กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 303-304
บทที่ 303 กระแสพลัง
ในช่วงบ่ายฮวงเฟิงและกัวเมิ่งหานได้คัดเลือกผู้สมัครเพิ่มอีกสองสามคนซึ่งโดยส่วนใหญ่จะถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งพนักงานขายในขณะที่คนอื่น ๆ จะถูกจัดให้รับช่วงทำงานต่อในโรงงาน ในส่วนการรับสมัครงานอื่น ๆ นั้นจะง่ายกว่าเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะมีผู้สมัครเข้ามาที่โรงงานเป็นจำนวนมากเท่าไหร่ แต่สำหรับฮวงเฟิงและกัวเมิ่งหานนั้นคิดว่าไม่ได้จำเป็นที่จะต้องรับมามากตามจำนวนที่สมัครเข้ามา
ในช่วงบ่ายฮวงเฟิงเห็นหวังทงทงเดินผ่านไปมาสองสามรอบไม่ใช้เพราะว่าเขาอยากจะเจอเธอแต่เขาเห็นเธอเดินไปมารอบ ๆ บูธทุกครั้งที่ฮวงเฟิงกำลังทำธุระเธอก็จะเข้ามาสอนฮวงเฟิงว่าควรทำอะไรอย่างไรและในขณะเดียวกันก็สอนวิธีมองคนและการคัดเลือกพนักงาน
ส่วนของฮวงเฟิงก็ทำได้เพียงยิ้มตอบเธอเท่านั้นแต่ในทางกลับกันกัวเมิ่งหานเธอไม่สามารถอดทนดูสถานการณ์แบบนี้ได้แม้ว่าเธอจะยังไม่ทราบสถานะที่ชัดเจนของทั้งฮวงเฟิงและหวังทงทงได้ สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร
”เป็นยังไงบ้าง?มันไปได้สวยใช่ไหม?” ในช่วงบ่ายของวันนั้นฮวงเฟิงและกัวเมิงหานกลับมาที่โรงงานอีกครั้ง
”ก็ไม่แย่นะฉันจัดการหาคนมาได้แล้ว ตอนนี้คนก็ดูน่าจะเพียงพอแล้ว แต่อย่างไงโรงงานของเราคงขยับขยายได้อีกแน่นอนในอนาคต ดังนั้นพวกเราจึงยังหยุดรับสมัครคนไม่ได้
ไม่เลวนะฉันจัดการจัดหาคนมาได้แล้วตอนนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วอย่างไรก็ตามโรงงานของเราจะขยายออกไปอย่างแน่นอนดังนั้นเราไม่สามารถหยุดสรรหาบุคลากรนี้ได้”ฮวงเฟิงกล่าว
”แน่นอน!”หลังจากที่ได้เห็นอุปกรณ์ที่ฮวงเฟิงจะขาย กัวเหลียงกดูจะมีสปิริตเพิ่มขั้นและไม่ค่อยมองอนาคตของโรงงานในแง่ร้ายเท่าไหร่แล้วแม้ว่าฮวงเฟิงไม่คิดที่จะขยายโรงงานก็ตาม แต่กัวเหลียงก็ยังเสนอแนะเขาไป
เมื่อฮวงเฟิงเดินไปดูรอบๆ เวิร์กช็อป กัวเมิงหานได้พูดถึงเรื่องผู้หญิงคนที่ไปเดินในงานจัดหางานของวันนี้ สุดท้ายยังไงฮวงเฟิงและกัวเหลียงก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยและผู้หญิงในวันนี้ที่เจอก็เป็นเพื่อนของเขาด้วยเช่นกัน
”เธอบอกว่าวันนี้ไปเจอหวังทงทงมายังงั้นหรือ?”กัวเหลียงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
”ใช่ค่ะฉันได้ยินพี่เฟิงเรียกเธออย่างนั้น” กัวเมิ่งหานกล่าว
“เธอเคยเป็นแฟนกับฮวงเฟิงสมัยมหาลัยน่ะ แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้คุยกันมานานแล้วน่ะหลังจากที่เลิกกัน” กัวเหลียงกล่าว
“หา แฟน?!” กัวเมิ่งหานร้องลั่น เพราะเธอไม่คิดว่าหญิงสาวที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดในตอนนั้นจะเคยเป็นแฟนของฮวงเฟิงสมัยมหาวิทยาลัย
”ใช่แต่สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็ดันไปเลือกพวกคนรวยจนคิดจะเลิกกับฮวงเฟิงที่กำลังหลงเธอ” กัวเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม ในฐานะเพื่อนสนิทและเพื่อนของฮวงเฟิง เขาจึงรู้เรื่องดีระหว่างหวังทงทงกับฮวงเฟิง ดังนั้น เขาจึงรู้ว่าหวังทงทงเป็นคนเช่นไร
”ก็เป็นอย่างนั้นแหละเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอยู่แล้วที่ผู้หญิงคนนั้นจะทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดได้”กัวเหลียงกล่าว เนื่องจากเขามีความคิดที่อคติเป็นทุนเดิม ยามเมื่อกัวเหลียงรู้ได้ถึงความคิดของหวังทงทง เขาจึงรู้สึกไม่ดีกับเธอ อีกทั้งเมื่อเขารู้เรื่องที่เธอแสดงกิริยาท่าทางไปในวันนี้มันก็ยิ่งทำให้เขาไม่ชอบเธอมากยิ่งขึ้น
”นี่นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”ในเวลานี้ฮวงเฟิงได้เดินกลับมาแล้วและเมื่อเห็นทั้งคู่คุยกัน เขาจึงถาม
“วันนี้นายเจอหวังทงทงมาใช่ไหม?” กัวเหลียงถาม
กัวเมิงหานรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยเพราะกลัวว่าฮวงเฟิงจะคิดว่าเธอพูดมากเกินไปแต่ท่าทางของฮวงเฟิงกลับดูไม่ใส่ใจอะไรพร้อมกล่าวอีกว่า : “ใช่ ดูเหมือนว่าจะทำได้ดีทีเดียว”
”นายจะไม่กลับไปใช่ไหม”กัวเหลียงถามเขาด้วยความเป็นห่วงเรื่องก่อนหน้านี้
แม้ว่ากัวเมิงหานจะก้มหัวลงแต่เธอก็ยังคงเงี่ยหูฟังจนเห็นได้ชัดว่าเขาทั้งสงสัยและกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับคำตอบที่กำลังจะออกมาจากปากฮวงเฟิง
”จะเป็นไปได้ไงในเมื่อเราสองคนเลิกกันแล้ว แล้วฉันก็มูฟออนได้แล้วด้วย” ฮวงเฟิงกล่าวต่ออีกว่า: “การได้พบเธอตอนนี้ก็เหมือนกับการเจอเพื่อนร่วมชั้นธรรมดาคนหนึ่ง”
“ไม่แค้นเลยเหรอ” กัวเหลียงกล่าว เพราะสุดท้ายแล้วหลังจากเลิกกันฮวงเหิงก็ยังคงชอบหวังทงทงมาก ส่วนหวังทงทงที่เพิ่งเลิกกับเขาได้ไม่นานก็คบกับพวกเศรษฐีต่อทันทีและมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ฮวงเฟิงจะต้องคิดแค้นอยู่ในใจ
“ตอนนั้นฉันเองก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ผ่านมานานแล้ว” ฮวงเฟิงกล่าว
”เป็นเรื่องดีที่นายคิดได้แบบนั้นผู้หญิงแบบนั้นไม่มีค่าอะไรให้นายต้องรอ” กัวเหลียงกล่าว หลังจากพูดแบบนั้นเขาก็มองไปที่กัวเมิ่งหานและพูดว่า: อันที่จริงนายเองก็ควรมองไปรอบ ๆ บ้าง บางทีนายอาจเจอสิ่งที่ดีกว่าก็ได้”
เมื่อรู้สึกได้ว่ากัวเหลียงกำลังจ้องมองมาที่เธอใบหน้าของกัวเมิ่งหานก็แดงระเรื่อ ในทางกลับกันฮวงเฟิงกลับไม่ได้มีความรู้สึกอะไร
ในขณะที่เขากำลังจะเลิกงานฮวงเฟิงได้รับโทรศัพท์จากชิวหนิงซวง เธอโทรมาบอกกับเขาว่าเบื่อไม่อยากอยู่ที่บ้านจึงได้ชวนเขาออกไปกินข้าวด้วยกัน
ฮวงเฟิงคิดว่าหลังจากนี้คงไม่มีธุระอะไรที่ต้องทำต่อแล้วเขาจึงได้ตอบตกลงเธอไป
ณร้านอาหารบรรยากาศดีแห่งหนึ่ง ฮวงเฟิงเห็นชิวหนิงซวงกำลังโบกมือเรียกเขา
”เธอโอเคขึ้นแล้วใช่ไหม?”
“ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ถ้าฉันรู้ว่าตัวเองยังมีกระสุนอยู่ในร่างกาย ฉันก็ยังคงรู้สึกไม่ต่างจากคนปกตินักหรอก” ชิวหนิงซวงกล่าวขณะยิ้ม เธอชัดเจนมากเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเธอว่าหายกลับมาเป็นปกติแล้ว
”ดีแล้วแต่ควรเอากระสุนออกดีกว่าเนอะ” ฮวงเฟิงกล่าว มันไม่ใช่เรื่องดีที่จะมีกระสุนอยู่ในร่างกายของเธอและแน่นอนเขาจะเอามันออกให้เธออย่างเร็วที่สุดด้วย
“โอ้ใช่ที่ฉันโทรหาคุณวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะถามคุณคือฉันไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่ ฉันเลยคิดว่าถ้ามาถามนายคงจะได้คำตอบ” ชิวหนิงกล่าวกับฮวงเฟิง
”เรื่องอะไรเหรอ?”ฮวงเฟิงมองไปที่ใบหน้าที่จริงจังของชิวหนิงซวงพร้อมความสงสัยในใจ
“นับตั้งแต่ที่นายป้อนยาฉันครั้งสุดท้าย ฉันรู้สึกราวกับว่ามีพลังงานบางอย่างไหลเวียนอยู่ในร่างกายของฉัน แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของฉันและมันยังช่วยให้ร่างกายของฉันฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเล็กน้อยด้วย เมื่อก่อนฉันก็ไม่ได้สนใจมันมากนักหรอก แต่หลังจากผ่านไปหลายวันแล้วพลังงานพวกนั้นมันเหมือนยังคงอยู่ในร่างกายของฉัน ” ชิวหนิงซวงถามด้วยความสงสัย
ฮวงเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะผลเวอร์มิลเลี่ยนก็ได้หากเขาเดาถูก การไหลเวียนของพลังงานั้นน่าจะเป็นผลมาจากการกินผลเวอร์มิลเลี่ยนเข้าไปจนก่อเป็นพลังงานภายในหรือกลายเป็นพลังเวทย์ เป็นเพราะชิวหนิงซวงไม่ได้ฝึกการวรยุทธมาก่อน เธอจึงไม่สามารถนำกระแสพลังงานได้ เธอจึงทำได้เพียงปล่อยให้มันไหลเวียนไปตามร่างกายของเธออย่างอิสระ
ฮวงเฟิงเคยคิดว่าผลเวอร์มิลเลี่ยนจะสามารถช่วยให้ผู้บริโภคเพิ่มความเร็วในการฝึกยุทธและฟื้นบำรุงร่างกายของเขาได้แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผลของ เวอร์มิลเลี่ยนจะดีกว่าที่เขาคิด แม้ว่าจะเป็นชิวหนิงซวงที่ไม่เคยเรียนรู้เทคนิคการฝึกใด ๆ มาก่อนก็ยังรับรู้ถึงพลังงานและยังมีพลังงานเหลืออยู่ในร่างกายอีกหลังจากที่ร่างกายของเธอได้รับการซ่อมแซมแล้วก็ตาม
แต่ฮวงเฟิงไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับชิวหนิงซวงได้อย่างไรเพราะสุดท้ายแล้วสำหรับคนธรรมดาทั่วไปเรื่องแบบนี้มันดูเหมือนจะเกินความเข้าใจสำหรับพวกเขา
”นายรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม?”เล่าให้ฉันฟังเถอะ ถึงฉันจะรู้ว่ากระแสลมนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายฉันแต่รู้ตัวดีว่าตอนนี้รู้สึกยังไง อีกอย่างมันยังรู้สึกอึดอัดอยู่ข้างในนิดหน่อยด้วย” เมื่อมองไปที่ท่าทีของฮวงเฟิง ชิวหนิงซวงก็เดาได้ว่าพลังงานในร่างกายของเธอนั้นคืออะไร แต่อย่างไรก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะพูดด้วยเหตุผลบางอย่าง
บทที่ 304 เวทมนตร์
ฮวงเฟิงเองก็รู้ดีหรือบางทีเขาก็อาจจะพอเดาได้เดิมทีแล้วเขาต้องการที่จะหาข้อแก้ตัวแต่เมื่อเห็นว่าชิวหนิงซวงยิ่งขุดลงไปลึกมากเท่าไหร่ เขาก็เลยเปลี่ยนใจ
พูดตามสัตย์จริงแล้วฮวงเฟิงนั้นยังคงไว้ใจชิวหนิงซวงเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาได้เปิดเผยถุงมือและผลไม้สีแดงให้เธอได้เห็นมาแล้ว ดังนั้นอีกฝ่ายก็ต้องอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากแต่หลังจากที่เขาขอให้เธอเก็บไว้เป็นความลับ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตี๊อที่จะอยากรู้ และยังช่วยเขาเก็บเป็นความลับเอาไว้อีกด้วย
สำหรับเรื่องนี้นั้นเธอจึงเป็นคนที่ไว้วางใจได้
“สิ่งที่ผมให้คุณเมื่อครั้งที่แล้วน่ะไม่ใช่ของธรรมดานะ”ฮวงเฟิงคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้และตัดสินใจที่จะเล่าความจริง
“แน่นอนสิฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ของธรรมดา มันเป็นยาวิเศษ คุณเคยบอกฉันแล้ว” ชิวหนิงซวงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขบขัน แน่นอนว่าเธอเองก็รู้ว่าฮวงเฟิงพยายามที่จะโกหกเธอเมื่อครั้งที่แล้วแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังจะเล่าความจริงให้เธอฟัง
เมื่อได้ยินคำพูดของชิวหนิงซวงฮวงเฟิงก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะไม่ว่าเขาจะเริ่มที่จุดไหนครั้งที่แล้วเขาก็ได้โกหกไปแล้ว สำหรับคนที่เชื่อใจเขาการโกหกจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจสักเท่าไร
“ของสิ่งนั้นสามารถที่จะช่วยรักษาได้ตราบใดที่คนๆนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ หลังจากที่กินสิ่งนั้นเข้าไปแล้ว มันสามารถที่จะรักษาได้ไม่ว่าบาดแผลของคนๆ นั้นจะร้ายแรงสักแค่ไหน” ฮวงเฟิงกล่าว
ใบหน้าของชิวหนิงซวงเปลี่ยนมาเป็นจริงจังมากขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฮวงเฟิง เธอเองก็ตระหนักได้ว่าของนั้นมีค่าเพียงใดและเธอก็ไม่เคยคิดว่าฮวงเฟิงนั้นกำลังโกหกเธอเลย เพราะว่าเธอได้เห็นฤทธิ์ของสิ่งๆ นั้นด้วยตัวของเธอเอง
“ขอบคุณนะ!”ชิวหนิงซวงกล่าวอย่างขรึมๆ
ฮวงเฟิงโบกมือและไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยเพราะสิ่งที่เขาพูดไปนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ชิวหนิงซวงรู้สึกขอบคุณเขาแต่ยังทำให้เธอรู้ว่าของสิ่งนั้นมีค่ามากมายจริงๆ
“ของสิ่งนั้นเรียกว่าผลไม้สีแดงนอกเหนือไปจากที่ช่วยรักษาคนได้แล้ว มันก็ยังมีความสามารถในการต่อชีวิตให้ยืนยาวและแม้แต่สามารถที่จะเสริมสร้างร่างกายของคนได้ด้วย” ฮวงเฟิงกล่าวต่อไปว่า “แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของพลังงานในร่างกายของคุณ แต่สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริงก็คือมันมีผลอีกอย่างหนึ่งที่สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนของผู้ที่กินมัน! ”
”เพิ่มความเร็วในการฝึกตนงั้นเหรอ?”ชิวหนิงซวงเบิกตากว้างและมองไปที่ฮวงเฟิงด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตามความประหลาดใจของเธอนั้นแตกต่างจากที่ฮวงเฟิงคิดเล็กน้อย “การเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนกำลังภายในของคุณใช่ไหม? กำลังภายในมีอยู่จริงใช่ไหม?!”
“คุณรู้เรื่องกำลังภายในด้วยเหรอ?”ถึงคราวของฮวงเฟิงบ้างที่อยากรู้อยากเห็น
”ใช่ฉันเคยได้ยินมาก่อน” ชิวหนิงซวงไม่ได้ปิดบังอะไร
หลังจากนั้นชิวหนิงซวงก็เล่าให้ฮวงเฟิงฟังว่าเธอรู้อะไรบ้าง
จริงๆแล้วมีผู้คนที่ฝึกตนอยู่ในโลกนี้ แต่ในบรรดาผู้ที่ได้รับการฝึกฝนส่วนใหญ่มาจากสำนักภายนอก มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถฝึกฝนกำลังภายในได้อย่างแท้จริงและชิวหนิงซวงก็ไม่เคยเห็นใครที่ทำได้ แต่อย่างน้อยเธอก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่เธอเคยได้ยินมาว่าในฐานะฮีโร่หญิงที่ได้รับมันมาเพื่อใช้โจมตีอาชญากร ชิวหนิงซวงก็ยังอิจฉาคนที่สามารถฝึกฝนกำลังภายในได้ เพียงแค่ว่าก่อนหน้านี้เธอไม่มีโอกาสแบบนี้ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางที่จะฝึกฝนกำลังภายในได้
และตอนนี้เมื่อเธอได้ยินคำพูดของฮวงเฟิงสิ่งที่เรียกว่า ผลไม้สีแดงที่เธอกินเข้าไปสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนของเธอได้ความคิดแรกของเธอคือการใช้กำลังภายใน ถ้าเธอเดาถูกสิ่งที่ฮวงเฟิงพูดก็เป็นความจริงเช่นกัน นั่นหมายความว่ากำลังภายในนั้นมีอยู่จริง
“ถูกต้องผลไม้สีแดงที่คุณกินเข้าไปนั้นสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนกำลังภายในของคุณได้อย่างแน่นอนแต่อย่างไรก็ตามลมปราณในร่างกายของคุณก็ยังไม่ใช่กำลังภายใน” ฮวงเฟิงกล่าว
“อ้อ?!”เมื่อฮวงเฟิงกล่าวว่าผลไม้สีแดงนั้นเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนกำลังภายใน เธอก็ยังคงคิดว่ากำลังภายในอาจจะเป็นลมปราณในร่างกายของเธอ ชิวหนิงซวงรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่เมื่อเธอได้ยิน ฮวงเฟิงพูดว่าลมปราณนั้นไม่ใช่กำลังภายใน ชิวหนิงซวงก็รู้สึกผิดหวังทันที
“มันไม่ใช่กำลังภายในแต่เป็นเวทมนตร์” ฮวงเฟิงกล่าวต่อ
”เวทย์มนต์งั้นเหรอ?มันคืออะไรล่ะ?” เห็นได้ชัดว่าชิวหนิงซวงไม่ใช่แฟนนิยายและไม่รู้ว่าเวทมนตร์นี้คืออะไร
ดังนั้นฮวงเฟิงจึงบอกชิวหนิงซวงเกี่ยวกับเวทมนตร์และพลังเวทย์หลังจากนั้นในที่สุดชิวหนิงซวงก็เข้าใจว่าพลังเวทย์คืออะไร
“แล้วฉันจะใช้เวทมนตร์นี้ได้ยังไงกันล่ะ?”หลังจากที่รู้แน่ชัดว่าพลังปีศาจในร่างกายของเธอคืออะไร ความอยากรู้อยากเห็นของชิวหนิงซวงก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา
เธอสนใจที่จะฝึกฝนกำลังภายในมาโดยตลอดตอนนี้ถึงเธอจะไม่สามารถฝึกฝนกำลังภายในได้แต่เธอก็มีพลังเวทย์มนตร์จำนวนพอๆ กันโดยบังเอิญ ในความเป็นจริงแล้วพลังเวทย์มนต์นั้นหายากกว่ากำลังภายในเสียด้วยซ้ำดังนั้นเธอจึงสนใจที่จะฝึกฝนเรื่องนี้มากกว่า
ในความเป็นจริงโชคของชิวหนิงซวงก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไรนักใครๆ ต้องรู้ว่าเมื่อฮวงเฟิงฝึกฝนเวทมนตร์แล้วเขาจะสามารถฝึกฝนเวทมนตร์ได้หลังจากกินยาเสริมความฉลาดเข้าไปแล้ว หลังจากที่ฝึกฝนไประยะหนึ่งเขาก็จะดูดซับธาตุเวทมนตร์ในอากาศและเปลี่ยนเป็นเวทมนตร์เพื่อที่เขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้
ในทางกลับกันเนื่องจากผลของผลไม้สีแดงชิวหนิงซวงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนด้วยตัวเองเพราะมีการไหลเวียนของลมปราณอยู่แล้วในร่างกายของเธอ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าพลังเวทย์มนตร์ ตราบใดที่เธอสามารถนำทางพลังเวทย์นี้ได้อย่างถูกต้องเธอก็จะสามารถฝึกฝนร่วมกับฮวงเฟิงได้ซึ่งเป็นกระบวนการที่น้อยกว่าฮวงเฟิง นอกจากนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาเสริมความฉลาดและจะเป็นคนที่สองในโลกที่ฝึกฝนเวทมนตร์ได้
“คุณเอาสิ่งนี้กลับไปอ่านที่บ้านก็ได้นะ”ฮวงเฟิงนำเอาคัมภีร์การฝึกสมาธิออกมาและยื่นให้กับชิวหนิงซวง “แต่ยังไงก็ตาม คุณต้องสัญญากับผมนะ ว่าคุณจะไม่บอกให้ใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่พ่อแม่ของคุณ”
ฮวงเฟิงรู้สึกเป็นกังวลอยู่นิดหน่อยในเวลานี้มันแตกต่างจากผลไม้สีแดงเมื่อครั้งก่อนนี้ เพราะผลไม้สีแดงนั้นได้ถูกกินไปแล้วและไม่ว่าจะมีใครสงสัยยังไงมันก็เปล่าประโยชน์
อย่างไรก็ตามถ้าคัมภีร์เล่มนี้ถูกคนอื่นเห็นเข้า จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าฮวงเฟิงคิดว่าชิวหนิงซวงไม่น่าไว้วางใจเขาก็คงจะไม่เอาคัมภีร์เล่มนี้ออกมาให้ดูอย่างแน่นอน
ชิวหนิงซวงพยักหน้าเธอรับคัมภีร์นั้นไปและอ่านมันอยู่นาน และเธอก็คืนคัมภีร์ให้กับฮวงเฟิง
“นี่คุณหมายความยังไง?”ฮวงเฟิงรู้สึกสงสัย
“ฉันจำเนื้อหาในคัมภีร์ได้แล้วล่ะคัมภีร์นี้มันจะไม่ปลอดภัยถ้าอยู่ที่นี่ ดังนั้นฉันว่ามันคงจะดีกว่าถ้ามันอยู่กับคุณ”
ชิวหนิงซวงกล่าวก็เพราะเธอเห็นตอนที่ฮวงเฟิงหยิบเอาคัมภีร์เล่มนี้ออกมา ชิวหนิงซวงจึงรู้ว่าคัมภีร์เล่มนี้คงจะไม่มีที่ไหนที่จะปลอดภัยไปกว่าที่เดิมที่เคยเก็บมันไว้
“ทำไมเร็วขนาดนั้นล่ะ?”ฮวงเฟิงประหลาดใจนิดหน่อย
“อืม”ชิวหนิงซวงพยักหน้า “แต่ถ้าเผื่อว่าฉันลืม ฉันขอยืมดูอีกหน่อยนะ”
ฮวงเฟิงพยักหน้าเห็นด้วยภายในแหวนมิตินี้ เขารู้ว่ามันจะปลอดภัยกว่าอยู่กับชิวหนิงซวง ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของชิวหนิงซวงก็ยิ่งทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวเธอมากยิ่งขึ้น