฟิง
ชิวหนิงช่วงรีบนึกถึงของวิเศษที่เป็นถุงมือและผลไม้ที่ฮวงเฟิงป้อนเธอเห็นได้ชัดว่าฮวงเฟิงเก็บซ่อนความลับอยู่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่รู้ตัวตนของอีกฝ่าย
“เอ่อก็แค่โรงงานเล็กๆที่ทำร่วมกับเพื่อนน่ะครับ” ฮวงเฟิงตอบด้วยท่าทางเก้อเขิน เขาไม่ได้พูดโกหก เพราะโรงงานของเขาเป็นโรงงานขนาดเล็กจริงๆ และมีพนักงานอยู่เพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้น
จากนั้นผู้กำกับชิวก็หันไปพูดกับคนแม่และชิวหนิงช่วงคนลูกว่า”เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทั้งสองคนกลับไปก่อน หนิงช่วง ลูกกลับไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย แล้วให้แม่พาไปรอที่ร้านอาหารสักแห่ง ส่วนพ่อจะไปดูโรงงานของเสี่ยงฮวง”
จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับฮวงเฟิงว่า “เสี่ยวฮวง หวังว่านายจะอนุญาติให้ฉันไปด้วยนะ?”
ผู้กำกับชิวกำลังจะมอบโอกาสให้ฮวงเฟิงด้วยการมาถึงของเขาที่โรงงานขนาดเล็กของฮวงเฟิง จะต้องไม่มีคนที่ไม่รู้จักในอนาคต
ในเมื่อได้ข้อสรุปแล้วสามคนที่เหลือจึงปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
แม้ว่าฮวงเฟิงจะไม่ชอบวิธีที่ผู้กำกับชิวพูดกับเขาเมื่อกี้แต่มันก็เทียบไม่ได้กับตอนที่แม่ของเธอเรียกเขาว่า ‘เฟิง’ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกยินดีที่ผู้กำกับชิวอยากไปเยี่ยมชมโรงงานของเขา
”ครับแน่นอนอยู่แล้ว” ฮวงเฟิงรู้ว่าผู้กำกับชิวจงใจทำให้เขาพาอีกฝ่ายไปที่โรงงานให้ได้ เพราะตอนเที่ยงเขาจะได้ไปทานข้าวกับอีกฝ่าย
นอกจากนี้นี่เป็นการเชื้อเชิญจากอีกฝ่าย ในเมื่อผู้กำกับชิวอยากไป แม้ว่าฮวงเฟิงจะรู้สึกไม่ยินดีเท่าไหร่ แต่เขาก็จะไม่ปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้แม้ว่าฮวงเฟิงจะรู้สถานะของผู้กำกับชิว แต่เขาก็ไม่คิดจะหาผลประโยชน์จากอีกฝ่ายแบบนี้
ฮวงเฟิงแค่คิดว่าหลังจากที่ได้รู้จักคนๆนี้แล้วหากอนาคต เขามีปัญหาอะไรที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง เขาก็จะสามารถขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายได้
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าผู้กำกับชิวจะอยากไปเยี่ยมชมโรงงานของเขาก็เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าชิวหนิงช่วงเข้าใจทุกอย่างเธอจึงพยักหน้าและตอบว่า “ค่ะ หนูจะไปรอคุณพ่อที่ร้านอาหารกับคุณแม่นะคะ”
จากนั้นชิวหนิงช่วงก็กลับไปพร้อมผู้เป็นแม่ส่วนพ่อของเธอและฮวงเฟิงก็ได้เดินทางไปยังโรงงานด้วยกัน
หากแต่สิ่งที่ทำให้ฮวงเฟิงลำบากใจก็คือเขาไม่มีรถเป็นของตัวเองในตอนนี้ ทั้งสองก็นั่งในรถของพ่อของชิวหนิงช่วง
โชคดีที่พ่อของชิวหนิงช่วงไม่ได้ดูถูกฮวงเฟิงเป็นเพราะเขาเข้าใจหัวอกของฮวงเฟิงด้วย ด้วยฐานะทางบ้านและการสำเร็จการศึกษาในระดับที่ไม่สูงมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทำให้ทุกวันนี้ฮวงเฟิงยังไม่มีรถขับ
แต่สิ่งที่ทำให้พ่อของชิวหนิงช่วงสงสัยก็คือฮวงเฟิงไม่มีเงินไปซื้อรถแต่กลับมีเงินสร้างโรงงาน เขาละไม่เข้าใจอีกฝ่ายเลยจริงๆ