กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 291-292
บทที่ 291 กลับมาที่โรงงาน
พวกเขาทั้งสองเดินไปรอบๆ ถนนเป็นเวลาสักพัก เนื่องจากชิวหนิงช่วงเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ดังนั้นร่างกายของเธอจึงยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ฮวงเฟิงจึงบอกให้เธอกลับไปก่อน เมื่อพวกเขาแยกกันกลับฮวงเฟิงจึงรีบไปโรงงานอีกครั้ง
”กลับมาแล้วเหรอผู้กำกับชิวก็กลับไปแล้วเหรอ?” กัวเหลียงพูดขณะที่เขามองไปที่ฮวงเฟิงที่เพิ่งกลับมา
”อืมหลังจากกินมื้อค่ำเสร็จเราจะแยกกัน” ฮวงเฟิงกล่าว
”พวกนายไปรู้จักคนอย่างผู้กำกับชิวได้ยังไงกัน?” กัวเหลียงกล่าวพร้อมมองไปที่เขามองไปที่ฮวงเฟิงอย่างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาคิดเรื่องนี้เป็นเวลานานแต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ
“ลูกสาวของเขาเป็นเพื่อนกับฉัน” ฮวงเฟิงไม่ได้พยายามปกปิดความจริงเรื่องนี้เนื่องจากไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง นอกจากนี้จากการที่พูดคุยกับชิวหนิงช่วงก่อนหน้านี้ เธอเองก็ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโรงงานแห่งนี้มากเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายที่อ่อนแอของเธอในวันนี้ เธอคงมาดูโรงงานกับเขาด้วยแล้ว
“เพื่อนเหรอ? เป็นแฟนไม่ได้เหรอ?” กัวเหลียงกล่าว
“นี่นายพูดเรื่องไร้สาระอะไร? พวกเราเป็นแค่เพื่อนกัน” ฮวงเฟิงพูดอย่างอารมณ์เสีย แต่เมื่อเขานึกย้อนกลับไปก็จำได้ว่าตอนที่พ่อแม่ของชิวหนิงช่วงคุยกับเขา พวกเขาก็มักจะถามคำถามส่วนตัวกับเขาเสมอและนั้นอาจเป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาเองก็คิดแบบเดียวกัน
”โอ้เป็นอย่างนั้นเองเหรอหรือ แต่ก็เอาเถอะ ฉันก็พูดในสิ่งที่ฉันเห็นแล้วอีกอย่างผู้กำกับชิวก็ค่อนข้างดีกับนาย” เมื่อได้ยินคำพูดของฮวงเฟิง เขาก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะเขาเองก็อยากให้ฮวงเฟิงกับกัวเมิ่งหานเป็นแฟนกัน แต่เขาเพียงคิดไม่ถึงว่ามาก่อนว่าผู้หญิงที่อยู่รอบตัวฮวงเฟิงนั้นฐานะของแต่ละคนนั้นไม่ได้ธรรมดาเลย ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายของเขาหรือแม้กระทั่งลูกสาวของผู้กำกับชิว แม้ว่าสุดท้ายมันจะเป็นไปได้ยากที่พวกเธอเหล่านี้จะมามีส่วนเกี่ยวข้องกับฮวงเฟิงแต่ยังไงกัวเหลียงก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
”ฉันอยากจะให้หรูหรานถามความรู้สึกของเมิ่งหานว่าเธอคิดอะไรเพราะถ้าเธอมีความรู้สึกดีๆ ต่อฮวงเฟิง เธอก็ควรจะเริ่มแสดงออกบ้างได้แล้ว” กัวเหลียงคิด
”นั่นเป็นเพราะฉันเคยช่วยลูกสาวของเขาไง”ฮวงเฟิงกล่าวและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการให้คนอื่นคิดถึงแต่ประเด็นนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อว่า
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องพวกนี้ก่อนเลยฝ่ายการผลิตไปถึงไหนแล้ว?”
“ทุกอย่างปกติดี” กัวเหลียงกล่าว: “แบบพิมพ์เขียวของนายอันนี้ไม่เพียงแต่จะใช้ต้นทุนต่ำเท่านั้น แต่ความเร็วในการผลิตยังเร็วมากอีกเท่าตัว ฉันประเมินได้ว่าในช่วงบ่ายก่อนที่เราจะเลิกงาน เราจะได้เห็นเครื่องบำบัดน้ำเสียชิ้นแรกและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คนงานของเราเป็นคนผลิตแม้ว่าพวกเราจะไม่เคยผลิตมาก่อนก็ตาม”
กัวเหลียงพอใจกับความเร็วในการผลิตครั้งนี้มากแม้คนงานในโรงงานจะยังไม่คุ้นเคยกับความเร็วในการผลิตครั้งนี้ก็ตามอีกอย่างพวกเขาไม่ได้มีจำนวนคนงานที่นี่มากนักมันจึงส่งผลให้อัตราการผลิตน้อยตามไปด้วย แต่สำหรับพวกเขาแล้วการที่ได้ผลลัพธ์เร็วทั้ง ๆ ที่จำนวนคนงานน้อยเช่นนี้ เขาก็พอใจแล้ว
ความเร็วในการผลิตครั้งนี้ทั้งไม่ช้าทั้งต้นทุนไม่สูงและหากประสิทธิดีตรงตามที่ฮวงเฟิงกล่าวไว้จริงๆ ของสิ่งนี้จะเป็นผลิตภัตฑ์ที่ยอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตามยังไงพวกเขาก็ต้องทดสอบของสิ่งนี้ด้วยตัวเองก่อนและต้องรู้ผลก่อนเลิกงานในวันนี้ด้วยไม่เช่นนั้นคนอื่น ๆ คงไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะใช้งานได้ดีจริง
ฮวงเฟิงค่อนข้างพอใจกับความเร็วในการผลิตของเขาแต่แน่นอนว่าเขายังไม่พอใจมากนักเพราะเมื่อเปิดตลาดแล้วเขาจะต้องเพิ่มการผลิตขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน
”มาเถอะไปดูกัน” แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่อุปโลกข์จากการแนะนำของกล่องจักวาล แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มต้นธุรกิจ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ตื่นเต้น
แน่นอนกัวเหลียงก็เข้าใจความคิดของฮวงเฟิงเช่นกันความจริงเขาเองก็อยู่ในโรงงานตลอดเวลาก่อนที่ฮวงเฟิงจะกลับมาเสียอีก ถึงเขาจะทำอะไรได้ไม่ค่อยมากแม้ว่าอยากจะทำแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้สภาพแวดล้อมรอบโรงงานก็ไม่ค่อยดีนัก เขาจึงไม่อยากจะออกไปเช่นกัน
ในขณะที่ฮวงเฟิงและกัวเหลียงกำลังดูอุปกรณ์ยังชีพของคนงานในโรงงานอยู่ชิวหนิงช่วงก็กลับถึงบ้านพอดีและได้พบกับแม่ที่กลับมาก่อนแล้ว ส่วนผู้กำกับชิวมีธุระที่ต้องออกไปทำข้างนอก ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงงสองสาวสองแม่ลูกอยู่คฤหาสน์ชิวเพียงสองคน
”กลับมาแล้วเหรอ?แม่คิดว่าลูกจะไปหาอะไรกินต่อกับฮวงเฟิงเสียอีก?” แม่ของชิวหนิงช่วงถามด้วยรอยยิ้ม
”เขาบอกว่าหนูเพิ่งออกจากโรงพยาบาลควรจะกลับไปพักผ่อนก่อนเขาเลยมาส่งหนูกลับบ้านค่ะ” ชิวหนิงช่วงนั่งลงบนโซฟาพลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนักและเห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่ต้องการกลับมาบ้านก่อนนัก
“แต่นั่นก็เพื่อตัวของลูกเองนะ” แม่ของชิวหนิงช่วงกล่าว เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยแล้ว แม่ของชิวหนิงช่วงจึงตัดสินใจคุยเรื่องฮวงเฟิงกับลูกของเธอ
”ที่นี่ไม่มีคนอื่นแล้วบอกแม่ได้ไหมว่าลูกคิดยังไงกับเฟิง” แม่ของชิวหนิงช่วงถาม
เมื่อชิวหนิงช่วงได้ยินเช่นนั้นเธอก็เกิดอาการเขินเล็กน้อยนี่เธอแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยหรือ?
“ไม่ต้องเขินไปแม่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย ” แม่ของชิวหนิงช่วงกล่าว
”แม่คะหนูคิดว่าหนูมีความรู้สึกดี ๆ กับเขาค่ะ” แม้ว่าชิวหนิงช่วงจะรู้สึกเขินอายเล็กน้อยแต่เธอก็ยังยอมรับมัน
“แล้วเขาคิดยังไงกับลูกล่ะ?”แม่ของชิวหนิงช่วงถามต่อ
ความจริงหลังจากที่พ่อและแม่ของชิวหนิงช่วงแยกตัวออกมาจากชิวหนิงช่วงและฮวงเฟิงพวกเขาทั้งสองแยกออกมาเพื่อคุยเรื่องความสัมพันธ์ของลูกสาวตนกับฮวงเฟิงไม่มีทางเป็นเรื่องอื่นเป็นแน่
จากการสังเกตของทั้งพ่อและแม่ของชิวหนิงช่วงก่อนหน้านี้พวกเขาตระหนักได้ว่าลูกสาวของพวกเขานั้นดูชอบฮวงเฟิงมากแต่ดูเหมือนว่าฮวงเฟิงจะปฏิบัติกับเธอในฐานะเพื่อนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลว่าลูกสาวของพวกเขาอาจต้องเจ็บปวดจากความรักครั้งนี้ได้
ในเมื่อพ่อและแม่ของชิวหนิงช่วงทราบแล้วว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับฮวงเฟิงและแน่นอนว่าความรู้สึกที่มีนั้นก็มากเสียอีกด้วยแต่เมื่อเธอได้ยินคำถามของผู้เป็นแม่ ก็ทำให้รู้กสึกเศร้าใจเล็กน้อย: “เขาคงมองหนูเป็นแค่เพื่อนธรรมดาคนหนึ่ง”
แม่ของชิวหนิงช่วงถามต่อว่า”แล้วลูกคิดอย่างไงล่ะ?”
“หนูไม่มีทางยอมแพ้แน่นอนค่ะ!” ชิวหนิงช่วงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
”อื้มต้องแบบนี้สิลูกสาวแม่ ในเมื่อเป็นความสุขของลูก แม่ก็จะไม่ห้าม” แม่ของชิวหนิงช่วงกล่าวด้วยรอยยิ้ม จริงๆ แล้วทั้งตัวเธอและผู้กำกับชิวเองแม้จะกลัวว่าลูกสาวตนอาจต้องเสียใจในภายหลัง แต่ตราบใดที่ตอนนี้ลูกสาวของพวกเขาทำแล้วมีความสุข พวกเขาก็จะตามใจเธอ
ในตอนแรกทั้งพ่อและแม่ของชิวหนิงช่วงไม่เชื่อว่าลูกสาวตนจะชอบคนฐานะเช่นนี้ซึ่งเป็นคนที่ไม่แม้แต่จะสามารถคว้าดอกฟ้าอย่างหนิงช่วงมาได้ด้วยซ้ำแต่ในเมื่อเห็นความมุ่งมั่นของลูกสาวตัวเองแล้ว พวกเขาจึงไม่คิดห้ามและให้การสนับสนุนแทน อีกทั้งไม่ว่าชายคนนั้นจะมีฐานะเช่นไรพวกเขาก็ยินดีเปิดในและไม่คิดรังเกียจด้วย
ด้วยการสนับสนุนและกำลังใจจากทั้งพ่อแม่ของเธอตอนนี้จึงทำให้ชิวหนิงช่วงมีกำลังใจอย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าเธอเองจะยังคงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อนึกถึงว่าจะต้องเริ่มรุกฮวงเฟิงแล้ว แต่ในเมื่อได้รับทั้งการสนับสนุนและกำลังใจจากพ่อแม่ขนาดนี้แล้ว เธอจึงคิดได้ว่าไม่มีเวลาที่จะต้องอายอีกต่อไปแล้ว
ในขณะที่ฮวงเฟิงเองก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้มีหัวใจของผู้หญิงอีกคนหนึ่งมาอยู่ที่เขาแล้วในระหว่างที่เขากำลังมุ่นอยู่กับเครื่องบำบัดน้ำเสียเครื่องแรกอย่างใจจดใจจ่อ
บทที่ 292 ลงโทษ
เพล๊ง!
เสียงแก้วแตกดังขึ้นจนทำเหล่าคนรับใช้ที่อยู่ด้านนอกของห้องต่างหดคอกลับโดยไม่รู้ตัวด้วยความตกใจพวกเขาต่างไม่รู้ว่า ท่านผู้นำของพวกเขาพาแก้วแตกไปกี่ใบแล้ว
”ไอ้ลูกอกตัญญูคุกเข่าลง!” โอวหยางเทียนตะคอกใส่ลูกชาย เสียงตะคอกนั้นดังจนทำให้โอวหยางซิงเหวินรู้สึกเจ็บไปถึงแก้วหู
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นท่านพ่อโกรธถึงขนาดนี้และมันก็ทำให้เขาถึงกับเข่าอ่อนจนต้องคุกเข่าลงกับพื้นตามสัญชาตญาณหลังจากที่มีปฏิกิริยาแบบนั้นไป แม้ในใจเขาอยากจะลุกขึ้นเพียงใดแต่ภายใต้สายตาที่โกรธเกรี้ยวของคนผู้เป็นพ่อที่กำลังจับจ้องมาที่เขานั้น มันทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นอีกเลย
“ไอ้ลูกอกตัญญูยังจะหน้าด้านอยู่อีกหรือ?” โอวหยางเทียนดูโกรธมากเมื่อเห็นว่าลูกชายของตนตอนนี้ดูเหมือนจะยังไม่รู้ความผิดของตัวเองและนั้นก็ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อโมโหยิ่งขึ้นทันที เขาเตะโอวหยางซิงเหวินด้วยความโกรธจนร่างของลูกชายเขาล้มกลิ้งไปกับพื้นสองถึงสามรอบก่อนที่จะหยุดลง
”ท่านพ่อมีสิทธิ์อะไรมาเตะข้า?!”โอวหยางซิงเหวินตะโกนออกไปด้วยความไม่พอใจ
”ทำไม?ข้าจะบอกแกให้รู้ว่าทำไม ดูสิ่งที่แกทำลงไปสิ!” เสียงที่ตะโกนกลับมาจากโอวหยางซิงเหวินไม่เพียงแต่จะไม่สามารถระงับโทสะของคนผู้เป็นพ่อลงได้ แต่กลับทำให้พ่อเขาโกรธยิ่งกว่าเดิม ผู้เป็นพ่อก้าวเข้ามาหาลูกชายสองก้าวจากนั้นก็เตะเข้าไปที่ลูกชายที่เพิ่งจะลุกขึ้นมานั่งได้จนต้องล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง ท่าทางที่ดูไม่ได้ของโอวหยางซิงเหวินในเวลานี้ยิ่งทำใหเขารู้สึกสังเวชใจในตัวลูกชายเข้าไปอีก
ตอนนี้ท่านผู้นำกำลังโกรธนายน้อยคงต้องโมโหหลังจากที่โดนทุบตีแน่ ตอนนี้เนื่องด้วยเจ้านายทั้งสองต่างอยู่ในอารมณ์โกรธด้วยกันทั้งคู่ เหล่าบรรดาคนรับใช้ต่างกลัวว่าเจ้านายของพวกเขาจะมาระบายอารมณ์ใส่ เช่นนั้น พวกเขาจึงรีบหาอะไรทำสักอย่าง
โอวหยางเทียนมีเหตุผลที่จะโกรธไม่นานมานี้เขามีธุระและต้องออกไปร่วมงานข้างนอกเพียงแค่ไม่กี่วัน เมื่อกลับว่าก็พบว่าเจ้าลูกชายตัวดีกลับสร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งตัวเขาและครอบครัวเป็นอย่างมาก
กองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดเป็นหนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้างคลาสBซึ่งมีเพียงไม่กี่กลุ่มของทั้งหมดในจักรวรรดิจันทร์สีเลือดซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเดิมทีต่างมีพลังที่แข็งแกร่งอยู่แล้วและถึงแม้ว่าครอบครัวของโอวหยางจะเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเฮ่าเทียน แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่แค่ในเฉพาะเมืองเฮ่าเทียนเท่านั้น
และความแข็งแกร่งของตระกูลโอวหยางนั้นถือว่ายังขาดคุณสมบัติไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดสุดท้ายแล้วแม้ว่าตระกูลของเขาจะเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเฮ่าเทียนเนื่องด้วยเหตุผลที่มีอิทธิต่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจส่วนหนึ่งและมีเครือข่ายอำนาจในเมืองส่วนหนึ่ง
โดยปกติแล้วถ้าผู้นำกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดผ่านเมืองสวรรค์ล้ำลึกเขาย่อมไม่สร้างปัญหาให้ตัวเองต้องเดือดร้อนแน่นอน
หากให้พูดตามความเป็นจริงโอวหยางเทียนเคยเจอกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดพวกนี้ในป่าแห่งหมอกและนอกจากนี้เขาเองก็ต้องการของล้ำค่าบางสิ่งจากกองทหารนั้นด้วย แต่ไม่ว่าเขาจะต้องการมันมากเพียงใด เขาก็ไม่เคยสามารถนำของสิ่งนั้นมาครอบครองได้ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่โอวหยางเทียนไม่ได้คาดว่าเหตุการณ์จะจบเช่นนี้ หากอีกฝ่ายเป็นกลุ่มทหารไร้นามคลาส D หรือคลาส E โอวหยางซิงเหวินคงจะทำได้ดีกว่านี้
อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายเป็นถึงกลุ่มทหารรับจ้างคลาส B ของกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาด จึงทำให้โอวหยางเทียนไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องกองทหารพวกนั้น
เดิมทีตั้งแต่ที่โอวหยางเทียนออกไปทำธุระและกลับมาเขาเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่เนื่องจากลูกน้องของเขาได้นำเรื่องนี้มารายงานกับเขาทันทีที่กลับมาว่าคนในครอบครัวของเขาโดนบุคคลหนึ่งตามฆ่าไปทีละคนๆ โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะปิดบังตัวตนอีกด้วย อีกทั้งยังเปิดเผยอีกว่า พวกเขามาที่นี่เพื่อมาแก้แค้นตระกูลโอวหยาง
ในเบื้องต้นเขาคิดจะส่งคนไปแจ้งและอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เข้าใจผิดระหว่างกันนี้ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะวุ่นวายไปไกลว่าที่คิดเนื่องจากเขาได้รับรายงานจากผู้คุมว่า ฝ่ายเขาได้ยกพวกไปตีกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดกับนายน้อยมาเมื่อไม่กี่คืนที่ผ่านมา อีกทั้งได้สังหารผู้คุมของอีกฝ่ายไปประมาณสองสามคน
หลังจากที่โอวหยางเทียนได้ยินเรื่องนี้เขาก็โกรธทันทีและเรียกให้โอวหยางซิงเหวินซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างทำสมาธิ เขาไม่คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้จะดื้อดึงไม่ยอมรับและไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า เขาจะทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนไปอีกถึงไหนกัน
”นี่แกรู้รึเปล่าว่าทำพลาดอะไรไป?”โอวหยางเทียนพูดกระแทกเสียง
”ข้ารู้ข้ารู้แล้วขอรับ” โอวหยางเทียนรีบกล่าว
เดิมทีเขาคิดว่าพ่อคงจะทำเหมือนปกติทุกครั้งเพราะไม่ว่าเขาทำผิดพลาดอะไรมาอย่างมากก็แค่ทุบตีเขาเล็กน้อยไม่ก็ลงโทษแต่ไม่ถึงขั้นทำให้บาดเจ็บ แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเดาผิดไปเพราะตอนนี้เขากำลังถูกพ่อตัวเองอัดจนดูเหมือนอยากจะให้เขาตายจริงๆ
“ข้ารู้ ข้ารู้ว่าแกไม่เสียใจที่ทำแบบนั้นลงไปหรอก!” ความโกรธในใจของโอวหยางเทียนยังไม่บรรเทาลงแม้แต่น้อย หลังจากที่เตะลูกชายไปสองสามครั้งเขาจึงค่อยนั่งลงและมองไปที่ลูกชายตัวดีที่ตอนนี้เหมือนปลาที่นอนตายอยู่บนพื้น ยิ่งเขามองเขาก็ยิ่งโมโหยิ่งขึ้นไปอีก
เศษแก้วชาที่ถูกปาลงพื้นจนไม่เหลือชิ้นดีกระเด็นไปโดนใบหน้าของโอวหยางซิงเหวินจนเกิดเป็นรอยแผลเล็กๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้โอวหยางซิงเหวินยังไม่กล้าพูดอะไรออกไปเพราะเขากลัวจะทำให้พ่อของตนกลับมาอารมณ์เสียและอัดเขาอีกรอบ
“ใครสั่งใครสอนให้แกหน้าด้านได้ขนาดนี้ห๊า! กล้าฆ่าแม้กระทั้งคนของกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาด เหอะ และที่ยิ่งไปกว่านั้นแกไม่ได้ฆ่าพวกมันทุกคน แต่ยังวิ่งหนีกลับไปได้คนเดียวอีก แกนี่มันเศษสวะจริง ๆ !” “โอวหยางเทียนพูดสาปส่งอย่างโกรธเกรี้ยว
ความจริงหากโอวหยางซิงเหวินสามารถฆ่าทุกคนในกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดได้และหาวิธีไม่ให้ข่าวนี้แพร่ออกไป เรื่องก็คงจะไม่ลงเอยเช่นนี้ แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ได้ทำบางอย่างกับกองทหารพวกนั้นและเป็นอะไรที่ชั่วร้ายอีกด้วย
“ข้าก็ไม่ได้หวังจะให้เป็นแบบนี้สักหน่อย” โอวหยางซิงเหวินกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“แกยังจะกล้าพูดแบบนี้อีกหรือ!” โอวหยางเทียนมีทีท่าจะกลับมาโกรธอีกครั้ง โอวหยางซิงเหวินจึงหดคอกลับและไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ข้าส่งคนไปไกล่เกลี่ยแล้วอีกฝ่ายต้องเรียกร้องอะไรมาแน่นอน แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เรียกร้องจนเกินไปนะ” โอวหยางเทียนกล่าว ตอนนี้เขายังไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่ายที่ถูกโอวหยางซิงเหวินฆ่าไปว่าคือใครกันแน่ ในตอนแรกเขาคิดว่าคนถูกฆ่าไปนั้นน่าจะเป็นเพียงลูกปลาสองสามตัวที่ไม่น่ามีความสำคัญอะไร แต่ในเมื่อข่าวได้แพร่กระจายออกไปแล้วและอีกฝ่ายก็โกรธที่คนของฝ่ายตนถูกฆ่า อีกทั้งยังถูกขโมยของบางสิ่งไปอีกด้วย ดังนั้น พวกเขาจึงกลับมาแก้แค้น
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของตระกูลโอวหยางเช่นนั้นอีกฝ่ายจะต้องกลบัมาทวงคืนความเป็นธรรมจากเขาอย่างแน่นอนและตอนนี้โอวหยางเทียนได้เพียงแต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เรียกร้องมากเกินไป มิเช่นนั้นมันก็จะเหมือนเป็นการเสียเกียรติและศักดิ์ศรี แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ก็ตาม
”โอ้ใช่ของที่แกขโมยมาอยู่ไหนล่ะ? เอามาให้ข้าดูสิ” โอวหยางเทียนรู้ว่าตอนนี้ยังหาผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์วุ่นวายนี้ไม่ได้