การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 125
ตอนที่ 125
“แกพาฉันมาที่นี่เพราะลับตาผู้คน? ท่าทางแกจะสติฟันเฟือนไม่น้อยเลยนะ”
สุกิโมโตะ เคนย่า คาดหวังอยากเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของซูฮยอน แต่รูปการณ์ตรงหน้าเป็นฝ่ายเขาเสียเองที่แสดงสีหน้าไม่สู้ดีออกมาแทน
หนุ่มเกาหลีบอกเป็นนัยๆว่าตั้งใจพาสุกิโมโตะมาที่แห่งนี้ เพราะสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนสะกดรอยตามแสดงว่าเขาโดนซูฮยอนจูงจมูกมาที่ลับตาคน เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
“แกนี่มันอวดดี จนฉันหมั่นไส้ขึ้นมาเลยว่ะ ไอ้กรัวก”
แสงสว่างในดวงตาของสุกิโมโตะเต็มเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งการฆ่าฟัน เขาจ้องมองใบหน้าของซูฮยอนอยู่พักหนึ่ง ก่อนละสายตามองไปยังดาบที่ซูฮยอนถืออยู่ในมือ
<<ดาบอย่างงั้นเหรอ? >>
ซูฮยอนรับคมดาบของสุกิโมโตะได้ด้วยมือเปล่า พิเคราะห์จากเหตุการณ์เมื่อตอนนั้น ชาวญี่ปูนจึงคิดว่าซูฮยอนถนัดการต่อสู้ประชิดตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้เชี่ยวชาญวิชาหมัด
เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิดถึงขั้นสามารถรับดาบได้ด้วยมือเปล่า แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับชักดาบออกมาเตรียมพร้อมสู้ ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่มีความสมเหตุสมผลเลยสักกระติด
“แกคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกมากหรือไง ถึงกล้าเย้าแหยฉัน?”สุกิโมโตะพูดพลางถ่มน้ําลายลงพื้น
“เย้าแหย่นาย?”
“นายคิดจะใช้ดาบของเล่นโจมตีใส่ฉันจริงๆอย่างงั้นเหรอ ฉันเตือนด้วยความหวังดี นายเก็บดาบของเล่นเข้าฝักไปดีกว่า เกิดดาบหักขึ้นร้องร่มร้องไห้ก็ไม่มีใครปลอบใจหลอกนะอีกอย่างนายควรงัดไฟตายของนายออกมาให้หมด ไม่เช่นนั้นระวังไว้เถอะ แขนของนายอาจด้วนโดยไม่รู้สึกตัว”
ความภาคภูมิใจของและความทะนงตนของ สุกิโมโตะ เคนย่า เหนือล้ํายิ่งกว่าผู้ใด
การเอาชนะซูฮยอนโดยที่อีกฝ่ายงัดความสามารถทุกอย่างออกมาให้หมดเท่านั้น ถึงจะสามารถชําระจิตใจที่ขมขื่นของสุกิโมโตะให้กลับมาสว่างไสวเหมือนเดิมอีกครั้ง
ฉะนั้นการต้องมาประมือกับคู่ต่อสู้ที่ความแข็งแกร่งลดลงเพราะเลือกใช้อาวุธที่ตัวเองไม่คุ้นชินสําหรับเขามันเหมือนการหยามหน้ากันมากกว่า
แต่น่าเสียดายคําเตือนของสุกิโมโตะ จากมุมมองของซูฮยอนมันเป็นคําพูดที่ไร้สาระ
“ดาบของเล่น? นายเพี้ยนไปแล้วหรือไง?” ซูฮยอนตอบกลับ และทันใดนั้นเขาก็ตะหนักได้ถึงความหมายที่แท้จริงของคําพูดสุกิโมโตะ หัวไหล่ของซูฮยอนสั่นไหวโยกพร้อมกันเขาใช้ความพยายามอย่างมาก ไม่ให้ตัวเองพ่นเสียงหัวเราะออกมา “อุปส์…”
“หัวเราะอะไรของแก?”
“หัวเราะที่ไหน ฉันกําลังเสียใจต่างหาก เสียใจเรื่องที่นายคิดว่า ฉันกําลังเย้าแหย่นาย”
ท่าทางสุกิโมโตะจะคิดเองเออเอง ว่าคู่ต่อสู้กําลังหยามเกียรติเขา ไม่ยอมงัดสิ่งที่ตัวเองถนัดออกมาต่อสู้ แต่กลับเลือกใช้สิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นชิน ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย ซูฮยอนก็อยากอธิ บายให้สุกิโมโตะฟังเหมือนกัน ว่าเขาไม่ได้มีเจตนา “เย้าแหย” เลยแม้แต่น้อย
“แกหมายความว่าไง…?”
“ฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญวิชาหมัด ความจริงฉันถนัดการใช้ดาบมากกว่า นอกจากดาบฉันยังใช้อาวุธได้อีกหลายประเภท เช่น หอก เป็นต้น ส่วนกระบวนท่าหมัดฉันแทบไม่ได้ใช้มันเลย…”ซูฮยอนพูดตอบพลางยกมือซ้ายที่ไม่ได้จับดาบขึ้นมา
“การต่อสู้ของพวกนาย ฉันไม่ได้มีเจตนาเข้าไปขัดขวางสักหน่อย ฉันแค่อยากให้คนไม่เกี่ยวข้องอพยพออกจากจุดเกิดเหตุให้หมดก่อนก็แค่นั้น คนที่ขัดขวางนายเป็นกอร์ดอนโรฮันต่างหาก”
การที่ซูฮยอนเข้าห้ามเหตุการณ์โดยใช้มือเปล่า กลายเป็นว่าเขาถูกอีกฝ่ายมองว่าหุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง
ตามที่จริงซูฮยอนก็ไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านเหมือนกัน แต่หากการต่อสู้ยังดําเนินต่อไปอาจมีคนธรรมดาเสียชีวิต แน่นอนว่าสุกิโมโตะทราบถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของซูฮยอนดี
ทว่า…ความขมขึ้นในใจที่ถูกขัดจังหวะ สุกิโมโตะยอมปล่อยผ่านไปไม่ได้
ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญวิชาหมัด แต่เป็นนักดาบ ดวงตาของสุกิโมโตะสั่นระริก เมื่อได้ยินคําพูดเมื่อครู่ความคิดในหัวสมองยุ่งเหมือนยุงตีกัน
<<ไม่ ฉันไม่เชื่อ มันกําลังหลอกให้ฉันตายใจ>>
ศัตรูที่หลอกล้วงคู่ต่อสู้ด้วยเล่ห์กระเท่ห์เพื่อให้ไขว้เขว มักมีอยู่เป็นนิจ
<<ไอ้กรัวกเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาหมัดไม่ผิดแน่ ดาบที่เหน็บไว้ข้างเอวมีไว้สําหรับหลอกตาศัตรูมันวางแผนให้ฉันเพ่งสมาธิไปที่ดาบและอาศัยจังหวะที่ฉันกําลังรับมือคมดาบโจมตีช่องโหว่>>
หลังจากจัดระเบียบความคิดอ่านเข้ารูปเข้ารอย สุกิโมโตะสงบสติอารมณ์ได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
<<แผนของแกใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอก ไอ้เด็กเวร>>
ขณะสุกิโมโตะแสร้งทําสีหน้าหลงกลแผนการของซูฮยอน เขาแอบวางแผนเอาไว้ในใจเงียบๆ
ดวงตาที่เปล่งประกายของสุกิโมโตะจับจ้องไปที่คอหอยซูฮยอน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง เขาจึงวางแผนว่าจะตัดหัวของซูฮยอนให้ได้ภายในการโจมตีคราเดียว
สังหารเป้าหมายด้วยการเหวี่ยงดาบเพียงครั้งเดียว คือสิ่งที่สุกิโมโตะตั้งใจเอาไว้
<<ละแวกนี้ ไม่มีพยานบุคคลและไม่มีกล้องวงจรปิด>>
สถานที่แห่งนี้เหมาะเป็นอย่างมากในการเริ่มดําเนินแผนการ
ฟรึ่บ!!
ร่างกายของสุกิโมโตะกระพริบฉุบแล้วไปปรากฏอยู่บริเวณด้านหลังซูฮยอนชั่วพริบตา
เมื่อสุกิโมโตะไปถึงด้านหลังซูฮยอนได้สําเร็จ แต่เป้าหมายการสังหารยังคงยืนนิ่งไร้การเคลื่อน ไหว เขายิ่งมั่นใจว่าชัยชนะตกอยู่ในมือของเขาเรียบร้อย
<<เสร็จฉันล่ะ>>
ตุบ!!!
จังหวะที่สุกิโมโตะกําลังง้างมือ จู่ๆการมองเห็นของเขาก็พร่ามัวกะทันหัน
หัวสมองของสุกิโมโตะได้รับแรงกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วง แรงกระแทกบริเวณ หนังศีรษะทําให้สมองของเขาเกือบกระดอนออกมาสูดอากาศโลกภายนอก
<<อีก…>>
เกิดอะไรขึ้น?
ร่างกายของสุกิโมโตะตอนนี้นอนคว่ําหน้าอยู่บนพื้น เขาพยายามยกหัวขึ้น แต่ก็ทําไม่ได้เพราะมีบางอย่างกดหัวเขาเอาไว้
“นายทําให้ฉันประหลาดใจจริงๆ”
ส้มสียงที่ทําลายความเงียบสงบ คือน้ําเสียงของซูฮยอน..
“เทคนิคที่นายใช้ เรียกว่า การสั่นไหวร่างกาย ใช่หรือป่าว? ฉันไม่คิดเลยนะว่านายจะมีเทคนิคยอดเยี่ยมอย่างงั้นอยู่ในมือด้วย แม้จะคงสภาพได้ไม่นาน แต่ก็ถือว่าใช้ได้ ไม่แปลกใจทําไมนายถึงมั่นใจตัวเองนัก”
สุกิโมโตะตกตะลึงกับเสียงการสันนิษฐานของซูฮยอนที่ดังออกมาจากด้านหลังของเขาเทคนิคที่เขาเก็บไว้เป็นไม้ตายก้นหีบ กลับโดนศัตรูล่วงรู้ ไม่ใช่แค่ผลของเทคนิค แม้แต่ชื่อเทคนิคศัตรูยังรัง
<<แต่ได้ไงกัน?>>
ไม่ใช่สิ…ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ศัตรูล้วงรู้เทคนิคได้อย่างไร แต่ปัญหาที่สุกิโมโตะควรพะวงคือศัตรูสามารถรับมือกับเทคนิคสั่นไหวร่างกายได้ยังไงต่างหาก สุกิโมโตะเชื่อมั่นมาตลอดเทคนิคที่เก็บไว้เป็นไพ่ตาย ไม่มีทางหลบหรือป้องกันได้แน่
ปัง!!
ศีรษะของสุกิโมโตะกระแทกพื้นเต็มแรง ความเจ็บปวดสุดแสนสาหัสแล่นไปทั่วใบหน้าส่งผลให้เขาเจ็บปวดปานขาดใจ ซูฮยอนกระแทกหัวของชาวญี่ปุ่นลงพื้นอีกครั้งอย่างไร้ความปรานี
“อ๊ากกกกกก”
หัวของสุกิโมโตะฝังจมดิน เสียงร้องครวญครางสุดเวทนาไม่ทําให้ซูฮยอนใจอ่อน
สุกิโมโตะพยายามกระเสือกกระสนสุดชีวิต เพื่อสลัดมือของซูฮยอนที่กุมเส้นผมเอาไว้ให้หลุด
<<ไอ้เด็กเวรคนนี้ มีพละกําลังเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?>>
ความพยายามของสุกิโมโตะกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะลองอีกกี่ครั้ง หัวของเขาก็สลัดหนีมือคู่นั้นไม่หลุด หมายความว่าสเตตัสด้านพละกําลังของเขาและซูฮยอนมีความห่างชั้นกันเกินไป..
<<ในเมื่อเป็นแบบนี้ แม้หัวของสุกิโมโตะจะถูกซูฮยอนกดแนบติดไปกับพื้น แต่มีอที่จับดาบเอาไว้ ยังเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เขาจัดแจ้งกุมดาบให้กระชับมือ…. “ดาบเล่มนี้สินะ ที่เล็งฟันบริเวณต้นคอของฉันเมื่อสักครู่ “ซูฮยอนพูด ทันใดนั้นเอง สุกิโมโตะตัดสินใจเหวี่ยงดาบ ฟันไปยังต้นเสียงของซูฮยอนอย่างมุ่งมันอีกรอบ เนื่องจากเขานอนคว่ําแผ่หลาหน้าติดพื้น แรงเหวี่ยงดาบจึงลดทอนไปหลายส่วน แต่อานุภาพของการฟัน ยังสามารถคุกคามศัตรูให้เกิดความหวาดกลัวได้ และด้วยเหตุนี้ ซูฮยอนที่อยู่ใกล้รัศมีดาบมากที่สุดไม่มีทางหลบคมดาบพ้นแน่ สุกิโมโตะกระยิ้มกระย่องในใจ สุดท้ายเขาก็สามารถตัดหัวชาวเกาหลีได้เสียที แต่ทว่า… <<หม?>>
ไม่รู้ทําไม ความรู้สึกคมดาบกระทบผิวหนัง เขาถึงสัมผัสไม่ได้ผ่านด้ามดาบ
“นายคิดจะทําอะไรเหรอ?”
ซูฮยอนกระชากหัวของสุกิโมโตะขึ้นมาจากพื้นและยกค้างไว้ ชาวญี่ปุ่นที่มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบๆได้ชัดเจนอีกครั้ง รีบก้มหน้ามองสํารวจดาบของตนเองก่อนเป็นอย่างแรก..
“ดาบมังกรร่ําไห้ของฉัน…”
ดาบมังกรร่ําไห้ อาวุธที่ผู้คนมากมายต่างโปรดปรานและอยากได้มาครอบครอง ไม่เว้นแม้แต่สุกิโมโตะ เคนย่า
อาวุธชิ้นนี้จุดเด่นของมันคือความคมที่สามารถตัดได้เกือบทุกอย่างบนโลก นอกจากนี้ ความทนทานของมันก็สูงไม่ใช้เล่น ในบรรดาดาบคาตานะของญี่ปุ่น อาวุธของเขาถือได้ว่าล้ําเลิศที่สุด
ดาบมังกรร่ําไห้เป็นอาวุธคู่ใจของสุกิโมโตะมาเนิ่นนาน เขาใช้มันมาตั้งแต่สมัยเป็นแรงค์ A หน้าใหม่ จวนมาถึงปัจจุบันก็ยังใช้งานอยู่ ทว่าดาบมังกรร่ําไห้ที่แสนยอดเยี่ยม กลับหักครึ่งออกมาจากกัน
<<หรือว่าจะเป็นตอนนั้น? >>
การต่อสู้ระหว่างพวกเขา 2 คน กินเวลาไปเพียงหนึ่งลมหายใจ
แน่นอนว่าการโจมตีของสุกิโมโตะรอบล่าสุดเต็มไปด้วยความเลินเล่อ กระนั้นด้วยระยะเวลากระชั้นชิด ซูฮยอนไม่มีทางเตรียมตัวทําลายดาบมังกรร่ําไห้ได้ทันแน่นอน เพราะมือ 2 ข้างของซูฮยอนยังคงกดหัวเขาเอาไว้และพยายามควบคุมไม่ให้เขากระดุกกระดิก…
เพราะแบบนั้น เขาจึงยอมทําใจเชื่อไม่ลงว่า ดาบมังกรร่ําไห้ หักออกจากกันได้อย่างไรแถมยังรวดเร็วจนเขาไม่รู้สึกตัวเลยด้วย
“ฉันบอกนายไปแล้ว ทําไมถึงไม่ยอมฟังกันเลยห้ะ? คนที่ขัดขวางนายไม่ใช่ฉัน แต่ เป็นกอร์ดอนโรฮันต่างหาก”
ซูฮยอนพูดจบก็เอื้อมมือหยิบดาบมังกรร่ําไห้ขึ้นมาแล้วเขวี้ยงทิ้ง สุกิโมโตะเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตา เขาพยายามสะบัดหัวเพื่อหลุดพ้นจากภาพลวงตาแต่น่าเสียดายที่เหตุการณ์ตรงหน้าเป็นความจริง
<<ไอ้เด็กเวรคนนี้ แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!! >>
ซูฮยอนปรายตามองดาบมังกรร่ําไห้ที่หักออกจากกันและพูดขึ้นว่า “นายควรหมั่นดูแลอาวุธคู่ใจให้ดีกว่านี้หน่อยนะ เห็นไหมว่าดาบของนายหักง่ายอย่างกับกิ่งไม้เลย ฉันรู้จักช่างตีเหล็กมากฝีมืออยู่นายอยากให้ฉันแนะนําให้รู้จักหรือป่าว?”
เมื่อได้ยินคําพูดกระแทกแดกดันของซูฮยอน ดวงตาของสุกิโมโตะสั่นงัก
มีแต่คนปัญญาอ่อนเท่านั้นที่มองสถานการณ์ปัจจุบันไม่ออก ตราบใดที่ซูฮยอนต้องการตัดหัวสุกิโมโตะ เขาสามารถทําได้ตลอดเวลา
“ฉันคนนี้เป็นฝ่ายแพ้หลุดลุ่ย อย่างงั้นน่ะเหรอ”สุกิโมโตะพูด
“ของมันแน่อยู่แล้ว ดูสารรูปของนายสิ”
“ฉะ ฉันขอโทษ อย่างที่นายเห็น นิสัยของฉันค่อนข้างเป็นคนอารมณ์ร้อน เพราะฉะนั้น”
“นายวางแผนกวัดแกว่งดาบตัดหัวฉันให้หลุดออกจากบ่าด้วยการโจมตีครั้งเดียว แต่พอสถานการณ์พลิกผัน ไม่เป็นดั่งแผนการที่วางเอาไว้ นายกลับนอนร้องห่มร้องไห้ วิงวอนเป็นหมาขี้แพ้ตัวหนึ่งเลยนะ” ซูฮยอนบนรําพึงออกมาและส่ายหน้า
“คําวิงวอนของนาย ฉันไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด”
“เดี๋ยวก่อน…”
ซูฮยอนไม่สนใจเสียงตะโกนกระวนกระวายของสุกิโมโตะ เขาใช้ดาบของตัวเองกระซวกแทงไปที่คอหอยของชาวญี่ปุ่นอย่างจัง
“ในเมื่อนายวางแผนสังหารใครสักคน อย่างน้อยนายก็สมควรเตรียมใจเอาบ้าง หากเป้าหมายการสังหารสามารถสวนกลับการโจมตีของนายได้ คนที่จะตาย จะเป็นนายซะเอง”
“อ๊ากกกกก…”
“ไม่มีพยานบุคคล และ ไม่มีกล้องวงจรปิด
ซูฮยอนปล่อยมือออกจากหัวของสุกิโมโตะและลุกขึ้น
“สถานที่แห่งนี้สมบูรณ์แบบสุดๆเลย นายว่าไหม”
เมื่อฮักจุนกลับมาถึงโรงแรม สิ่งแรกที่เขาทําคือเปิดทีวีและล้มตัวนอนลงบนโซฟา
ไม่นานหลังจากนั้น ลีจุนโฮก็กลับมาถึงโรงแรมเป็นคนที่ 2 เขาหอบข้าวของพะรุงพะรังเข้ามาในห้องพักแล้วตรงดิ่งไปยังโต๊ะอาหาร
เมื่อหารือกับกิลด์ริปเปอร์เสร็จสรรพ ระหว่างทางกลับที่พักลีจุนโฮแวะซื้อของกินข้างทางเล็กน้อยทําให้มือสองข้างถือถุงที่เต็มไปด้วยของกิน
“นายอยู่คนเดียวเหรอ ซูฮยอนไปไหนล่ะ?”ลีจุนโฮถาม
“ผมคิดว่าพี่ซูฮยอนคงปลีกตัวออกไปจัดการธุระอะไรบางอย่างล่ะมั้ง”
“ ปลีกตัวไปทําธุระอย่างงั้นเหรอ นายรู้ไหมเขาไปที่ไหน?”
“พี่ซูฮยอนฉุกละหุกจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ซูฮยอนไปที่ไหน”ฮักจนพูดจบพลันลุกขึ้นจากโซฟา เขาเดินไปที่โต๊ะอาหารแล้วหยิบคุกกี้ขึ้นมากินจู่ๆเขาก็หันหน้าไปมองประตู
“พี่ซูฮยอนตายยากจริงๆ พูดถึงก็มาเลย”
“นายกําลังมองอะไรเหรอ?”
ลีจุนโฮจ้องมองไปที่ประตูตามฮักจุน ไม่นานประตูก็ส่งเสียงกึก ซูฮยอนไขประตูแล้วเดินเข้ามาในห้องพัก
ฮักจุนกล่าวทักทายซูฮยอน “ยินดีต้อนรับกลับครับ”
ลีจุนโฮกล่าวเสริม “นายกลับมาเร็วจัง ฉันนึกว่าจะนานกว่านี้ซะอีก”
“ผมตกใจแทบตาย จู่ๆพี่ออกวิ่งจืดออกไป ผมตามหาพี่ตั้งนานแต่ก็ไม่เจอ ไม่รู้จะหาพี่เจอได้ที่ไหนผมจึงตัดสินใจกลับไปรอที่โรมแรม โชคดีที่โรมแรมตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินผมเลยหาโรงแรม เจอได้ไม่ยาก”
ฮักจุนหันไปพูดกับซูฮยอนขณะที่ในปากเคี้ยวคุกกี้แก้มตุ่ย ท่าทางของฮักจนไม่มีความเสียใจแกมอยู่ในน้ําเสียงหรืออากัปกิริยา ซอยอนที่กังวลมาตลอดทางจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
เขาถอดร้องเท้าวางไว้หน้าประตูและเดินไปที่โต๊ะอาหาร
ลีจุนโฮมองสลับไปมาระหว่างซูฮยอนและฮักจุน ก่อนสายหน้า
<<มองไปที่พวกเขาที่ไร เหมือนฉันกําลังมองมนุษย์ต่างดาวที่มาจากจักรวาลอันไกลโพ้นตลอดเลยแฮะ>>
ฮันจุนสัมผัสได้ถึงตัวตนของซูฮยอนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
ลีจุนโฮรู้ดีว่าระหว่างแรงค์ A และ S มีความแตกต่างกัน แต่เมื่อทราบความจริงว่าคนที่เปรียบเสมือนพี่น้องคนสนิท อย่างฮักจนก้าวขึ้นไปอยู่ในตําแหน่งที่สูงกว่าเขา ภายในใจของลีจุนโฮมีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ตั้งแต่มาถึงสหรัฐอเมริกาไม่มีของกินตกถึงท้องซูฮยอนเลยสักอย่าง เมื่อเห็นบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยของกินที่ลีจุนโฮซื้อมา ซอยอนที่รู้สึกท้องกิ่วมาได้สักพัก รีบสวาปามเบอร์เกอร์และอาหารหลายชนิดเข้าไปเต็มปาก เพื่อบรรเทาอาการหิวโซ
ระหว่างทั้ง 3 คนนั่งรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ลีจุนโฮสังเกตเห็นเสื้อของซูฮยอนมีรอยขาดเขาเลยถามออกไปด้วยความสงสัย
“ซูฮยอน เสื้อของนายไปโดนอะไรมาหรือป่าว..?”
“เสื้อฉัน? “ซูฮยอนก้มมองเสื้อยืดของตัวเอง เขาพบว่าบริเวณกลางหน้าอก เสื้อยืดเกิดรอยแหว่งลงไปมองเห็นเนื้อหนังวับ ๆ แวม ๆ
“สงสัยคงไปเกี่ยวอะไรสักอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก”
เหมือนว่าระหว่างการต่อสู้คมดาบของสุกิโมโตะจะสามารถเฉือนเสื้อยืดกลางหน้าอกไปได้ เล็กน้อย แต่ร่างกายของซูฮยอนไม่ได้รับบาดเจ็บ มีเพียงเสื้อยืดที่ขาดแหว่งออกไปเท่านั้น
ดาบของชาวญี่ปุ่นมีความคมสูงมาก ซูฮยอนจึงไม่ทันสังเกตเห็นรอยเสื้อขาด
“ไม่ใช่ว่านายไปต่อสู้กับใครบางคนมาหรอกนะ?”
“ใช่ซะที่ไหน”ซูฮยอนยิ้มตอบพลางกัดเบอร์เกอร์เข้าปาก
“ฉันไม่ได้ซัดกับใครมาจริงๆนะ”
“เฮ้อ… ฉันยอมเชื่อก็ได้”
ลีจุนโฮไม่ใช่พวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน ในเมื่อซูฮยอนไม่ยอมบอก เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้
อาหารบนโต๊ะร่อยหรอลงไปหลายอย่าง ซูฮยอนหยุดกินชั่วครู่และเอ่ยปากถาม “นายไปพบกิลด์ริปเปอร์ หรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว รองกิลด์มาสเตอร์ของพวกเขาพึ่งมาถึงได้ไม่นานเหมือนกัน”
“แล้วพัคจียอนล่ะ เธออยู่ด้วยหรือปาว?”
“ฉันไม่เห็นตัวเธอนะ แต่ฉันคิดว่าเธอคงไม่สนใจเข้าร่วมงานครั้งนี้หรอก ไม่แน่สาเหตุที่เธอหายตัวไปคงกําลังง่วนอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบนั้นแหละ”
“อย่างงั้นเหรอ สมกับเป็นเธอดี”
ซูฮยอนก็หลงลืมไปเหมือนกัน ว่าสงครามแก่งแย่งอันดับในอดีตมีใครเข้าร่วมงานบ้าง แต่เขามั่นใจพัคจียอนกระตือรือร้นต่องานครั้งนี้น้อยมาก บางทีเธออาจคิดว่า ต่อให้เธอเข้าร่วมสงครามแก่งแย่งอันดับ เธอก็ไม่สามารถบรรลุอันดับสูงสุดในงานครั้งนี้ได้อยู่ดีเธอเลยปล่อยวางและเลือกไม่เข้าร่วม
“รอบคัดเลือกเริ่มพรุ่งนี้ใช่ไหม?”
“ถูกต้อง จากที่ฉันไปตรวจสอบมา งานจะเริ่มตั้งแต่เวลาบ่ายสองเป็นต้นไป
ฮักจุนที่กินอิ่มหนําก่อนคนอื่นแยกตัวออกไปดูทีวีบนโซฟา เมื่อหูได้ยินซูฮยอนและลีจุนโฮพูดคุยเกี่ยวกับสงครามแก่งแย่งอันดับ เขากระเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งไปร่วมวงสนทนาด้วย
“ผมได้ยินมาว่ารอบคัดเลือก จะมีเจ้าหน้าที่อาสาอธิบายเกี่ยวกับข้อปฏิบัติและภารกิจให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันรับทราบ ใช่ไหมครับ?”
“ไม่รู้สิ คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษหรอก”
“แล้วการแข่งขันหลักล่ะครับ มีกฎกติกาออกมาหรือยัง?”
“จากข่าวลือที่ฉันได้ยินผ่านหู ยังไม่มีใครทราบถึงกฎกติกาเลยสักคน แต่ฉันเดาว่าคงหนีไม่พ้นจับคู่ต่อสู้กันนั้นแหละ แต่ผู้ชนะตัดสินจากอะไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจคํานวณจากคะแนนหรือไม่ก็ต่อสู้จนว่าจะมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว จากคําสัมภาษณ์ของกอร์ดอนโรฮัน เขาบอกว่าจะสรรหาวิธีที่ยุติธรรมมากที่สุด เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเกิดความพอใจ”
“สรุปง่ายๆคือพวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลยสินะ”
“ข่าวการเคลื่อนไหวล่าสุดที่พึ่งประกาศออกมาเมื่อไม่นาน ทางผู้จัดงานกําลังติดตั้งอุปกรณ์บางอย่าง เพื่อป้องกันให้ผู้ชมสงครามแก่งแย่งอันดับปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ทว่า…”ลีจุนโฮมองสลับระหว่างซูฮยอนและฮักจุนพักหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “สําหรับผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันให้หรอกนะ ขอบอกไว้ก่อน”
หนึ่งในกฏข้อบังคับของการแข่งขันที่ระบุออกมาอย่างชัดเจน คือห้ามสังหารผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นๆเด็ดขาด อย่างไรก็ตามกฏข้อบังคับเป็นได้เพียงข้ออ้างบังหน้าเพื่อให้สามารถจัดงานสงครามแก่งแย่งอันดับขึ้นและดูไม่อันตรายเท่านั้น พอถึงสถานการณ์จริงกฏที่ห้ามฆ่ากันอาจใช้ไม่ผลจริง
ปัญหาที่ทําให้ลีจุนโฮกลัดกลุ้มมาโดยตลอด คือความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานเนี่ยแหละ “ซูฮยอน ฉันไม่เป็นห่วงอยู่แล้ว เพราะนายมันผิดมนุษย์มนา แต่สําหรับฮักจุน นายต้องตั้งส ติให้ดีอย่าประมาทคนรอบข้าง มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้ทั้งหมด นายอาจเป็นคนที่อ่อนแอมากที่สุด”
“ไม่ต้องกังวล ผมรู้ความสามารถตัวเองดี เป้าหมายแรกผมคือผ่านรอบคัดเลือกให้ได้ก่อน”
“ด้วยอุปนิสัยของนาย ต่อให้ฉันเตือนปากเปียกปากแฉะ นายก็ไม่ฟังอยู่ดี”
“ถามพี่ซูฮยอนกันบ้างดีกว่า พี่คิดว่างานครั้งนี้ พี่จะสามารถคว้าชัยชนะมาไว้ในมือได้ไหม?”
ฮักจนไม่อยากฟังลีจุนโฮบ่นกระปอดกระแปด จึงรีบเบี่ยงประเด็นไปถามซูฮยอนกลบเกลื่อน
หลังจากรับประทานอาหารส่วนของตัวเองหมดเกลี้ยง ซูฮยอนหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็คริมฝีปาก จากนั้นก็พยักหน้าตอบกลับฮักจุน
“หากมีฉันเข้าร่วมงาน ชัยชนะต้องตกเป็นของฉันแน่นอนอยู่แล้ว”
“ตอบได้ไม่เคอะเขินสมกับเป็นพี่ซูฮยอนจริงๆ แต่ว่างานสงครามแก่งแย่งอันดับคนที่เป็นเสี้ยนหนามของพี่ คงหนีไม่พ้นชายที่ชื่อกอร์ดอนโรฮัน”
“ฉันก็คิดแบบเดียวกับนายเหมือนกัน”
ซูฮยอนหวนนึกถึงใบหน้าของกอร์ดอนโรฮันที่พึ่งเจอกันบนชั้นที่ 200 ของหอคอยกอร์ดอน..
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชาวอเมริกาคนนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ซูฮยอนเท่านั้นที่ยอมรับ กระทั่งผู้คนทั่วโลกก็ยอมรับความจริงข้อนั้นไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม…
“บนโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่แน่คนที่สามารถคว้าชัยชนะในสงครามแก่งแย่งอันดับ อาจเป็นคนอื่นก็ได้”
ช่วงชีวิตก่อนหน้า ซูฮยอนไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับสงครามแก่งแย่งอันดับมากนัก เพราะแรงค์ของเขาไม่สามารถเข้าร่วมงานที่จัดขึ้นในอดีตได้
สงครามแก่งแย่งอันดับครั้งนั้น มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เข้าร่วมหนาหูหนาตา จะให้ซูฮยอนไปนั่งจําชื่อทุกคนก็ใช่เรื่อง แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ซูฮยอนจําได้ขึ้นใจ..
<<ในอดีต ผู้ที่สามารถคว้าชัยชนะของสงครามแก่งแย่งอันดับมาไว้ในมือได้ ไม่ใช่กอร์ดอนโรฮัน>>
ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าบนโลกนี้ ต้องมีผู้ตื่นขึ้นบางคนมีความสามารถเทียมบ่าเทียมไหล่กับกอร์ดอนโรฮันดํารงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก..
เหตุการณ์ที่ผู้คนทั่วโลกพูดคุยกันหนาหูและแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว คือเหตุการณ์ที่ผู้ตื่นขึ้นตัวเต็งชาวอเมริกาไม่สามารถคว้าชัยชนะมาครอบครองในอ้อมกอดได้
สงครามแก่งแย่งอันดับ…
งานอีเว้นท์สุดยิ่งใหญ่ที่กอร์ดอนโรฮันเป็นคนต้นคิด และเป็นเวทีที่ตระเตรียมเอาไว้สําหรับประกาศศักดาตนเอง ทว่าเหตุการณ์กลับคลาดเคลื่อนไปจากความจริงที่จินตนาการไว้ผู้ตื่นขึ้นปลีกตัวแยกจากสังคม ซ่อนเร้นกายในเงามืด ตื่นขึ้นจากการหลับใหลโดยพลันเขาฉุดตัวเองขึ้นมาอาบแสงสว่างยังพื้นเบื้องบนอย่างสง่าผ่าเผย เพียงชั่วข้ามคืนกิตติคุณของเขาเลื่องลือขจรไปทั่วโลก