กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 315-316
บทที่ 315 ผู้ชายคนนั้น
”ฉันขอโทษ!”
ในอีกด้านหนึ่งหลังจากฮวงเฟิงและซูหยูโม่เดินมาจนพ้นสายตาของถงเฉียนแล้วซูหยูโม่ก็ปล่อยแขนของฮวงเฟิงและกล่าวขอโทษฮวงเฟิง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ขอความยินยอมจาก ฮวงเฟิงและต้องการที่จะเขาใช้เขาเป็นโล่
อย่างไรก็ตามนี่เป็นความคิดที่ดีสำหรับซูหยูโม่ท้ายที่สุดหลังจากที่ถงเฉียนตามจีบเธอมานาน ในอดีตเธอเบื่อมาก แต่ไม่ว่าเธอจะพูดหรือปฏิเสธยังไงอีกฝ่ายก็ยังคงยืนกราน สิ่งนี้ทำให้ซูหยูโม่รู้สึกหมดหนทางมาก เนื่องจากเธอไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ในการจัดการกับคนโกงเช่นนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีเดียว
เพียงเท่านั้นเธอก็รู้ด้วยว่าถงเฉียนจะต้องเกลียดฮวงเฟิงซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกผิด
แน่นอนแม้ว่าซูหยูโม่จะรู้เกี่ยวกับวิธีนี้แต่เธอก็ไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อน ถ้าวันนี้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอไม่ใช่ฮวเงฟิง เธอก็คงไม่เลือกใช้วิธีนี้เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะกอดเธอได้ เป็นเพราะว่ามีฮวงเฟิงอยู่ด้วย เธอจึงทำเช่นนี้
“ไม่เป็นไรหรอกเขาก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าผมอยู่แล้ว แต่เขาคงจะยิ่งเกลียดผมมากกว่าเดิมเลยนะตอนนี้” ฮวงเฟิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ แต่ในใจนั้นเขากำลังครุ่นคิด เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยห้ามไม่ให้ถงเฉียนลงจากรถและในตอนนี้เขาคงจะสั่งให้ใครมาสั่งสอนเขาแล้วก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงการตายของพี่เปียวหัวใจของฮวงเฟิงก็รู้สึกหนักอึ้ง เพราะถงเฉียนนั้นสามารถทำได้ทุกอย่าง
“ฉันรู้ว่าฉันสร้างปัญหาให้คุณแต่ฉันรำคาญเขามากๆ เลย” ซูหยูโม่ยังคงอธิบายต่อ
“ผมเข้าใจ”ฮวงเฟิงกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ที่ต้องแสดงเป็นแฟนให้คุณ ผมก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเลยนะ”
เมื่อซูหยูโม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อขึ้น
เล็กน้อยแต่เธอก็แอบคิดอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าฮวงเฟิงจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องที่เป็นแฟนของเธอ แต่ซูหยูโม่กลับรู้สึกอายในใจดังนั้นเธอจึงไม่กล้าที่จะพูดความในใจออกไป
“เพื่อเป็นการขอโทษฉันจะเลี้ยงข้าวเย็นคุณเองนะ” ซูหยูโม่ใช้โอกาสนี้เอ่ยปากออกมา จริงๆ แล้วเธอนั้นเพียงแค่ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อที่จะได้ทานอาหารเย็นกับฮวงเฟิงเท่านั้น
“งั้นคืนนี้ผมจะถล่มคุณให้ยับเลย”ฮวงเฟิงกล่าวอย่างจงใจ
“คุณอยากจะกินอะไรก็สั่งได้เลย”ซูหยูโม่แสร้งทำตัวเป็นมหาเศรษฐี และทั้งสองก็พากันหัวเราะ หลังจากเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทั้งสองคนก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันว่าจะไปทานอาหารเย็นที่ไหนดีโทรศัพท์ของซูหยูโม่ก็ดังขึ้น และก็คือเซี่ยเมิ่งเจียวนั่นเอง
”พี่หยูโม่นี่พี่อยู่ที่ไหน? ถังมู่เสวี่ย นายทุนเงินหนาทำงานเสร็จแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ” เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าวทางโทรศัพท์
ซูหยูโม่มองไปที่ฮวงเฟิงที่อยู่ข้างๆจากนั้นก็กล่าวขอโทษขอโพย “เมิ่งเจียว คืนนี้ฉันมีนัดแล้ว”
”หา?”เกิดอะไรขึ้น? “ พวกเธอสองคนพบกันเกือบทุกวัน ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร จากนั้นเซี่ยเมิ่งเจียวก็คิดว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาพี่หยูโม่ของเธอได้ไปกับผู้ชายที่เรียกเธอว่า “หยูโม่” หรือว่าจะเป็นคนเดียวกันกับครั้งที่แล้ว?
เมื่อนึกถึงตอนนี้เซี่ยเมิ่งเจียวก็กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า: “พี่หยูโม่ ถ้าถังมู่เสวี่ยมาแล้ว เธออยากจะไปทานข้าวกับพวกเราพร้อมกับผู้ชายคนนั้นไหม??”
ซูหยูโม่ยังไม่คิดว่าเซี่ยเมิ่งเจียวจะเดาได้ง่ายขนาดนี้อย่างไรก็ตามในเมื่อฮวงเฟิงอยู่ข้างๆ เธอ เธอไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ดังนั้นเธอจึงพูดได้เพียงว่า: “ฉันจะเล่าให้เธอฟังทีหลัง ตอนนี้ฉันจะวางสายก่อนนะ”
หลังจากนั้นซูหยูโม่ก็ไม่ได้ให้โอกาสเซี่ยเมิ่งเจียวได้พูดและวางสายทันที
”ถ้าผู้อำนวยการเซี่ยรู้ว่าคุณมากินข้าวกับผมและปฏิเสธเธอ พรุ่งนี้เธออาจจะจับผิดผมอีกครั้งก็ได้นะ” ฮวงเฟิงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยเมิ่งเจียวพูด เขารู้ว่าเซี่ยเมิ่งเจียวไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อเขามากนักแต่ก็ถือว่าดีพอที่จะไม่ไล่เขาออก ดังนั้นหากเขารู้ว่าซูหยูโม่ร่วมรับประทานอาหารกับเขาและปฏิเสธเธอ เธอจะต้องทำให้เขาเดือดร้อนอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวงเฟิงซูหยูโม่ก็ยิ้มออกมาก่อน ราวกับว่าเธอจำอะไรบางอย่างได้ ครั้งสุดท้ายที่เซี่ยเมิ่งเจียวทรมาน ฮวงเฟิงเขากล่าวว่า: “อย่าลดระดับตัวเองลงไปในระดับเดียวกับเธอเลย เธอก็เป็นเพียงเด็กไม่รู้จักโต”
”ผมรู้”ฮวงเฟิงพยักหน้า เขาไม่สงสัยในคำพูดของซูหยูโม่ ดังนั้นเขาจึงไม่ลดระดับตัวเองให้อยู่ไประดับเดียวกับเธอ
“พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”ซูหยูโม่กล่าว
”ไปกันเถอะ”
“พี่หยูโม่นี่เกินไปจริงๆฉันยังพูดไม่ทันจบเลย” อีกด้านหนึ่งนั้น เซี่ยเมิ่งเจียวกำลังพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นักที่ถูกตัดสาย
“มีอะไรงั้นเหรอ?แล้วพี่หยูโม่จะมาถึงตอนไหน?” ในเวลานี้ ถังมู่เสวี่ยได้เดินมาถึงแล้ว เธอเพิ่งจะไปเข้าห้องน้ำมาดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าซูหยูโม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว
“เขาไม่มาแล้วล่ะพี่หยูโม่ไปทานข้าวกับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว” เซี่ยเมิ่งเจียวฟ้อง
“ผู้ชายงั้นเหรอ?”ในตอนแรกถังมู่เสวี่ยตกใจ แต่จากนั้นเธอก็จำฮวงเฟิงได้ อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าเซี่ยเมิ่งเจียวยังไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างซูหยูโม่และฮวงเฟิง
“ใช่แล้วผู้ชายคนนั้นตอนคืนวันที่เธอมาถึงที่เมืองหลวงนี่ไง
ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพี่หยูโม่จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าเพื่อน!”ฮึ คืนนี้เรากลับไปดูกันว่าฉันจะพูดอะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง” เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าว
ถังมู่เสวี่ยมั่นใจว่าซูหยูโม่จะต้องกำลังทานอาหารอยู่กับเขาอย่างแน่นอนเพราะว่าเป็นความคิดของเธอที่ให้ซูหยูโม่โทรเรียกให้ฮวงเฟิงออกมาหาในวันนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่แปลกใจเลยที่ฮวงเฟิงและซูหยูโม่จะกำลังทานอาหารเย็นอยู่ด้วยกันในคืนนี้
”พอแล้วอย่าโมโหไปเลย บางทีพี่หยูโม่คงจะพบความสุขของเธอแล้ว เธอก็น่าจะดีใจกับเขานะ” ถังมู่เสวี่ยกล่าว
”แน่นอนฉันยินดีกับเธอ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนยังไม่ได้รับการยืนยัน พี่หยูโม่ปฏิเสธฉันเพราะเขา ฉันเลยโกรธมากเพราะคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นแน่นแฟ้นกว่า และถ้าทั้งสองคนนั้นจะสร้างความสัมพันธ์ในอนาคต ถ้างั้นมันก็คงจะยากสำหรับฉันที่จะได้เจอพี่หยูโม่” เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าว
”มันจะไม่เป็นแบบนั้นหรอกบางทีเธออาจจะรู้จักผู้ชายคนนั้นก็ได้นะ ผู้ชายคนนั้นอาจจะอยู่ใกล้ๆ พวกเรา และถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราจะได้พบกันบ่อยขึ้น” ถังมู่เสวี่ยนั้นรู้ถึงตัวตนของฮวงเฟิงอยู่แล้ว
”เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม?อยู่ใกล้ๆ พวกเรา? แล้วพวกผู้ชายตัวเหม็นพวกนั้นจะไปคู่ควรกับพี่หยูโม่ของเราได้ยังไง?” เซี่ยเมิ่งเจียวไม่เชื่อ
”ใช่แล้วเธอจะรู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้น” ถังมู่เสวี่ยเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างซูหยูโม่และทั้งสองคนจะยังไม่แน่นอน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ซูหยูโม่ก็ยังพูดเองได้
”เอาล่ะไปกันเถอะ ไปกินข้าวกัน เธอบอกว่าเธอหิวไม่ใช่เหรอ?” ถังมู่ซิ่วกล่าว
”ฉันไม่อยากกินแล้วฉันโกรธจนหูอื้อแล้ว” เซี่ยเมิ่งเจียวยังคงไม่สงบ
อย่างไรก็ตามถังมู่เสวี่ยก็ยิ้มและดึงเซี่ยเมิ่งเจียวออกไป
บทที่ 316 ตกลง
ในที่สุดเซี่ยเมิ่งเจียวและถังมู่เสวี่ยก็ออกไปทานผมว
อีกด้านหนึ่งนั้นฮวงเฟิงนั้นกำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่กับซูหยูโม่ อย่างไรก็ตามทั้งสองคนนั้นกำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งฮวงเฟิงที่แอบรู้สึกพึงใจเมื่อเขาคิดถึงสีหน้าของเซี่ยเมิ่งเจียวที่ถูกปฏิเสธเพราะเขา อีกด้านหนึ่งนั้นซูหยูโม่ก็กำลังคิดถึงเซี่ยเมิ่งเจียวและเธอก็จะต้องอธิบายทุกอย่างให้เธอได้ฟังตอนที่กลับถึงบ้านในคืนนี้
เมื่อฮวงเฟิงและซูหยูโม่กำลังทานอาหารอยู่นั้นถงเฉียนเองก็กำลังรับประทานอาหารอยู่เช่นกันแต่เขาไม่ได้รับประทานอยู่คนเดียว แต่กำลังรับประทานอาหารอยู่กับคาวะชิมะดังนั้นบรรยากาศจึงไม่แย่สักเท่าไร
“ท่านลอร์ดคาวาชิมะลองทานจานนี้ดูสิครับ นี่เป็นเมนูแนะนำของที่นี่จะหาทานที่อื่นไม่ได้เลยนะ” เขากำลังเอาอกเอาใจคาวาชิมะ บางส่วนก็เป็นเพราะว่าเขามีบางอย่างที่อยากจะขอเขา และบางส่วนก็เพราะว่าเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติของพ่อของเขาที่เขาจะต้องเอาใจเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวมากนักและเขาก็รู้ว่าเขาจะต้องทำอะไร
เขาพยักหน้าและจ้องมองดูการกุลีกุจอของถงเฉียนและกล่าวว่า“พวกคนจีนนี่ไม่ค่อยจะมีความสามารถอะไรเลยนะ พวกคุณดีแต่เรื่องกินนี่แหละ”
ถงเฉียนไม่ได้ใส่ใจที่อีกฝ่ายนั้นจะประจบประแจงเขาจริงๆหรือไม่และยังล้อเลียนเขาอีกด้วย เขาจึงเพียงยิ้มและพยักหน้า “นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“ถงเฉียนทำไม่คุณจึงมาหาผมในวันนี้ล่ะ?” คาวาชิมะมองดูถงเฉียนและกล่าวออกมา
เป็นเพราะถงเฉียนจุ้นนั้นให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการปกป้องลูกชายของเขาป้องกันไม่ให้เขารู้เรื่องของตัวเองมากเกินไปและไม่อนุญาตให้เขาเผมไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเองและญี่ปุ่น ดังนั้นแม้ว่าคาวะชิมะจะรู้จักถงเฉียนแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากนักและไม่มีความสนิทสนมกันในรูปแบบใดๆ ในวันนี้ถงเฉียนปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเขามีบางอย่างที่จะขอเขา
“ท่านคาวาชิมะนี่ฉลาดจริงๆ”ถงเฉียนประจบแต่เขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไรและกล่าวว่า “ผมอยากจะขอท่านคาวาชิมะให้ช่วยฆ่าใครบางคน!”
“ฆ่าคนงั้นเหรอ!?”เขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำหรือว่าเขากลัวเรื่องนี้แต่เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่ได้สนิทกับถงเฉียนและจริงๆ แล้วก็ยังแปลกใจอยู่ที่เขาเชิญมาทำอะไรเช่นนี้และยิ่งไปกว่านั้นในสายตาของเขาแล้วถงเฉียนนั้นเป็นเพียงทายาทคนรวยรุ่นที่สองที่ไม่มีฝีมืออะไรเลย และแน่นอนว่าเขานั้นเป็นที่อิจฉาของคนรวยรุ่นที่สองคนอื่นๆ
“ใช่แล้วไอ้คนน่ารำคาญคนหนึ่ง” ถงเฉียนกล่าวขณะที่กัดฟันไปด้วย เขาถูกพ่อของเขาเอาใจจนเสียคน ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะกลายเป็นคนไม่มีหัวคิดที่กล้าขอร้องคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยให้ทำเรื่องประเภทนี้ได้อย่างไรกัน?
“ผมเสียใจนะถงเฉียนผมเป็นเพียงนักธุรกิจ และผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แน่นอนว่าผมจะไม่ไปบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อเห็นแก่คุณถง” หลังจากที่คาวะชิมะให้คะแนนลบกับถงเฉียนแล้วเขาก็ปฏิเสธคำขอร้องของอีกฝ่าย
“ผมจะให้เงินนะ! ท่านทำธุรกิจเพื่อหาเงินไม่ใช่เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นผมก็รู้มาว่าท่านนั้นมีฝีมือมากและสามารถที่จะฆ่าใครก็ได้อย่างง่ายดาย” เห็นได้ชัดว่าถงเฉียนนั้นยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ความจริงแล้วเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไรที่คาวะชิมะแห่งนี้และพ่อของเขาก็ร่วมด้วย
“ผมเสียใจนะคุณเฉียนคุณไปหาคนอื่นทำให้เถอะ” คาวาชิมะจะหว่านล้อมถงเฉียนได้อย่างไรด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำ? เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่าคนแต่เพื่อดูแลเรื่องของตัวเอง และในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถูกจับตามองเสียแล้ว
ถงเฉียนขมวดคิ้วบ่อยครั้งที่เขาขอให้ใครทำอะไรให้มีน้อยคนนักที่จะปฏิเสธเขา อย่างไรก็ตามในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดเช่นไรอีกฝ่ายก็ยังไม่มีท่าทีที่จะตกลง
“นี่มันไม่ฉลาดเลยนะที่ท่านคาวาชิมะปฏิเสธ?”ถงเฉียนขมวดคิ้ว “พ่อของผมมีลูกชายแค่คนเดียว ธุรกิจของท่านก็จะต้องตกทอดมาสู่ผมในอนาคตและผมก็จะได้เผมครอบครองในไม่ช้า”
เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นมีถงเฉียนเป็นลูกชายเพียงคนเดียวดังนั้นถงเฉียนจุ้นจึงไม่ค่อยได้บอกให้เขารู้เกี่ยวกับธุรกิจแต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องชั่วคราวและหลังจากช่วงเวลานี้ไปถงเฉียนก็จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแน่นอน
ปัจจุบันคาวาชิมะไม่รู้ว่าถงเฉียนจุ้นกำลังคิดหาวิธีกำจัดพวกมันอยู่แล้วและเขาจะไม่ปล่อยให้ถงเฉียนทำในสิ่งที่เขาทำต่อไป
สำหรับตระกูลถงพวกเขาเป็นหุ้นส่วนขององค์กรในทวีปและพวกเขามีความแข็งแกร่ง มีประสบการณ์และตกลงที่จะทำงานร่วมกัน ความร่วมมือเช่นนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ดังนั้นทั้งคาวาชิมะและองค์กรที่สนับสนุนเขาจึงไม่อยากยอมแพ้ให้กับตระกูลถง และในฐานะผู้สืบทอดตระกูลแต่เพียงผู้เดียวพวกเขาไม่ต้องการทำให้พวกเขาขุ่นเคืองด้วย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้คาวาชิมะพูดกับถงเฉียนว่า”ถงเฉียน คุณช่วยบอกฉันเกี่ยวกับสถานการณ์ของอีกฝ่ายมาก่อน ส่วนผมจะยอมรับข้อเสนอของคุณหรือไม่เราค่อยคุยกันในภายหลัง”
ในเมื่อคาวะชิมะได้กล่าวไปแล้วจึงไม่มีปัญหามากนักแน่นอนว่าหลังจากที่รู้ว่าฮวงเฟิงเป็นเพียงคุณหน้าที่รักษาความปลอดภัยและอาจมีฝืมือบางอย่าง คาวาชิมะก็คิดสักครู่ก่อนที่จะตอบตกลง แน่นอนคาวาชิมะไม่ใช่คนขี้แพ้ ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้ในการร้องขอเรื่องอื่นๆ ไปยังถงเฉียน
เมื่อเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของถงเฉียนจุ้นแล้วถงเฉียนยังไม่มีประสบการณ์มากนักและมันก็ง่ายที่จะหลอกล่อเขา คาวะชิมะถึงกับคิดว่าถงเฉียนนั้นควบคุมเรื่องนี้ได้ดีกว่าและคิดว่าเขาควรแนะนำองค์กรที่อยู่เบื้องหลังให้เปลี่ยนหุ้นส่วนธุรกิจของพวกเขาและทำให้ถงเฉียนจุ้นหายตัวไปเพื่อที่ถงเฉียนสามารถยึดครองตระกูลถงซึ่งจะทำให้พวกเขาควบคุมตระกูลถงได้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่าถงเฉียนนั้นไม่ได้มีสมองมากนักดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่คนเช่นนี้จะเกิดปัญหา
เป้าหมายของถงเฉียนบรรลุแล้วยิ่งไปกว่านั้นเขาได้สร้างความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนของพ่อของเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจเล็กน้อยและในอนาคตพ่อของเขาก็จะไม่พูดว่าเขาไร้ประโยชน์
ขณะที่ถงเฉียนกำลังสนทนากับคาวะชิมะอย่างมีความสุขอยู่นั้นเขาไม่รู้ว่าพ่อของเขากำลังพยายามคิดหาวิธีที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกเขาและหยุดร่วมมือกับพวกเขาเสีย
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเขาถงเฉียนจุ้น จะไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไป แต่หากคือเขาต้องการที่จะไปร่วมมือกับผู้อื่นเพราะคนอื่นๆ ไม่มีภูมิหลังมากนักและจะไม่สามารถควบคุมเขาได้ ความรู้สึกของการถูกควบคุมโดยคนอื่นนั้นมันไม่ดีและเขาอยากจะกำจัดความรู้สึกนี้มาตั้งนานแล้ว
แน่นอนว่าฮวงเฟิงเองก็ไม่รู้เช่นกันมันไม่ง่ายเหมือนกับการให้บทเรียนกับตัวเอง แต่ถึงฮวงเฟิงจะไม่รู้ แต่เขาก็เดาได้ว่าเขารู้ว่าถงเฉียนเป็นคนแบบไหน