กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 289-290
บทที่ 289 พิธีเปิด
”ในที่สุดนายก็มาสักทีฉันนึกว่านายจะหาข้ออ้างแล้วไม่ยอมมาซะแล้ว”
ในตอนที่พ่อของชิวหนิงช่วงและฮวงเฟิงเดินทางมาถึงโรงงานกัวเหลียงก็ได้รออยู่ที่ประตูอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้ข้างๆเขายังมีโจวหรูหรานและกัวเมิ่งหานอยู่ด้วย
วันนี้กัวเหลียงแต่งตัวสุภาพมากเขาสวมสูทผูกไทด์ และจัดทรงผมอย่างดี แต่พอฮวงเฟิงเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวแบบนี้แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “แต่งตัวขนาดนี้ นายไม่ร้อนเหรอ?”
“ปากเสีย!”กัวเหลียงตอบอย่างหัวเสีย ตอนนี้อากาศร้อนมาก การสวมเสื้อเชิ้ตธรรมดาในวันนี้จึงถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่เพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ ดังนั้นไม่ว่าอากาศจะร้อนขนาดไหน เขาก็จะอดทนต่อไป
เห็นได้ชัดว่าฮวงเฟิงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้เคร่งเรื่องการแต่งกายเท่าไหร่นัก ถึงเขาจะสวมชุดสุภาพ แต่ก็ไม่ได้ดูเป็นทางการเท่ากับกัวเหลียง
”ใช่ไหมครับ?”กัวเหลียงหันไปถามผู้กำกับชิวข้างๆฮวงเฟิงที่ยังคงสับสนอยู่
เขาและฮวงเฟิงไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ในจังหวัดเจียงดังนั้นในพิธีเรียบง่ายในวันนี้พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะเชิญใคร
ตอนนั้นเองที่ฮวงเฟิงนึกอะไรขึ้นมาได้เขาเกือบจะลืมผู้กำกับชิวไปแล้ว เขาจึงรีบพูดว่า “ท่านนี้คือผู้กำกับชิว หัวหน้าตำรวจประจำเมืองชิง”
ผู้กำกับชิวโบกมือแล้วตอบว่า”วันนี้ ฉันแค่มาเยี่ยมเฉยๆ เสี่ยวฮวง เรียกฉันว่าลุงชิวก็พอแล้ว”
ในเมื่อพ่อของชิวหนิงช่วงพูดเข้าหูของทุกคนขนาดนี้ดูท่าว่าเขาจะไม่ปฏิเสธตัวตนของตัวเอง กัวเหลียงและคนอื่น ๆ ต่างพากันตกใจ ไม่รู้ว่าฮวงเฟิงไปทำอีท่าไหนถึงได้รู้จักกับคนสำคัญขนาดนี้ได้
เห็นๆอยู่ว่าทั้งสองแทยจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยหากสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายดูดีๆแล้ว เหมือนกับว่าเขาจะมองฮวงเฟิงในมุมมองที่ต่างออกไป
แต่เนื่องจากผู้กำกับชิวพูดแค่ว่าให้ฮวงเฟิงเรียกเขาว่าลุงเท่านั้นแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าเรียกเขาแบบนั้นนอกจากฮวงเฟิง
กัวเหลียงรีบพูดว่า”คุณคือผู้กำกับชิวนี่เอง”
”อืม”ผู้กำกับชิวพยักหน้าอย่างถ่อมตน เขาเป็นกันเองกับฮวงเฟิงก็เพราะลูกสาว ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำแบบนั้นกับทุกๆคน
หลังจากนั้นฮวงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็พากันกล่าวทักทายเขา เนื่องจากผู้กำกับชิวออกปากให้ฮวงเฟิงเรียกเขาว่าลุงชิว ฮวงเฟิงก็จะไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวังโดยเด็ดขาด
เดิมทีฮวงเฟิงและกัวเหลียงมีแผนที่จะรวมตัวพนักงานทุกคนและกล่าวอะไรบางอย่างสักสองสามประโยคเพื่อให้กำลังใจทุกคน และหลังจากนั้น เขาก็จะเริ่มกระบวนการผลิตอย่างเป็นทางการ
หากแต่ตอนนี้ผู้กำกับชิวมาที่นี่เขาจึงเปลี่ยนความคิด ทั้งสองไม่มีทางปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้หลุดมือไปเด็ดขาด
ในตอนที่ฮวงเฟิงกำลังพาพ่อของชิวหนิงช่วงไปเดินดูรอบๆ โรงงาน ไม่รู้ว่ากัวเหลียงไปหาริบบิ้นสีแดง ถาดรองประทัด และของอื่น ๆ มาจากไหน เขาได้เตรียมพิธีตัดริบบิ้น และตัวหลักในงานนี้ก็คือผู้กำกับชิว
เมื่อก่อนมีคนเคยขอให้เขาให้เข้าร่วมพิธีดังกล่าวและเขาก็ได้ปฏิเสธอีกฝ่ายมาโดยตลอด แต่เนื่องจากวันนี้เป็นงานของฮวงเฟิง เขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง
ในความเป็นจริงก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาได้คิดเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ถ้าหากเขายังจะปฏิเสธ เขาก็คงไม่มาให้เสียเวลา
แม้ว่าจะไม่มีแขกและผู้สื่อข่าวเข้าร่วมงานในครั้งนี้แต่พิธีในวันนี้ก็ยังมีสีสันไม่น้อย
ฮวงเฟิงและกัวเหลียงมั่นใจมากว่าหากเรื่องที่ผู้กำกับชิวเข้าร่วมในพิธีตัดริบบิ้นได้แพร่ไปถึงหูของผู้คนมากมายในเร็ววันพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเรื่องปัญหากับรัฐบาลอีกต่อไป
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมดแต่อย่างน้อยสถานการณ์ตอนนี้ก็ยังดีกว่าก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่มีคนคอยหนุนหลังเลยสักคน
กัวเหลียงและคนที่เหลือเริ่มกังวลเกี่ยวกับโรงงานเนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าฮวงเฟิงมีกล่องจักรวาลและไม่มีความมั่นใจมากพอ
แต่ตอนนี้ความกังวลของพวกเขาได้ลดลงไปมากฮวงเฟิงสามารถเชิญผู้กำกับชิวมาที่นี่ได้ ทั้งๆที่ที่นี่ไม่ใช่สถานีตำรวจ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่อีกฝ่ายจะยอมมาในสถานที่แบบนี้
หลังจากพิธีตัดริบบิ้นจบลงฮวงเฟิงก็ขอให้ผู้กำกับชิวกล่างคำพูดสั้นๆสองสามประโยค แต่ครั้งนี้ผู้กำกับชิวกลับปฏิเสธ ท้ายที่สุดจึงต้องเป็นฮวงเฟิงที่ก้าวออกไปกล่าวเปิดพิธี
“วันนี้โรงงานของเราก็จะเริ่มการผลิตอย่างเป็นทางการแล้ว ผมรู้ว่ามีคนไม่น้อยไม่รู้ว่าโรงงานเล็กๆแห่งนี้ได้เปลี่ยนชื่อโรงงานไปแล้ว แต่อนาคตของโรงงานแห่งนี้จะเป็นยังไงกันนะ? ทุกคนคงจะสงสัยและไม่มั่นใจใช่ไหมละครับ” ฮวงเฟิงกล่าวขณะที่มองลงไปยังพนักงานกว่ายี่สิบคนด้านล่าง
”แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกทุกคนก็คือผมเชื่อในโรงงานแห่งนี้และสิ่งที่ทำให้ผมคิดแบบนั้นเพราะสิ่งที่เรากำลังจะผลิตนั้นไม่ใช่สิ่งของทั่วไป หากแต่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ชาติ และมันเป็นสิ่งที่จะตีตลาดได้อย่างแน่นอนครับ”
”สิ่งของดังกล่าวจะถูกผลิตขึ้นในโรงงานเล็กๆแห่งนี้จากน้ำพักน้ำแรงของพวกคุณทุกคนเพราะพวกเราคือนักประดิษฐ์แห่งยุคครับ!”
หลังจากที่ฮวงเฟิงกล่าวจบเขาสังเกตเห็นว่าท่าทางของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้พวกเขาจะยังไม่เชื่อเขาได้อย่างสนิทใจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปฮวงเฟิงยังคงเชื่อมั่นว่าถ้าของจริงถูกผลิตออกมาแล้ว ทุกคนในที่นี่จะต้องเชื่อว่าเขาไม่ได้พูดโกหกแต่กำลังพูดความจริง
”ของที่ผลิตในโรงงานของนายดีจริงอย่างที่นายพูดหรือเปล่า?”ที่โซฟา ผู้กำกับชิวถามฮวงเฟิงด้วยความสนอกสนใจ
นอกจากนี้มันเกี่ยวข้องกับอาชีพของทุกคนในอนาคต กัวเหลียงยังคงอยู่ที่โรงงานเพื่อดูแลกิจการต่อ นอกจากนี้ตอนเที่ยง ฮวงเฟิงและกัวเหลียงได้นัดเจอกันเพื่อพบปะทุกคน แต่ฮวงเฟิงกลับไม่ได้มาด้วย
กัวเหลียงไม่ได้คัดค้านเรื่องที่ฮวงเฟิงไม่อยู่เขาก็แค่อยู่เฝ้าโรงงาน เขาจึงไม่ถือสาที่ฮวงเฟิงไปกับผู้กำกับชิว เพื่อที่รักษาความสัมพันธ์อันดี จึงถือเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ฮวงเฟิงจะกลับไปก่อน เนื่องจากมีนัดทานข้าวกับผู้กำกับชิว กัวเหลียงได้รับปากว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในตอนที่เขาอยู่ที่นี่แน่นอน
ส่วนโรงงานที่ผู้กำกับชิวไปเยือนมาก่อนหน้านี้ไม่ได้มีไว้เพื่ออวดเขา ผู้กำกับชิวผู้ที่เข้าใจความรู้สึกของลูกสาวเป็นอย่างดี รู้สึกเป็นห่วงฮวงเฟิงมาก โดยเฉพาะกับธุรกิจของเขา
บทที่ 290 รับประทานอาหารร่วมกัน
เรื่องเกี่ยวกับเครื่องบำบัดน้ำเสียผู้กำกับชิวไม่เป็นที่คุ้นเคยอยู่แล้วและแม้ว่าเขาจะไม่สนใจสิ่งนี้อยู่แล้วด้วยแต่สุดท้ายเขาก็จำเป็นที่จะต้องรู้จักสิ่งนี้เพราะว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอำนาจแห่งเมืองชิง ฉะนั้นเขาย่อมต้องรู้จักทุกสิ่งอย่างในเมืองแห่งนี้
ปัจจุบันมีโรงงานจำนวนไม่น้อยเลยที่ใช้เครื่องบำบัดน้ำเสียเช่นเดียวกับของฮวงเฟิงและยังมีโรงงานขนาดเล็กอื่นๆ ซึ่งมีจำนวนคนงานเพียง 20 คน ถ้าให้เทียบกับโรงงานขนาดใหญ่ของผู้กำกับชิวแล้วแม้แต่จำนวนคนงานที่ทำงานอยู่ที่นั้นคงจะเทียบได้ยากเนื่องจากคงนับเท่าไหร่ก็นับไม่หมด
อย่างไรเสียเขาก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ฮวงเฟิงกล่าวไปก่อนหน้านี้แม้แต่เจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ที่ทุ่มทุนสร้างพร้อมกับคนงานอีกนับหมื่น ๆ ชีวิตเองก็ยังไม่กล้าพูดเลยว่านวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ที่โรงงานตนผลิตขึ้นมาจะสามารถเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้ อีกทั้งยังล้ำหน้ากว่าโรงงานอื่นในวงการอุตสาหกรรมนี้อีกด้วย
“ลุงชิว ผมไม่เคยพูดโกหก อุปกรณ์ที่ผมผลิตขึ้นมามันมีประสิทธิภาพมากกว่าโรงงานอื่นจริง ๆ นะครับ” ฮวงเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“อ๋อ อย่างนั้นหรอกหรือ” ผู้กำกับชิวพยักหน้าแต่ในใจเขากลับคิดว่าถ้าของที่ฮวงเฟิงผลิตออกมาดีจริงอย่างที่เขาพูด เขาก็ควรพูดถึงเรื่องยอดขายเพื่อความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องนี้
เมื่อฮวงเฟิงและผู้กำกับชิวมาถึงร้านอาหารชิวหนิงช่วงและแม่ของเธอก็ได้มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน
”มาถึงกันแล้วเชิญนั่งเลยค่ะ พวกเราได้สั่งอาหารมาแล้ว ลูกไปดูแลพวกเขาว่าขาดเหลืออะไรหรือต้องการสั่งอะไรเพิ่มไหม ” แม่ของชิวหนิงช่วงรีบพูดเมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา
”คุณป้าไม่เป็นไรหรอกครับ” ฮวงเฟิงกล่าวอย่างสุภาพ
ตอนนี้ชิวหนิงช่วงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และมันทำให้เธอดูผ่อนคลายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้รอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเธอที่บ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดีอยู่
“ฮวงเฟิง คุณจะเริ่มสร้างโรงงานเมื่อไหร่คะ?” ฉันยังไม่รู้เลยว่าโรงงานของคุณผลิตอะไร?” ตอนนี้ฮวงเฟิงได้นั่งลงข้าง ๆ ชิวหนิงช่วง แต่ในขณะที่เขากำลังจะนั่งข้างเธอ เธอก็ถามเขาอย่างร้อนใจเพราะก่อนหน้านี้ถ้าเธอไม่จำเป็นต้องกลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอคงจะตามฮวงเฟิงกับคนอื่น ๆ ไปที่โรงงานแล้วด้วยซ้ำ
”คงอีกไม่นานนี้แหละครับแต่มันไม่ได้เป็นโรงงานขนาดใหญ่หรอกนะครับ งานหลักของโรงงานเราก็คือการผลิตเครื่องบำบัดน้ำเสีย” ฮวงเฟิงกล่าว
ในขณะเดียวกันอาหารเลิศรสได้ถูกเสิร์ฟลงโต๊ะอย่างรวดเร็วเหตุผลที่เขามาร้านอาหารในครั้งนี้ก็คือเพื่อฉลองให้กับชิวหนิงช่วงที่ได้ออกจากโรงพยาบาล ส่วนอีกฝ่ายมาเพื่อที่จะขอบคุณฮวงเฟิงที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้
หลังจากที่พวกเขาทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยพวกผู้ชายก็ต่างนั่งจิบไวน์พูดคุยกันต่อโดยที่หัวข้อบทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แต่หลายครั้งที่พ่อของชิวหนิงช่วงมักจะถามเรื่องส่วนตัวของฮวงเฟิงซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกงงเล็กน้อยหรือเป็นได้หรือไม่ว่าพ่อของชิวหนิงช่วงจะชอบถามคำถามส่วนตัวของผู้อื่น?
เมื่อเห็นว่าชิวหนิงช่วงและแม่ของเธอขอตัวไปเข้าห้องน้ำผู้กำกับจึงใช้โอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนามาเป็นเรื่องผลไม้วิเศษของฮวงเฟิงเพราะในระหว่างทางที่ออกมาจากโรงงานผู้กำกับชิวได้เตรียมที่จะถามเขาเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ในเวลานั้นเขากำลังให้ความสนใจกับโรงงานของฮวงเฟิงอยู่จนลืมถามเรื่องนี้ไป จนตอนนี้ได้โอกาสเขาจึงกล่าวถามขึ้น
ฮวงเฟิงไม่ได้แปลกใจกับคำถามของผู้กำกับชิวเท่าใดนักเนื่องจากเขาคาดเดาไว้แล้วว่าต้องถูกถามเรื่องนี้และเป็นไปไม่ได้ที่ผู้กำกับชิวจะไม่อยากรู้เรื่องผลเวอร์มิลเลี่ยน
“ลุงชิว จริง ๆ แล้วผมได้สิ่งนี้มาโดยไม่ได้ตั้งใจและยังไม่สามารถรับประกันได้อีกว่าจะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นตามมาด้วย แต่ในสถานการณ์นั้นผมไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ นอกจากต้องทำแบบนั้นไปและผมหวังว่าลุงชิวจะไม่กล่าวโทษผม” ฮวงเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ
ตอนนี้ผู้กำกับชิวยังไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่กลับจ้องมองฮวงเฟิงแทนในฐานะที่เขาเคยยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาลมาหลายปี เขาจึงย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่ฮวงเฟิงพูดไปเมื่อครู่แม้แต่คำเดียว แต่เมื่อเห็นการแสดงออกอย่างจริงใจของฮวงเฟิงและนึกถึงตอนที่ลูกสาวของเขาถูกยิงแต่ได้ฮวงเฟิงเขามาปกป้องจนรอดชีวิตมาได้ เช่นนั้น เขาจึงยังไม่ได้พูดอะไรออกไปและพยายามไม่กังวลเรื่องฮวงเฟิงจนเกินเหตุ
“ทำไมผมจะต้องกล่าวโทษคุณด้วยในสถานการณ์แบบนั้นตราบใดที่ยังมีหวังที่จะสามารถช่วยลูกสาวของผมได้ ผมเองก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน” ผู้กำกับชิวกล่าว
อย่างไรก็ตามในใจเขาก็ยังคงคิดว่าคนธรรมดาๆ เช่นฮวงเฟิงคนนี้ต้องมีความลับอื่นที่เขาไม่รู้และแม้แต่ลูกสาวของเขาเองก็ดูจะไม่รู้ความลับนั้นด้วย
เมื่อฮวงเฟิงเห็นว่าผู้กำกับชิวดูไม่อยากยุ่งเรื่องนี้แล้วเขาก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเชื่อเขาง่าย ๆ แน่นอน แต่นั้นก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องผลเวอร์มิลเลี่ยนที่ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกมอบให้ชิวหนิงช่วงไปและเธอก็ได้กินมันไปแล้วด้วย ตราบใดที่ยังไม่มีใครรู้เขาเองก็จะไม่พูดอะไรให้อีกฝ่ายได้สงสัยเขาอีกและจะได้ไม่ทำให้เขาลำบากไปมากกว่านี้อีกด้วย
เพราะหากยิ่งมีคนรู้มากเท่าใดมันก็ยิ่งจะเป็นผลเสียกับตัวเขาเมื่อคิดดูแล้วคนอย่างผู้กำกับชิวไม่น่าเป็นคนจำพวกที่ชอบนินทา มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางก้าวมาถึงตำแหน่งในปัจจุบัน
”พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอคะ?”ในตอนนี้ชิวหนิงช่วงและแม่ของเธอได้เดินกลับมาแล้ว
”ผมกำลังพูดถึงลูกสาวของเราอยู่ว่าเธอเป็นที่นิยมและเป็นที่หมายปองในหมู่ผู้คนเป็นอย่างมากนะ”ผู้กำกับชิวกล่าวพลางหัวเราะ
”คุณพ่อพูดเรื่องอะไรคะ ไร้สาระน่ะ” ชิวหนิงช่วงรู้สึกเขินเล็กน้อยแต่ในขณะเดียวกันเธอก็แอบสังเกตท่าทีของฮวงเฟิงด้วยเช่นกัน แต่เธอกลับพบว่าฮวงเฟิงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและจากนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรอีกเลยซึ่งนั้นก็ทำให้เธอผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากที่รับประทานมื้อค่ำเสร็จผู้กำกับชิวได้ขอตัวกลับไปก่อนส่วนชิวหนิงช่วงเองก็กล่าวว่าเธอนอนโรงพยาบาลมาหลายวันแล้วจึงรู้สึกเบื่อมาก เธอจึงอยากจะไปเดินเล่นรอบ ๆ คนเดียว
“พ่อไม่ได้พูดอะไรกับคุณใช่ไหม” ชิวหนิงช่วงถามด้วยความกังวลเล็กน้อย
”ไม่นะ”ฮวงเฟิงส่ายหัว แต่จริง ๆ แล้วผู้กำกับชิวถามเขาเรื่องเกี่ยวกับผลเวอร์มิเลี่ยน
“แล้วเขาถามคุณเรื่องที่ป้อนผลไม้ฉันครั้งที่แล้วเหรอ?”ชิวหนิงช่วงกล่าว แต่เมื่อกล่าวจบใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยเพราะเธอจำได้ชัดเจนว่าเขาใช้วิธีอะไรป้อนเธอ
นั้นคือจูบแรกของชิวหนิงช่วงซึ่งมันได้ถูกขโมยไปโดยชายคนนี้และเรื่องนี้ก็ไม่สามารถไปตำหนิเขาได้ด้วยเพราะในสถานการณ์แบบนั้นนั่นเป็นวิธีเดียวที่ฮวงเฟิงทำเท่าที่จะช่วยได้แล้ว
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขารู้ว่าชิวหนิงช่วงเองก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอยู่ในใจเพราะเธอคงเคยจินตนาการว่าจูบแรกของเธอจะต้องเป็นกับผู้ชายที่เธอชอบแต่ความโรแมนติกนี้ก็ถูกพรากไปเสียแล้ว
ชิวหนิงช่วงมองไปที่ฮวงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งคำตอบที่รอเขาคิดอยู่ตรงกับความคิดของเธอเสียที
”ใช่”ฮวงเฟิงบอกชิวหนิงช่วงเรื่องที่เขาสนทนากับผู้กำกับชิว
โดยปกติชิวหนิงช่วงไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ฮวงเฟิงพูดเท่าไหร่นักแต่อย่างไรเธอก็ไม่เคยตั้งคำถามกลับ