กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 299-300
บทที่ 299 เวทต้องห้าม
โอวหยางเทียนได้ซ่อนพลังอันแข็งแกร่งของเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้และพลังของเขาก็ไม่ใช่ระดับนักเวทย์ชั้นสูงที่คนธรรมดาทั่วไปจะรู้จักแต่ในเมื่อเขาเป็นถึงนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เพราะพลังของเขาเคยถึงระดับจอมเวทย์มาแล้วแม้จะยังไม่สำเร็จเป็นจอมเวทย์ก็ตามซึ่งทั่วทั้งอาณาจักรก็มีจอมเวทย์เพียงไม่กี่คน
โชคดีที่พลังของปาร์คเกอร์ไม่ได้น้อยถึงขนาดจะต่อกรไม่ได้แม้ว่าเขาจะไม่เคยสู้กับโอวหยางเทียนตรง ๆ มาก่อนก็ตามแต่มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะสามารถป้องกันไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บได้ นอกจากนี้เขายังสามารถรั้งตัวของโอวหยางเทียนไว้ไม่ให้เขาเข้าไปช่วยโอวหยางซิงเหวิน
โอวหยางเทียนมองสถานการณ์ในตอนนี้ออกดังนั้นในครั้งนี้เขาจึงร่ายเวทย์ที่แม้แต่นักเวทย์ชั้นสูงหรือจอมเวทย์ยังไม่กล้าที่จะร่ายมนต์บทนี้ เพราะคาถาที่เขาร่ายนั้นเป็นคาถาในตำนานซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คาถาต้องห้าม
แน่นอนว่าหากไม่มีพลังมากพอในการใช้คาถาต้องห้ามนั้นสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้ใช้และยังทำให้ระดับความสามารถของวรยุทธลดลงอีกด้วยยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการฝึกยังลดระดับลงในอนาคตอีกด้วย
แม้ในปัจจุบันโอวหยางเทียนจะไม่ค่อยดูแลตัวเองดีเท่าไหร่นักแต่เขาไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยและไม่ทำอะไรจนสุดท้ายลูกชายของเขาต้องตายจากไป แม้ว่าเขาจะต้องจ่ายในราคาที่แสนแพงขนาดไหนในตอนนี้เขายอมรับได้ทั้งหมด
พายุคมดาบคาถาต้องห้ามธาตุลมที่สามารถเรียกพายุใบมีดจำนวนมากออกมาเพื่อสร้างความเสียหายในระยะที่กำหนด!
โอวหยางเทียนได้คาถาธาตุลมต้องห้ามนี้มาโดยบังเอิญแต่การที่ใช้คาถานี้ได้นั้นอย่างน้อยเขาต้องเป็นจอมเวทย์ระดับเซียน อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะเป็นจอมเวทย์ระดับเซียนแต่เขาก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังของมนตร์นี้ได้อย่างเต็มที่และการปล่อยพลังมหาศาลเช่นนั้นออกมายากที่จะไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่ถ้าเขาสามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาได้จริง ๆ ซึ่งผู้ที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้ก็คือ
ได้รับคาถาต้องห้ามธาตุลมนี้โดยบังเอิญดังนั้นเมื่อเขาใช้คาถานี้อย่างน้อยเขาก็ต้องอยู่ในระดับแกรนด์เมจิสเตอร์อย่างไรก็ตามแม้แต่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังของคาถาต้องห้ามนี้ได้อย่างเต็มที่และแทบจะปลดปล่อยมันออกมาโดยไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ หากเขาต้องการปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเวทมนตร์นี้จริงๆนั่นก็คือ นักบุญจอมขมังเวทย์ในตำนาน แต่เขาเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น
โอวหยางเทียนเป็นเพียงนักเวทย์ชั้นสูงไม่ใช่จอมเวทย์การใช้คาถาที่มีอานุภาพรุนแรงขนาดนี้ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อร่างกายของเขาแต่พลังของเขาก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้นอนุภาคของเวทย์ธาตุลมที่รวมอยู่รอบตัวของโอวหยางเทียนทำให้คนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดสัมผัสได้ถึงความผิดปกติและนั้นจึงทำให้พวกเขาหันไปโจมตีที่โอวหยางเทียนแม้แต่ฮาโรลด์เองยังเปลี่ยนใจหันไปโจมตีที่โอวหยางเทียนเช่นกัน
ทางฝ่ายผู้คุมของตระกูลโอวหยางก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือปกป้องโอวหยางเทียนพวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ในการต่อต้านการโจมตีจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาด
ในที่สุดโอวหยางเทียนก็ร่ายคาถาต้องห้ามสำเร็จแต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูขาวซีดไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิงแต่คาถาที่เขาเพิ่งร่ายไปนั้นเห็นได้ชัดว่าได้ผลเนื่องจากท่ามกลางกลุ่มคนของพวกกองทหารรับจากได้ปรากฏใบมีดที่ต่างทิ่มแทงร่างของพวกเขาอย่างเลือดเย็นใบมีดเหล่านั้นต่างเชือดเฉือนเนื้อหนังเขาพวกเขาผ่านเสื้อผ้าที่สวมอยู่จนทำให้เกิดแผลมากมายอีกทั้งดูเหมือนว่าใบมีดเหล่านั้นจะไม่มีทีท่าที่จะหยุดลงง่าย ๆ ด้วย
จากนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมนตร์ที่ร่ายไว้นั้นเขาเริ่มจะควบคุมไว้ไม่อยู่แล้วหลังจากที่เขาปลดปล่อยพลังออกมาได้สักพักเขาก็เริ่มสูญเสียการควบคุม แม้ว่าพลังที่ปล่อยออกมาไม่เพียงแต่จะกวาดล้างคนจากกองทหารโลหิตสีชาดเท่านั้น แต่ใบมีดกลับตอนคนที่อยู่รอบกายเขาด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องดีที่โอวหยางเทียนไม่ได้แข็งแกร่งมากพอในตอนนี้มิเช่นนั้นระยะของมนตร์ที่เขาร่ายจะใหญ่มากจนถึงขั้นสามารถทำร้ายคนเป็นวงกว้างได้
ความตายได้เริ่มปรากฏขึ้นอย่างที่คาดไว้และในทันใดนั้นก็ได้มีใบมีดตัดผ่านไปที่ลำคอของฮาโรลด์อย่างฉับพลันโดยที่ตัวเขาเองยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดก็มีทางออกของเหตุการณ์วุ่นวายนี้เนื่องโอวหยางเทียนใช้พลังไปมากในการร่ายคาถามันจึงทำให้ตอนนี้เขาเหลือพลังเวทย์ไม่มากนักและเหลือเรี่ยวแรงอยู่น้อยนิดแม้กระทั่งตอนเดินก็ต้องมีคนมาช่วยพยุงไว้
ถึงแม้ว่าผู้คุมจะปกป้องเขาจากการโจมตีได้ในบางส่วนแต่โอวหยางเทียนก็ต้องเสียขาไปข้างหนึ่งในส่วนของปาร์คเกอร์เขาก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อในขณะที่ร่างกายของเขาเองก็โดนคมมีดตามร่างกายจนเป็นแผลโดยที่เขาก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นแต่นั้นก็สาหัสพอที่จะทำให้เลือดออกจนเขาต้องตกใจไเช่นกัน
ปาร์คเกอร์มีความคิดที่จะถอยในทันทีเขาคิดว่าหากเขายังดึงดันสู้ต่อไปเขาคงได้ตายที่นี่แน่ จากนั้นปาร์คเกอร์จึงรีบออกจากร้านอาหารพร้อมกับทหารรับจ้างที่ยังมีชีวิตที่เหลืออยู่ไม่กี่คน แม้ว่าพวกเขาจะรอดชีวิตมาได้แต่ทุกคนก็ต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส
“โอวหยางเทียน พวกเราจะไม่ยอมจบเพียงเท่านี้แน่!” ปาร์คเกอร์ตะโกนใส่โอวหยางเทียนในระยะไกล จากนั้นเขาก็นำผู้บาดเจ็บทั้งสามคนออกไปจากเมืองเฮ่าเทียนพื้นที่ของตระกูลโอวหยางอย่างรวดเร็ว
เดิมทีเขาไม่คิดว่าคนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดจะกล้าเปิดฉากต่อสู้กับพวกเขาที่นี่เขาจึงไม่ได้นำคนมาด้วยมากนัก ในตอนแรกฝ่ายเขาสูญเสียคนไปประมาณสองสามคนจากการต่อสู้แต่หลังจากที่เขาร่ายมนตร์ต้องถามจึงเสียคนเพิ่มไปอีกสามคน ส่วนที่เหลือทั้งหมดเพียงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แม้ว่าต้องการจะจับตัวปาร์คเกอร์ให้ได้แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงมองดูศัตรูเดินจากไป
”ไปกันเถอะ!”โอวหยางเทียนกล่าวอย่างอ่อนแรงกับผู้คุมของตน เขารู้ดีว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปยากที่ทั้งสองฝ่ายจะคืนดีกันได้
ส่วนโอวหยางซิงเหวินอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นคนที่โชคดีที่สุดในเหตุการณ์นี้เพราะเขาได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดซึ่งเรียกได้ว่าแค่ผิวเผินเท่านั้น
แต่ยังไงเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เกิดจากตัวเขาเองทั้งหมดเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกและทำได้เพียงแค่ช่วยพยุงพ่อของเขากลับไป
ตอนนี้สิ่งที่โอวหยางเทียนยังไม่รู้ก็คือสิ่งที่มาแทนที่ม้วนคัมภีร์คาถาต้องห้ามพายุคมดาบก่อนหน้าที่ม้วนคัมภีร์จะหายไปได้มีแสงสีขาวจ้าปรากฏขึ้น แต่เขาก็ยังเห็นของที่มาแทนที่ไม่ชัด
ส่วนผลแอปเปิ้ลที่เป็นสาเหตุของการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายนั้นได้ถูกโยนทิ้งไปในระหว่างการต่อสู้ดังนั้นหลังจากที่ทุกคนได้แยกย้ายกันกลับ ขอทานที่อยู่ใกล้ ๆ ร้านอาหารเห็นเข้าจึงได้หยิบผลแอปเปิ้ลนั้นขึ้นมาด้วยความหิวโหยโดยที่ไม่สนใจว่ามันคือสิ่งใด เขาเพียงหยิบมันขึ้นมากินเพียงเพื่อประทังชีวิตและคิดว่ามันคงเป็นผลไม้แปลกตาชนิดหนึ่งที่เขาไม่เคยพบมาก่อนเท่านั้น ตาของเขาเบิกโพลงในทันทีที่กัดลงไปเพราะเขาได้พบกับความหวานและความชุ่มฉ่ำแบบสุด ๆ จากผลไม้ผลนี้และมันทำให้เขาแววตาของเขาสดใสขึ้นอีกด้วย เขากินมันหมดภายในคำเดียวจึงทำให้แอปเปิ้ลที่ชายผู้เป็นขอทานเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกหายไปในพริบตา
บทที่ 300 เครื่องบำบัดน้ำเสียเครื่องแรก
“ในที่สุดก็เสร็จแล้ว!”
ภายในโรงงานของฮวงเฟิงมีเสียงร้องเชียร์ดังขึ้นเนื่องจากเครื่องบำบัดน้ำเสียงเครื่องแรกได้ถูกตั้งระบบและประกอบจนเสร็จเรียบร้อยแล้วเหล่าคนงาน กัวเหลียงและรวมถึงฮวงเฟิงต่างพากันล้อมรอมอุปกรณ์ที่เพิ่งทำขึ้นมาพร้อมมองหน้ากันอย่างอยากรู้อยากเห็น
“มันจะออกมาดีอย่างที่นายพูดใช่ไหม?” กัวเหลียงถามอย่างไม่ค่อยเชื่อ
”แน่นอนสิ!”ฮวงเฟิงยังคงมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นเขาก็พูดกับผู้เชี่ยวชาญเหอว่า: “ฉันจะไม่ทำให้นายต้องหนักใจรับรองได้”
”ไม่เป็นไรครับบอส”สิ่งที่ฮวงเฟิงขอให้เขาทำนั้นเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของเขาและแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นเครื่องบำบัดน้ำเสียแบบนี้มาก่อนแต่ก็เคยเห็น
ผู้เชี่ยวชาญเหอเริ่มสตาร์ทเครื่องและได้นำน้ำที่เจือปนโลหะหนักและสิ่งสกปรกทั้งหลายเทลงไปในเครื่องจากนั้นช่องที่เป็นส่วนของทางออกของน้ำก็ได้ปรากฎเป็นน้ำใส ๆ ไหลออกมาซึ่งความเร็วในการไหลของน้ำถือว่าเร็วเป็นอย่างมากและไม่นานหลังจากนั้น สิ่งปฏิกูลทั้งหลายที่ถูกเทลงไปในเครื่องก็ได้ถูกชำระล้างทั้งหมดและสิ่งสกปรกที่เหลือก็ได้ไหลออกมาจากทางออกของเครื่องอีกด้าน
”ลองทดสอบคุณภาพน้ำเร็วเข้า!”การแสดงออกอย่างวิตกกังวลของกัวเหลียวดูจะมีมากกว่าฮวงเฟิงเสียอีกขณะที่เขาพูดกับผู้เชี่ยวชาญเหอ
ในฐานะที่โรงงานของพวกเขาเป็นผู้ผลิตเครื่องบำบัดน้ำเสียนี้จึงต้องมีเครื่องมือวัดที่หลากหลายในเมื่อผู้เชี่ยวชาญเหอยังไม่คุ้นชินกับอุปกรณ์เครื่องนี้เขาจึงต้องใช้เครื่องมือวัดหลายประเภทในการทดสอบคุณภาพน้ำและเมื่อเขาวัดไปเรื่อย ๆ สีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังและจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้แต่ฮวงเฟิงเองก็โดนบรรยากาศรอบข้างกดดันจนทำให้เป็นกังวลไปด้วยจนหันมองผู้เชี่ยวชาญเหอด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลในระหว่างรอคำตอบจากเขา
หลังจากนั้นไม่นานผู้เชี่ยวชาญเหอได้หยิบเครื่องมือตรวจสอบขึ้นมาพร้อมกับพูดอย่างตกใจว่า”ไม่น่าเชื่อ!”
“เป็นยังไงบ้างครับผู้เชี่ยวชาญเหอบอกผมที” กัวเหลียงพูดอย่างเป็นกังวลเนื่องจากเขาให้ความสำคัญกับโรงงานแห่งนี้อย่างใจจริงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีส่วนแบ่งมากนักแต่เขาก็ใช้เงินออมทั้งหมดของเขาในการลงทุนซึ่งแตกต่างจากฮวงเฟิงที่สามารถใช้กล่องจักวาลหาเงินจากช่องทางอื่นได้และแม้ว่าโปรเจคนี้อาจจะล้มเหลวแต่มันคงไม่สำคัญอะไรสำหรับเขา ส่วนกัวเหลียงตั้งความหวังไว้กับโปรเจคนี้ไว้เป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการพบกับความล้มเหลว
ตอนนี้น้ำที่ผ่านเครื่องบำบัดน้ำเสียมีปริมาณของมลพิษที่ลดลงจนอยู่ในระดับที่ปลอดภัยมากและรวมไปถึงธาตุโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างมากยังมีปริมาณที่ลดลงไปด้วยแต่ในส่วนของแร่ธาตุรองที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์ก็พบว่ามีอยู่ไม่น้อยเลยในน้ำนี่ มันสามารถพูดได้เลยว่าน้ำที่ผ่านอุปกรณ์เครื่องนี้ดีกว่าน้ำที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันตอนนี้เสียอีก อีกทั้งยังสะอาดกว่าพวกน้ำแร่อีกด้วยซ้ำ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเหอยังกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ตกใจแต่ก็ยังคงอยู่ในท่าทีที่สงบ
แม้ว่าฮวงเฟิงจะกล่าวซ้ำอีกครั้งว่าอุปกรณ์นี้สามารถกำจัดสิ่งปฏิกูลได้อย่างสมบูรณ์แต่ก่อนผู้เชี่ยวชาญเหอยังไม่เชื่อใจเขาเท่าไหร่นักเพราะเขายังไม่เห็นกับตาของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าสิ่งที่ฮวงเฟิงพูดก่อนหน้านั้นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยแม้แต่น้อยและดูค่อนข้างเหมือนหัวอนุรักษ์นิยมเสียอีกด้วย
”อ่ามันออกมาดีจริง ๆ เหรอ?” กัวเหลียงถามด้วยสีหน้าประหลาดใจปนยินดีหลังจากที่ได้ยิน ผู้เชี่ยวชาญเหอพยักหน้ายืนยัน จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า: “นั่นเยี่ยมมาก เยี่ยมมาก”
คนงานที่อยู่โดยรอบก็ดูมีความสุขไปด้วยเช่นกันถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงลูกจ้างธรรมดาที่ไม่ได้รับเงินส่วนแบ่งจากบริษัทแต่อย่างใดแต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังคงมีความสุขที่สินค้าของโรงงานนั้นออกมาดี เช่นนั้นถ้าพวกนายจ้างของพวกเขาสามารถขายอุปกรณ์เครื่องนี้ได้พวกเขาก็จะมีงานทำต่อและไม่ต้องเผชิญกับปัญหาตกงาน อีกทั้งถ้าสินค้านี้เป็นที่นิยมพวกเขาก็สามารถต่อรองขอค่าแรงเพิ่มได้ ถูกต้องใช่ไหม
“ตอนนี้คุณโล่งใจหรือยัง?” ฮวงเฟิงกล่าวกับกัวเหลียงด้วยรอยยิ้ม
”โล่งสิโล่งอกไปมากเลยล่ะ” กัวเหลียงพูดพลางหัวเราะ
แม้ว่าในตลาดปัจจุบันจะมีเครื่องบำบัดน้ำเสียเป็นจำนวนมากแต่ประสิทธิภาพของพวกมันกลับเทียบกับอุปกรณ์เครื่องนี้ของเขาไม่ได้เลยนอกจากนี้เครื่องบำบัดน้ำเสียโดยทั่วไปสามารถจัดการกับสิ่งปฏิกูลได้เพียงชนิดเดียวในขณะที่อุปกรณ์ของพวกเขาไม่เพียงแต่สามารถจัดการกับมลพิษทางกายภาพและเคมีภาพเท่านั้น แม้แต่สารจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในน้ำก็สามารถจัดการได้ภายในครั้งเดียว
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ตาบอดพวกเขาก็คงเห็นแล้วว่าอุปกรณ์เครื่องนี้ดีแค่ไหน ด้านกัวเหลียงแองก็เชื่อว่าอุปกรณ์เครื่องนี้สามารถขายออกสู่ตลาดได้เช่นกัน
”ทุกคนเติมเชื้อเพลิงและผลิตมันต่อให้เรียบร้อย หลังจากอุปกรณ์เครื่องแรกได้แล้ว พวกคุณจะได้รับค่าแรงเพิ่มแน่นอน!” ฮวงเฟิงกล่าวเสียงดังกับพนักงาน
”ขอให้บอสจงเจริญ!”
ในช่วงเช้าก่อนหน้านี้ฮวงเฟิงได้กล่าวไว้ว่าอุปกรณ์เครื่องนี้ของเขาล้ำหน้ากว่าอุปกรณ์เครื่องอื่น ๆ ในวงการอุตสาหกรรมที่พวกเขาเคยทำซึ่งในตอนแรกพวกเขาไม่มีใครเชื่อเนื่องจากพวกเขาทั้งหมดต่างเป็นพนักงานเก่าในวงการอุตสาหกรรมนี้ พวกเขาจึงสามารถใช้ประสบการณ์ในการตัดสินได้ ดังนั้น อุปกรณ์ที่พวกเขาเพิ่งผลิตไปนั้นพวกเขาสามารถพูดได้เลยว่าล้ำหน้ากว่าอุปกรณ์อื่น ๆ ในวงการอุตาหกรรมที่พวกเขาเคยผ่านมาเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นพนักงานต่างพากันตื่นเต้นฮวงเฟิงก็พลอยมีความสุขไปด้วย ตอนแรกเขาได้วางแผนจะเพิ่มค่าแรงของพนักงานทุกคนไว้อยู่แล้วเนื่องจากพวกเขาทุกคนเป็นพนักงานกลุ่มแรกในโรงงานและถือว่าเป็นผู้อาวุโสอีกด้วยถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีทักษะไม่มากนักก็ตาม ฮวงเฟิงจึงหวังว่าทุกคนจะร่ำรวยไปพร้อมไปการขายเจ้าอุปกรณ์เครื่องนี้
”ใช่แล้วพ่อคนสติเฟื่องนายคิดว่าอุปกรณ์เครื่องนี้ของเราควรจะมีชื่อว่าอะไรดี?” กัวเหลียงถาม
”ชื่อเรียกมันว่ารุ่ยเจี๋ย” ฮวงเฟิงคิดอยู่ครู่นึงแล้วจึงกล่าวออกไป
กัวเหลียงพึมพำอยู่สองสามประโยคจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าชื่อนี้ก็ดูไม่เลวร้ายเกินไปและดูไม่ขัดด้วยต่อมาทั้งสองคนได้ตัดสินใจตั้งชื่อโรงงานโดยใช้ชื่อ รุ่ยเจี๋ยและเปลี่ยนป้ายชื่อหน้าโรงงานอย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้อุปกรณ์ได้ทำการผลิตเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือส่งขายให้ได้เร็วที่สุด ตอนนี้ยังมีคนในโรงงานน้อยเกินไปและยังไม่มีแม้แต่พนักงานขายโดยเฉพาะ แบบนั้นเราขายได้ช้าแน่” ฮวงเฟิงกล่าว ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาเข้าไปสำรวจในโรงงานโดยรอบเขาพบว่ามีเพียงกัวเมิ่งหานและโจวหรูหรานที่อยู่ที่นั่น หากเขาจะเริ่มขายอย่างเป็นทางการทรัพยากรบุคคลเพียงสองคนที่มีอยู่ตอนนี้คงไม่สามารถทำให้งานบรรลุเป้าหมายได้
”ใช่ฉันรู้ งั้นฉันคิดว่าการเปิดรับสมัครน่าจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุด” กัวเหลียงกล่าว ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มีความมั่นใจในอุปกรณ์นี้มากนักจึงไม่คิดเปิดรับสมัครใครเข้ามา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาต้องทำเช่นนั้นแล้ว
”พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์งั้นยังพอมีเวลา ฉันจะไปบริษัทจัดหารคนหาคนมาสมัครงาน ส่วนนายก็อยู่ดูแลโรงงาน” ฮวงเฟิงกล่าว
”ได้ไม่มีปัญหา แต่แทนที่นายจะอยู่คนเดียวให้เมิ่งหานไปช่วยนายไม่ดีกว่าเหรอ” กัวเหลียงคิดสักพักแล้วกล่วขึ้นมา
”ได้!”ฮวงเฟิงไม่ปฏิเสธ