กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 297 -298
บทที่ 297 หักหลัง
“โอหยางซิงเหวิน มีอะไรจะพูดไหม!”
ในบรรดาพวกเขาทั้งหมดโอวหยางซิงเหวินเป็นคนที่ปาร์คเกอร์อยากจะกำจัดมากที่สุดหลังจากที่ผลเวอร์มิลเลี่ยนถูกพรากไปจากมือเขาก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นเหตุการณ์ที่โอวหยางซิงเหวินนำคนมาซุ่มโจมตีและสังหารพวกพ้องฝ่ายปาร์เกอร์ด้วยตัวเองอีกด้วย
เพียงแต่ว่าในเวลานั้นอีกฝ่ายซุ่มโจมตีกะทันหันเกินไปและเห็นได้ชัดว่าได้เปรียบในเรื่องจำนวนคนอีกด้วย ดังนั้นฝ่ายกองมหารจึงแพ้ แต่ตอนี้จำนวนของคนทั้งสองฝ่ายถือว่าไม่ต่างกันมากนัก ปาร์คเกอร์จึงไม่คิดว่าเขาจะต้องแพ้อีกครั้งแน่ อีกอย่างเขาต้องการคิดบัญชีแค้นให้กับสหายของฝ่ายเขาที่ตายจากไปด้วย
“ท่านผู้นำตระกูลโอวหยาง ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เมื่อเห็นว่าผู้รับใช้ของเขาต่างทำงานกันอย่างเต็มที่ แม้ว่าเขาจะไม่ยินดีที่จะเป็นคนเปิดการต่อสู้ในครั้งนี้แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเผชิญหน้ากับมัน ดังนั้น ตอนนี้ปาร์คเกอร์จึงถามโอวหยางเทียนเรื่องที่คนรับใช้ฝ่ายเขาพูด
โอวหยางเทียนจ้องไปที่ซุ่นจื้อด้วยแววตาที่เย็นชาหากไม่ใช่เพราะคนอื่น ๆ และยังมีเรื่องที่ต้องสะสางเขาคงจะฆ่าซุ่นจื้อให้ตายตรงนี้ไปแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้เพราะหากเขาทำเช่นนั้น สถานการณ์ก็จะยิ่งแย่ลง
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฆ่าซุ่นจื้อได้ในตอนนี้แต่เขาก็คาดโทษไว้ในใจแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาอยากจะให้เรื่องนี้จบโดยเร็วที่สุด
เขาต้องการรอให้เรื่องของวันนี้สิ้นสุดลงไม่ว่าจะยังไงก็ตามเขาต้องดูแลสิ่งนี้ที่กินเขาออกไปก่อนแต่สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือตำหนิคนของฝ่ายตนเสียก่อน
นอกจากนี้โอวหยางเทียนไม่เข้าใจว่าทำไมซุ่นจื้อถึงพูดเช่นนั้นออกมาเนื่องจากซุ่นจื้อเป็นคนรับใช้ของครอบครัวเขา เช่นนั้นก็ควรจะคิดเผื่อคนฝ่ายตนไว้บ้าง แต่สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่นั้นเขากลับไม่ได้คำนึงถึงเจ้านายของตนเลยแต่ไม่ว่าโอวหยางซิงเหวินจะเป็นคนเอาผลเวอร์มิลเลี่ยนไปหรือไม่ก็ตาม อีกฝ่ายก็เข้าใจไปแล้วว่าฝ่ายเขาเป็นคนที่ขโมยไปและถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็เท่ากับว่าตระกูลของพวกเขาเป็นผู้หลอกลวง
“เป็นไปได้ไหมที่ไอระยำนั่นอีกฝ่ายติดสินบนมัน” โอวหยางเทียนคิดในใจ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็สงสัยไม่ต่างกัน
แน่นอนว่าไม่ว่าด้วยเหตุผลใดที่ทำให้ซุ่นจื้อขายตระกูลของเขาออกไปโอวหยางเทียนค่อยกลับไปชำระความภายหลังเพราะตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเรื่องนี้
“กัปตันปาร์คเกอร์พวกเราไม่ได้เอาผลเวอร์มิลเลี่ยนไปจริง ๆ ส่วนเรื่องที่คนใช้บัดซบนั้นพูด ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน” โอวหยางเทียนกล่าวกับปาร์คเกอร์
ในขณะเดียวกันโอวหยางเทียนก็คิดสงสัยอยู่ในใจเช่นกันว่าลูกชายตนจะขโมยผลเวอร์มิลเลี่ยนไปจริงๆ แถมยังกล้าหลอกเขาอีกหรือ? แต่ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเช่นไรและไม่ว่าจะต้องเจออะไรก็ตามเขาก็ต้องปกป้องลูกชายของตัวเอง
“ไม่รู้หรอ เขาเป็นคนของตระกูลเจ้าและถึงแม้เขาจะยอมรับ เจ้าก็ยังจะปฏิเสธอีกใช่ไหม? “ปาร์คเกอร์กล่าว
”กัปตันไม่ต้องพูดอะไรกับพวกมันแล้ว ตอนนี้ก็เห็นชัด ๆ แล้ว่าพวกมันขโมยผลเวอร์มิลเลี่ยนไป แถมตอนนี้ผลเวอร์มิลเลี่ยนก็หายไปอีก ถ้าพวกมันไม่ได้เอาไปแล้วจะเป็นใครกันล่ะ? ผลเวอร์มิลเลี่ยนมันลอยหายไปเองอย่างงั้นหรือ? ” คิดได้แค่นั้นก็ถือว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว ผลเวอร์มิลเลี่ยนจะลอยหายไปเองได้อย่างไร
“ใช่แล้วกัปตัน ทำไมเจ้ายังยอมเสียเวลาให้กับพวกมันอยู่อีก พวกมันหลอกพวกรา! ถ้าเราให้สั่งสอนมันตอนนี้ ในอนาคตพวกเราอาจถูกพวกหมูพวกหมาที่ไหนไม่รู้รังแกเอาได้!”
”ใช่ถ้าพวกมันไม่ยอมคืนพวกเรามาแต่โดยดี พวกเราก็จะสู้จนกว่าพวกมันจะคืนให้”
ผู้คนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดต้องส่งเสียงโห่ร้องพวกเขาต่างโกรธไม่แพ้กันเนื่องจากมันทำให้ชีวิตพวกเขาไม่สงบสุข สหายของพวกเขาก็ถูกสังหารอักทั้งของของพวกเขายังถูกปล้นไปอีกและที่ยิ่งไปว่านั้นอีกฝ่ายยังมีหน้ามาพูดจาหลอกลวงไร้สาระและไม่ยอมรับในสิ่งที่ทำ เช่นนั้น คนจากกองทหารจึงโกรธมาก
”ไอ่ห่าแกเรียกใครว่าพวกหมูพวกหมานะ!?”
”นี่แกกล้าพูดเช*ยๆ แบบนี้ได้ไง”
ผู้คุมฝ่ายโอวหยางเทียนที่ยืนอยู่ก็ทนไม่ได้เช่นกันตระกูลโอวหยางเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเฮ่าเทียน เมื่อถูกว่ากล่าวต่อหน้าจึงย่อมไม่สามารถยอมรับได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังกล้ามาดูถูกทหารฝ่ายโอวหยางที่เคยทำให้อีกฝ่ายเคยลิ้มรสคมดาบมาแล้วอีกด้วย
แม้ว่าโอวหยางเทียนและปาร์คเกอร์อยากจะหยุดคนของฝ่ายตนแต่พวกเขาก็ไม่อาจทำได้เพราะไม่รู้ว่าใครโวยวายถึงเรื่องนี้เป็นคนแรกจนเกิดความโกลาหลเช่นนี้ตอนนี้ทุกคนต่างพากันโวยวาย โอวหยางเทียนที่ต้องการจะยุติเรื่องราวทั้งหมดนี้ด้วยการเจราจาอย่างสันติแต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำเช่นนั้นต่อไปไม่ได้และไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากต้องเผชิญกับมัน เพราะหากใช้วิธีการเดิมก็จะทำให้สถาณการณ์เกิดความโกลาหลยิ่งกว่าเดิม
เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชเสียงโต๊ะและเก้าอี้ที่ถูกทำลายและเสียงของอาวุธที่ปะทะกันทำให้คนที่เหลือในโรงเตี๊ยมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในขณะนั้นโอวหยางซิงเหวินและซุ่นจื้อพวกเขาทั้งสองได้พบที่ซ่อนในช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกันโดยซุ่นจื้อได้ใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้วิ่งหนีออกจากโรงเตี๊ยม เขารู้ว่าคำพูดของเขาก่อนหน้านี้จะนำเข้าไปสู่สิ่งใด ดังนั้นก่อนที่คู่พ่อลูกจะกลับมาเล่นงานเขา เขาจึงต้องรีบหนีไปให้โดยเร็วที่สุดไม่เช่นนั้น เขาอาจไม่สามารถรักษาชีวิตน้อย ๆ ของเขาเอาไว้ได้
ส่วนโอวหยางซิงเหวินก็ตามหาซุ่นจื้อเพื่อจะถามว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้เขาโง่หรือเมื่อเช้าหัวโขกพื้นหรืออย่างไร? อย่างไรก็ตามตอนนี้โอวหยางซิงเหวินที่ตามหาอยู่นานกลับไม่พบร่างของซุ่นจื้อเลย เป็นไปได้ว่าสหายของเขาคนนี้จะหนีไปเสียแล้ว โอวหยางซิงเหวินเองก็อยากหนีตามไปด้วยเช่นกันแต่ทั้งพ่อและผู้คุมของเขาต่างยังอยู่ที่นี่
ส่วนทางด้านของซุ่นจื้ออีกฝ่ายกลับคิดว่าตัวเองค่อนข้างฉลาดทีเดียวเพราะหลังจากที่ได้รู้ความคิดของโอวหยางซิงเหวินที่มีต่อหวังเอ้อก่อนหน้านี้จึงกลัวว่าโอวหยางซิงเหวินจะทำกับเขาแบบเดียวกัน เขาจึงคิดออกห่างจากตระกูลโอวหยางและยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมที่ทำให้สุดท้ายเขาต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ ดังนั้น การที่ได้อยู่เคียงข้างโอวหยางซิงเหวินมันจึงทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย
ย้อนกลับไปเมื่อเหตุการที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนเขาได้พบกับอันจื้อชิง อันจื้อชิงเห็นว่าเขาดูวิตกกังวลเป็นอย่างมากจึงได้ถามไถ่ถึงเรื่องราวที่ทำให้วิตก ในเวลานั้นซุ่นจื้อได้เล่าในสิ่งที่เขาคิดแต่เมื่อเขาพูดจบเขาก็นึกรู้เสียใจในภายหลังเพราะทั้งอันจื้อชิงและโอวหยางซิงเหวินต่างเป็นเพื่อนของเขา อันจื้อชิงไม่เพียงแต่จะไม่บ่นเขา แต่กลับยื่นเงื่อนไขบางอย่างเพื่อแลกกับการที่จะช่วยตนแทน
บทที่ 298 สถานการณ์บีบบังคับ
เงื่อนไขของอันจื้อชิงก็คือหากมีโอกาสที่จะสามารถทำลายตระกูลโอวหยางได้เมื่อใดก็ขอให้ปล่อยเขาได้ใช้โอกาสนั้น ยิ่งเขามำลายตระกูลโอวหยางมากเพียงใดมันก็จะเป็นประโยชน์แกอันจื้อชิงมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งแม้ว่าซุ่นจื้อจะเคลือบแคลงใจอยู่ไม่น้อยเลยว่าถ้าเขาเป็นเพื่อนที่ดีจริงทำไมถึงได้ยื่นเงื่อนไขมาเช่นนี้แต่ซุ่นจื้อก็ไม่สนใจเพราะสุดท้ายเขาก็เป็นเพียงแค่คนรับใช้ เขาจะสนใจเรื่องนายน้อยของเขาไปทำไมกัน?
แม้ว่าเขาจะยอมรับเงื่อนไขของอันจื้อชิงแต่ในใจลึกๆ ของซุ่นจื้อกลับรู้สึกลังเลอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าโอกาสที่เขาพูดถึงนั้นมันเมื่อไหร่และเขาจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนกัน สุดท้ายเขากลับคาดไม่ถึงว่าโอกาสที่ว่านั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ซึ่งก็คือเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาที่เกิดเรื่องเข้าใจผิดกันระหว่างสองฝ่ายที่ต่างโง่เขลาไม่ต่างกันและพวกเขาก็พยายามอย่างหนักที่จะไม่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ในนาทีนั้นอยู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของซุ่นจื้อจากนั้นเขาจึงได้พูดประโยคดังกล่าวไป นอกจากนั้นผลที่ได้รับคาดไม่ถึงว่าจะออกมาดีถึงเพียงนี้ถึงขนาดทำให้ในที่สุดทั้งสองฝ่ายต่างไม่สามารถควบคุมอารมณ์และตนเองได้อีกต่อไป
แม้ว่าคนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดจะเคยสู้กับคนของตระกูลโอวหยางมาก่อนแต่ตอนนี้เป็นเพียงความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งคนจากฝ่ายกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดได้สังหารคนของฝ่ายตระกูลโอวหยางก็เป็นเพียงคนรับใช้ธรรมดา ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บเรื่องนี้มาเป็นกังวล
แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไปเนื่องจากคนของทั้งสองฝ่ายที่มากันในครั้งนี้ต่างแข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่หากพวกเขาต่อสู้กันต่างฝ่ายคงไม่ยอมให้กันเป็นแน่
แน่นอนว่าซุ่นจื้อรู้ว่าเขาอาจถูกลงโทษในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปในครั้งนี้ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสในช่วงชลมุนหนีไปเพราะตระกูลโอวหยางในตอนนั้นคงมุ่นอยู่กับอีกฝ่ายและที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเขามีความคิดที่จะทำเช่นนี้มาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้เข้าหาอันจื้อชิง
ในขณะที่ซุ่นจื้อกำลังฝันหวานถึงตัวเองในอนาคตโดยที่ลืมผู้ที่มาก่อนอย่างหวังเอ้อว่ายังอยู่ที่นี่ด้วยเพราะฉะนั้นชีวิตของเขาคงจะไม่สวยงามอย่างที่ฝันไว้แต่จะโหดร้ายมากกว่าการตายเสียอีก
ความวุ่นวายในร้านอาหารยังคงดำเนินต่อไปมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมีการตายเกิดขึ้นและนั้นจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มโกรธยิ่งขึ้น
“นี่เจ้าจะวิ่งหนีไปไหน?!”ในบรรดาคนทั้งหมดในตอนนี้ คนที่เขาเกลียดมากที่สุดก็คือโอวหยางซิงเหวินเพราะซิงเหวินนำคนมาสังหารเพื่อนของเขาและเกือบจะฆ่าเขาตายด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของโอวหยางซิงเหวินเขาก็ถึงกับสะดุ้งจนต้องหันกลับไปตามสัญชาตญาณและก็พบว่ามีชายร่างใหญ่ยืนอยู่ข้างหลังเขาและกำลังยกดาบลมปราณขึ้นมาพร้อมพุ่งไปที่เขา
หน้าของโอวหยางซิงเหวินเปลี่ยนไปในทันทีร่างของเขาล้มกลิ้งไปกับพื้นเพื่อหลบคมดาบลปราณที่พุ่งมาทางโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ เขาโดยสัญชาตญาณแต่ขาทั้งสองข้างของเขานั้นได้หักเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะฆ่าตนโอวหยางซิงเหวินจึงรีบตะโกนออกไปว่า”พ่อ ช่วยลูกด้วย!”
โอวหยางเทียนซึ่งอยู่ด้านหน้ากำลังสู้อยู่กับกัปตันปาร์คเกอร์ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของกัปตันปาร์เกอร์จึงยังทำให้ถึงตอนนี้ยังคงสู้ไม่ถอยมิเช่นนั้นเขาคงไม่สามารถขึ้นมาเป็นกัปตันของกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดได้ ส่วนทางด้านของโอวหยางเทียนหลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนของลูกชายเขาก็หันไปมองตามเสียงโดยที่ไม่รู้ตัวและเมื่อพบว่าลูกชายตนกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจึงคิดที่จะไปช่วยลูกชายในทันที
สำหรับปาร์คเกอร์นั้นแม้เขาเป็นกัปตันของกองทหารรับจ้างและออกปฏิบัติภารกิจทุกรูปแบบมาเป็นเวลานาน แต่ใครจะไปรู้กันว่าเขาไปที่ป่าแห่งหมอกทุกปี
“โอกาสนี่ล่ะ!”แววตาของกัปตันปาร์คเกอร์ลุกโชน เขายกดาบยาวที่อยู่ในมือเล็งไปที่โอวหยางเทียนอย่างรวดเร็วซึ่งดาบลมปราณได้กวัดแกว่งผ่านอากาศและโจมตีไปที่โอวหยางเทียนจนไม่สามารถมองตามทัน
ช่วงสถานการณ์แบบนี้ถือได้ว่าโอวหยางเทียนทั้งได้เปรียบและเสียเปรียบในเวลาเดียวกันเพราะเขาสามารถป้องกันตัวเองจากคมดาบของศัตรูได้แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้กลับได้ดีเท่าที่ควร
ส่วนสถานการณ์อีกด้านโอวหยางซิงเหวินก็กำลังตกเป็นเป้าของฮาโรลด์ หากไม่ใช่เพราะผู้คุ้มที่มาช่วยขวางไว้ โอวหยางซิงเหวินคงสิ้นชีพไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรตอนนี้โอวหยางซิงเหวินก็ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก
โอวหยางเทียนยังคงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเรื่องจากเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและหากเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตนเขาคงรับมันไม่ได้แน่นอน แม้ว่าเด็กเหลือขอคนนี้มักจะก่อเรื่องมากมายให้กับเขาแต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นลูกชาย ดังนั้น เขาจะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยหากเห็นลูกชายตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
โอวหยาวเทียนรู้สึกเสียใจที่นำโอวหยางซิงเหวินมาที่นี่เขาไม่คิดว่าการมาเจรจาโดยสันติจะกลายเป็นเรื่องเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้แม้แต่จะหยิบของในกล่องด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับตัดสินไปแล้วและไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไรอีกฝ่ายก็ดูท่าจะไม่เชื่อเขาเลย
ในบรรดาของทั้งหมดในตอนนี้ความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ของโอวหยางซิงเหวินถือว่าต่ำที่สุด แม้ว่าในตอนแรกเขาจะใช้โอกาสท่ามกลางความโกลาหลในการหลบหนีแต่มันกลับสายเกินไปเนื่องจากคนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดจับตาดูเขาไว้อยู่แล้ว จนตอนนี้ททุกคนจึงได้รู้ว่าโอวหยางซิงเหวินนั้นมีความสำคัญต่อโอวหยางเทียนมากเพียงใด
“อ๊า!”เสียงร้องอันน่าสมเพชดังขึ้น โอวหยางซิงเหวินที่กำลังหาโอกาสหนีสุดท้ายกลับโดนดาบฟันไปที่ไหล่จนเลือดไหลออกมาในทันทีซึ่งมันสร้างความเจ็บปวดจนเกือบทำให้เขาเป็นลม
”ไม่ดีแล้วนี่เขากำลังจะใช้เวทย์!” แม้ว่าปาร์คเกอร์จะไม่ใช่นักเวทย์แต่ข้างกายเขาก็มีนักเวทย์สองสามคนที่สัมผัสได้ถึงอนุภาคของเวทมนตร์ในอากาศที่กำลังพุ่งออกมาจากร่างของโอวหยางเทียนอย่างบ้าคลั่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าเวทมนตร์ที่เขากำลังร่ายอยู่นั้นทรงอานุภาพมากเพียงใด พลังของเวทมนตร์ตอนนี้เริ่มพุ่งขึ้นสูงและเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ปาร์คเกอร์แอบตกใจอยู่ในใจเช่นกันเขาสัมผัสได้ถึงพลังของเวทมนตร์นั้นว่าทรงอำนาจเพียงใดบวกกับพลังที่โอวหยางเทียนแสดงออกมาในตอนนี้นั้นไม่ใช่พลังที่นักเวทย์ระดับสูงควรมี แต่มันกลับเป็นพลังอันแข็งแกร่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น
“นี่เขาซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้หรือ”ปาร์คเกอร์คิดในใจ
จากการสำรวจของปาร์คเกอร์เขาพบว่าแม้ว่าโอวหยางเทียนจะเป็นนักเวทย์ชั้นสูงถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดกลัวแต่ความคิดของเขาต้องเปลี่ยนไปเมื่อตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าพลังของโอวหยางเทียนดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจนเทียบได้กับนักเวทย์ชั้นเซียนแต่แข็งแกร่งกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าโอวหยางเทียนไม่ใช่นักเวทย์ชั้นสูงธรรมดา ๆ แน่