การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 138
ตอนที่ 138
ตูม!!!
ชั้นที่ 1 ของหอคอยกอร์ดอนเสียหายยับเยิน ความโกลาหลลุกลามไปทั่วทุกหัวระแหง
จากเดิมมีผู้ตื่นขึ้น 10 คน แต่ขณะนี้สิ้นลมหายใจไปแล้ว 2 คน
สเตฟานหาที่ซ่อนตัว พยายามเลี่ยงการต่อสู้ให้ได้มากที่สุด ภายในมือกําหินสีดําแน่น
<<บัดซบเอ๊ย ใครก็ได้ติดต่อกลับมาที่ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป>>
ยามตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ผู้ตื่นขึ้นที่มีมาตุภูมิมาจากทวีปยุโรปและทํางานภายใต้สหภาพยุโรป พวกเขาจะมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณชนิดหนึ่ง ที่สามารถส่งข้อความถึงกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว อุปกรณ์ส่งสัญญาณที่สร้างขึ้นมีพลังเวทย์หล่อเลี้ยงอยู่ภายในแรงสั่นสะเทือนจึงมากกว่ามือถือหลายสิบเท่า
ต่อให้กําลังสู้รบตกมือกับศัตรูอย่างอุตลุด แต่แรงสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านอุปกรณ์สัญญาณคุณสามารถรับรู้ได้แจ่มแจ้ง
<<เหตุที่ไม่มีใครติดต่อกลับมา อย่าบอกนะว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นก็เลวร้ายไม่แพ้กัน? >>
ดึง!! ดึง!!
ในที่สุดก็มีคนติดต่อสเตฟานกลับมา เขารีบล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบมือถือขึ้นมาเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นของ อาเดล
“ทําบ้าอะไรอยู่! ทําไมพึ่งติดต่อกลับเอาปานนี้?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าบ้าเอ๊ย ยังมีหน้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้นอีกเหรอ? พวกเราต้องการกําลังเสริมเพิ่ม แค่ 10คนจัดการเป้าหมายไม่ได้!!”
ตูม!
“อ๊ากกกกกกก!”
ระหว่างกําลังหารือผ่านมือถือ ทันใดนั้นเองเสียงร้องครวญคราง ดังแว่วมาจากด้านหลังของสเตฟาน
เขารีบมองเหลียวหลังไปดู พบว่าบนพื้นมีเพื่อนร่วมกลุ่มคนหนึ่งถูกคมดาบฟันแขนขาดนอนดิ้นพล่านบิดตัวไปมา เลือดสีแดงละเลงเต็มพื้นกระเบื้อง ด้วยเหตุฉะนี้จํานวนผู้ตื่นขึ้นที่สามารถต่อสู้ได้จึงเหลือด้วยกันทั้งสิ้น 7 คน นับรวมตัวเขา
สเตฟานกล่าวพูดผ่านมือถือด้วยน้ําเสียงสิ้นหวัง “ทางฟากนาย การต่อสู้คงไม่หนักหนาสาหัสอะไรมาก ช่วยเจียดอย่างน้อย 5 คน มาสมทบฉันหน่อย ขอด่วนที่สุด”
“เห็นทีคงจะไม่ได้ เพราะทางฝากฉันสถานการณ์ก็ย่ําแย่ไม่ต่างจากนาย”
“อะไรนะ!!!”
“ตอนแรกฉันกะจะขอความช่วยเหลือจากกลุ่มนายเหมือนกัน แต่ว่า…”
สเตฟานไม่จําเป็นต้องฟังคําพูดที่เหลือ ก็สามารถคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ของพวกเขากําลังตกอยู่ในอันตราย กล่าวคือภารกิจที่พวกเขาแบ่งหน้าที่กัน ไม่มีใครทําสําเร็จ แถมยังเต็มไปด้วยขวากหนาม
<<หากขอความช่วยเหลือไม่ได้ ก็หมายความว่า…>>
สายตาของเขาพิศดูซูฮยอน
<<พวกเราต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตัวนั้นด้วยตัวเองงั้นเหรอ?>>
ไม่ต้องกล่าวถึงคนที่ตกอยู่ในอาการร่อแร่ ที่ผ่านมาพวกเขาทุกคนพยายามระดมโจมตีซูฮยอนอย่างไม่ลดละ แต่ก็ไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้อีกฝ่ายได้เลยสักนิด การโจมตีล้มเหลวไม่เป็นท่า
หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้ตื่นขึ้นจากสหภาพยุโรปที่โชคร้ายหมดลมหายใจจะตายอย่างไร้ค่า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ จะให้พวกเราทํายังไงดี?”
“คือว่า……….”
ตูม!!
สเตฟานได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นออกมาจากมือถือ จากนั้นสายของอาเดลก็ถูกตัดไป..
“บัดซบ!!”
เคล้ง!!
สเตฟานเขวี่ยงมือถือลงพื้นด้วยความฉุนเฉียว เขาก้มหน้ามองหน้าจอมือถือที่แตกร้าว แต่ก็ไม่ทําให้อารมณ์ของเขาดีขึ้น เพราะสถานการณ์ที่เขากําลังประสบตรงหน้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายสุดขั้ว
“พวกเราจะทําอย่างไรดี ถึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้”
“เหมือนแผนการที่วางไว้ จะไม่เป็นไปตามที่นายต้องการนะ”
สเตฟานเอี้ยวคอไปข้างหลัง มองเจ้าของเสียง
ซูฮยอนย่างก้าวใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งกุมคอผู้ตื่นขึ้นไม่ทราบชื่อ ผู้ตื่นขึ้นที่ยืนอยู่วงนอกเกิดความหวาดกลัวขึ้นสมอง จนไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวร่างกายส่งเดช
“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหม การแบ่งกลุ่มเพื่อจัดการ 2 เป้าหมายพร้อมกัน เป็นความคิดที่ผิด”
“การต่อสู้ยังไม่จบ อย่าลําพองใจให้มากนัก…”
“หึ ทําอย่างกับว่านายมีสกิลที่สามารถโค่นฉันได้ยังงั้นแหละ นายนี่มันทะนงตัวไม่ดูตาม้าตาเรือเลยจริงๆ”
ซูฮยอนกล่าวเยาะเย้ยถากถางใส่สเตฟานและคลายมือปล่อยคอผู้ตื่นขึ้น
“แค่ก!! แค่ก!!”
ผู้ตื่นขึ้นดวงอาภัพที่โดยซูฮยอนบีบคอ เมื่อเป็นอิสระจากมืออันแข็งแกร่ง เขาสําลักน้ําลายและไอออกมาอย่างหนัก ดวงตาทั้ง 2 ข้างแดงก่ํา
ไม่นานลมหายใจก็เริ่มสงบนิ่ง เขารวบรวมแรงกายเงยหน้าขึ้นจ้องตาซูฮยอน ใบหน้าที่เคยนสีซีดเผือกลงทันตา
“อ๊ากกก”
ผู้ตื่นขึ้นคนนั้นรีบพลิกตัว คลานสีขาหนีตะกุยตะกายออกห่างจากซูฮยอน
สเตฟานที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กําลังคนหายไปอีก 1 คน ภาระของกลุ่มจึงตกมาอยู่บนบ่าเขามากขึ้น คนที่มีสภาพจิตใจพร้อมต่อสู้ตอนนี้เหลือเพียง 6 คนนับรวมตัวเขา
“ฉันไม่ใช่คนอํามหิต ดังนั้นฉันจึงมีโอกาสมามอบให้กับพวกนายทุกคน” ซูฮยอนพูดพลางใช้สายตาพินิจสเตฟานที่มีภูมิฐานและน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
“โอกาสที่พวกนายทุกคนจะออกไปจากที่นี่อย่างมีชีวิต”
“โอกาส?”
“ถูกต้อง นายสนใจไหม?”
สเตฟานมีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายกําลังดูถูกดูแคลนพวกเขา แต่ต้องยอมรับความจริงว่าคําพูดของซูฮยอนกระตุ้นความสนใจของเขาได้พอสมควร ถ้าพวกเขาดันทุรังต่อสู้กับซูฮยอนต่อไปผลลัพธ์สุดท้ายพวกเขาจะตายที่นี่เหมือนหมาข้างถนน หากโอกาสมีชีวิตรอดต่อไปปรากฏขึ้นต่อหน้าแม้มันจะเป็นความหวังที่ริบรี่ แต่เขาก็อยากไขว่คว้ามันไว้
“ที่นายพูดมาเป็นเรื่องจริงเรอะ?”ผู้ตื่นขึ้นที่โดนซูฮยอนบีบคอก่อนหน้านี้ กล่าวถามด้วยน้ําเสียงสั่นงันงก
สเตฟานโกรธจัดและเหลือบมองผู้ตื่นขึ้นที่พูดแทรกกลางคัน เขาเตรียมเปิดปากดุ แต่ ซูฮยอนกล่าวตอบอีกฝ่ายเร็วกว่าเขา
“เป็นเรื่องจริง ถ้าพวกนายอยากมีชีวิตรอด ก็แค่วิ่งหนี”
“วิ่งหนี?”
“ถูกต้อง ง่ายใช่ไหมล่ะ? หากพวกนายวิ่งหนี ฉันจะปล่อยพวกนายไป ไม่ไล่ตาม ตราบใดที่พวกนายไม่วางแผนลอบกัดอีก ฉันจะหลับตาข้างหนึ่งแล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ แต่ว่า…”
เฮือก!!
สุ่มเสียงของซูฮยอนและแสงสว่างในดวงตาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พลังเวทย์แผ่ซ่านออกมาจากตัวซูฮยอนจํานวนมาก ก่อให้บรรยากาศในชั้นที่ 1 ของหอคอยกอร์ดอนน่าขนพองสยองเกล้ามากขึ้น ผู้คนหายใจไม่ทั่วท้อง
“แต่ถ้าพวกนายยังดึงดันต่อสู้กับฉันต่อไป ฉันจําเป็นต้องฆ่าพวกนายทุกคน”
กรอด…
สเตฟานกําหมัดแน่น เล็บจิกเข้าเนื้อ ฟันล่างฟันบนขบกันเสียงดัง
เวิ่งหนี
เป็นคําที่ไม่ต้องใช้สมองคิดให้ปวดหัวและเหมาะแก่สถานการณ์ปัจจุบัน แต่ถ้าพวกเขาเลือกวิ่งหนีนอกจากจะทําให้มีชีวิตรอดแล้ว ยังได้ความอัปยศอดสูพ่วงติดตัวไปด้วย
โอกาสที่ซูฮยอนหยิบยื่นให้พวกเขาประหนึ่งความเอื้ออารีที่ผู้ (แข็งแกร่ง] มอบให้ผู้ [อ่อนแอ
<<ไม่สิ…เดี๋ยวก่อน>>
ทันใดนั้นเองความคิดอ่านอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของสเตฟาน
<<ทําไมเขาถึงยอมปล่อยให้พวกเราวิ่งหนีด้วย?>>
จนกระทั่งตอนนี้ ซูฮยอนได้สําแดงความแข็งแกร่งออกมาและไล่บี้ผู้ตื่นขึ้นทุกคนที่ขวางหน้าเรียงตัวความแข็งแกร่งของเขาเป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
จึงไม่มีเหตุผลที่ซูฮยอนต้องใจกว้าง ยอมปล่อยพวกเขาให้มีชีวิตรอด พวกเขาก็เปลี่ยนเสมือนงูพิษที่พร้อมแว้งกัดผู้มีพระคุณได้ตลอดเวลา สาเหตุที่ซูฮยอนเลือกปล่อยพวกเขาแสดงว่าต้องมีเห ตุผลอะไรบางอย่างบิดบังไว้แน่
<<เป็นไปได้ไหมว่า..>>
รอยยิ้มเยาะกระจายไปทั่วใบหน้าสเตฟาน
ซูฮยอนเห็นรอยยิ้มอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ยิ้มอะไรของนาย?”
“คนที่ควรวิ่งหนีไม่ใช่พวกฉัน แต่เป็นนายต่างหาก”
“?”
“การต่อสู้ที่ผ่านมาคงเผาผลาญพลังเวทย์ในร่างกายไปเยอะล่ะสิท่า แล้วตอนนี้หากฉันเดาไม่ผิดร่างกายของนายกําลังเหนื่อยล้าใช่ไหม? ฉันคิดไว้อยู่แล้ว ไอ้บ้าที่เป็นผู้ตื่นขึ้นไม่ถึง 3 ปีจะแข็งแกร่งกว่าฉันได้ยังไง”
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบคอ จางหายไปอย่างรวดเร็วจากคํากล่าวอ้างของสเตฟาน
“เหนื่อยล้างั้นเหรอ?”
“บางทีสมรรถภาพทางกายของเขาอาจยังดีไม่พอ”
“การต่อสู้ช่วงที่ผ่านมา เขาปล่อยพลังเวทย์ออกมาเป็นจํานวนมหาศาล คําพูดของนายจึงมีน้ําหนักพอสมควร”
คํากล่าวอ้างของสเตฟานมีความสมเหตุสมผล คําถามที่ว่า โซูฮยอนทําได้อย่างไรกัน] วนเวียนอยู่ในหัวสมองของพวกเขามาได้สักพักใหญ่ๆ
เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?
เขาไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างเหรอ?
และเมื่อครู่สเตฟานพึ่งยกความคิดเห็นที่มีโอกาสเป็นไปได้มากสุดขึ้นมาพูด ซึ่งจากการมองภาพรวมและวิเคราะห์ปฏิกิริยาที่ซูฮยอนแสดงออกมา คําพูดของเขาจึงมีความน่าเชื่อถือไม่ใช่น้อย
“มัวแต่อึ้ง แสดงว่าคําพูดของฉันถูกต้องใช่ไหมล่ะ?”
ไม่กี่นาที่ก่อนหน้าสเตฟานตื่นตระหนกจนแทบจะเสียสติ แต่ตอนนี้อารมณ์ที่ปั่นปวนของเขาเริ่มกลับเข้ารูปเข้ารอย รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏบนใบหน้า
อากัปกิริยามั่นอกมั่นใจของสเตฟาน เสริมสร้างขวัญกําลังใจให้แก่คนในกลุ่มอีกครั้ง
“เฮ้อ” ซูฮยอนถอยหายใจออกมาแผ่วเบา
สเตฟานเห็นซูฮยอนระบายลมหายใจ เขายิ่งกําเริบเสิบสานและมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าคําพูดที่ออกมาจากปากก่อนหน้ามีความถูกต้องและเป็นความจริง
เขาเริ่มก้าวเดินไปหาซูฮยอนอย่างองอาจและกล่าวด้วยน้ําเสียงหยอกล้อ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกควรรีบหนีไปให้ไกลที่สุด ขณะที่แกยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ ได้ยินไหมเจ้าตัวเล็ก”
วางข้อยังไม่พ้น 3 นาที จู่ๆสเตฟานก็ตาเหลือกตาพอง ดวงตาเบิกโพลงจนลูกตาถลนเกือบออกจากเบ้า
น้ําเสียงไม่สามารถเปล่งจากลําคอได้ เขาพยายามล้วงมือคว้านคออย่างหงุดหงิด เพื่อหาต้นเหตุที่ทําให้เสียงเปล่งไม่ออก แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะล่วงลึกแค่ไหนเสียงก็ไม่ยอมออกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างอุดตันลําคอไว้
<<เกิดอะไรขึ้นกัน?>>
[เนตรที่สาม – ผู้ล่า]
เมื่อสายตาของสเตฟานเผชิญหน้ากับเนตรที่สามกลางหน้าผากซูฮยอน ในที่สุดเขาก็หาต้นเห ตุเจอ
ต้นเหตุทั้งหมดเป็นเพราะตาดวงนั้นงั้นเหรอ?
สัญชาตญาณแห่งความกลัวของสเตฟานถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น ร่างกายแข็งที่อกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ เขารู้สึกว่ามีเชือกเส้นหนามัดข้อเท้า ผนึกการเคลื่อนไหว
ประสบการณ์ต่อสู้ที่สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันร้ายแรงถั่งโถมมาอย่างหนักหน่วงทั้งภายนอกและภายใน
“ฉันอุตส่าห์ใจดียอมอ่อนข้อปล่อยนายให้มีชีวิตรอด แต่ทําไมนายถึงชอบรนหาที่ตายนัก”
ฉีก!!
คมดาบซูฮยอพุ่งแหวกอากาศฟาดฟันเข้าใส่หัวของสเตฟานเต็มแรง
สเตฟานฝันขยับร่างกายแต่ก็ไร้ผล ดวงตาเบิกกว้างไม่ยอมหุบเพราะกลัวความตายที่กําลังคืบคลานเข้ามา ขณะนั้นเองเขารู้สึกได้ว่าคมดาบของซูฮยอนวางพาดอยู่บนหัว
สเตฟานไม่มีเวลาตั้งรับการโจมตี เพราะไม่รู้ว่าซูฮยอนเข้าประชิดตัวเขาได้เมื่อใด แถมยังมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวร่างกายตั้งแต่ช่วงไหนด้วยซ้ํา
“เป็นไปไม่ได้ ทําไมสกิลของแกถึง…”
ก่อนเขาที่กล่าวจบประโยค รอยริ้วสีแดงบางๆ แล่นไปตามสรีระของสเตฟาน จากด้านบนไล่ลงมาด้านล่าง
ผลลัพธ์หลังจากนั้น
ร่างกายของสเตฟานแบ่งครึ่งออกจากกัน เลือดสีแดงสาดกระเซ็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบเกิดขึ้นชั่วพริบตา ผู้ตื่นขึ้นที่รอดชีวิตอีก 6 คนตกอยู่ในอาการหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทา พวกเขานึกมาตลอดว่าซูฮยอนคงหมดเรี่ยวแรงแล้ว แต่ที่ไหนได้พละกําลังที่ปล่อยออกมาเมื่อสักครู่ รุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า
ซูฮยอนก้มมองสภาพศพสเตฟานและเอ่ยปากพูดด้วยน้ําเสียงเย็นยะเยือก “มีใครอยากลองดีอีกบ้าง?”
ผู้ตื่นขึ้นจากทวีปยุโรปถอยกรูดไปด้านหลังแล้ววิ่งหนีตายไปคนละทิศคนละทาง ซูฮยอนเก็บดาบสายตามองไปยังพวกเขา ดูเหมือนจะไม่มีไอ้โง่คนไหน อยากลองดีกับดาบของซูฮยอนอีก….
<<ให้ตายเถอะ วุ่นวายเป็นบ้า >>
การต่อสู้กินเวลาเพียงไม่นาน แต่ชั้นที่ 1 ของหอคอยกอร์ดอนเสียหายหนักเอาการ ดูท่าการเปิดหอคอยกอร์ดอนให้คนทั่วไปเข้าชม ต้องเลื่อนออกไปสักระยะหนึ่ง
<<ฉันสงสัยจังว่าสถานการณ์ด้านล่างเป็นยังไงบ้าง?>>
ซูฮยอนรีบมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ที่จอดนิ่งสนิท เพื่อไปหากอร์ดอนโรฮันที่กําลังต่อสู้อยู่ชั้นใต้ดิน
เคล้ง!!
ตูม!!
กอร์ดอนโรฮัน และ อาเดล ปลดปล่อยความแข็งแกร่งของตัวเองออกมาปะทะกัน ภายในมือจับอาวุธแลกเปลี่ยนกระบวนท่า
ใกล้จุดที่พวกเขายืนอยู่ มีมือถือ 1 เครื่องวางอยู่บนพื้น ซึ่งมือถือเครื่องนั้นใช้รับการโจมตีจากกอร์ดอนโรฮันเมื่อครู่
“โห้ เป็นการตอบสนองที่เฉียบคมมาก ไม่คิดเลยว่านายจะใช้มือถือป้องกันการโจมตีจากฉัน” กอร์ดอนโรฮันพูด
“งั้นเหรอ แต่นายรู้ไหมว่ามือถือเครื่องนั้นราคาค่อนข้างแพง น่าเสียดายที่พังไปแล้ว”
“รู้สิ รู้ดีเลยแหละ เพราะมือถือเครื่องนั้นผลิตจากบริษัทของฉัน”
มือถือที่วางอยู่บนพื้นเครื่องนั้นคือรุ่นที่ดีที่สุดในท้องตลาด เพราะเป็นมือถือเพียงรุ่นเดียวที่มีหินอีเธอร์เป็นแหล่งหลังงานหลัก มือถือวางจําหน่ายได้ไม่นานกลับขายได้เทน้ําเทท่า คนที่ได้ลองใช้ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มือถือทนไม้ทนมือกว่ารุ่นอื่นๆ ตกจากที่สูงก็ไม่มีรอยขีดข่วนหรือรอยร้าวให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้นอายุแบตเตอรี่ก็ยาวนานจึงไม่ต้องชาร์จแบตบ่อยๆ
“ฉันควรกําชับให้พนักงานลดคุณภาพวัสดุลงหน่อยดีกว่า ถ้าฉันลดคุณภาพลง หัวของนายหลุดออกจากบ่าไปนานแล้ว”
“แต่ช่างเถอะ หากนายตายง่ายๆ ฉันก็หมดสนุกกันพอดี”
ปัง!!
อาเดลขมวดคิ้วความเจ็บปวดจากกําปั้นกระแทกวิ่งแล่นไปทั่วจากมือลามไปถึงแขน พวกเขา ต่อสู้กันไปหลายกระบวนท่าเพื่อลองเชิงความแข็งแกร่ง แต่เหมือนการต่อสู้ตัวต่อตัวจะไม่ดีเท่าไร
ทันใดนั้นหอกหลายสิบเล่มพุ่งพรวดออกมาจากพื้น ลอยเคว้งบนอากาศ กอร์ดอนโรฮันกระโดดถอยห่างออกจากอาเดล สายตาพินิจผู้ตื่นขึ้นจํานวน 4 คน ที่กําลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆเพื่อหวังปิดล้อมเขา
“เจ้าพวกปลาซิวปลาสร้อย เตรียมรับมือ…”
สิ้นคําพูดของกอร์ดอนโรฮัน แววตาของเขาเปล่งแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมาโดยพลัน หอกที่กุมไว้ในนมือก็พลอยเปล่งแสงตามไปด้วยเช่นกัน ความสว่างทําให้ดวงตาของทุกคนเกิดอาการพร่ามัว
ผู้ตื่นขึ้น 2 คนที่อยู่ใกล้กอร์ดอนโรฮันมากสุด เร่งปลดปล่อยพลังเวทย์แล้วเปิดใช้งานสกิลป้องกัน
กําแพงสีม่วงโผล่ออกมาจากพื้นล้อมรอบร่างกายพวกเขา ไม่นานหอกของกอร์ดอนโรฮันที่พุ่งพรวดออกมาจากพื้นแล้วลอยเคว้งบนอากาศก็เริ่มโจมตีพวกเขา แรงกระแทกส่งผลให้เกิดเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วสนามแข่งขัน
กําแพงทนต่อแรงปะทะไม่ไหวสุดท้ายก็พังทลายลง อาเดลที่เห็นดังนั้นรีบกระโดดเว้นระยะห่างจากกอร์ดอนโรฮันทันที
อาเดลนวดมือตัวเองเบาๆ การแลกเปลี่ยนกระบวนท่าก่อนหน้า ทําให้มือของเขาเกิดอาการปวดเมื่อย“แรงกายของนาย แข็งแกร่งสมคําร่ําลือจริงๆ”
“นายก็เก่งใช่ย่อยเหมือนกัน” กอร์ดอนโรฮันกําหมัดและคลี่ออก หอกที่ถือไว้ในมือปักพื้นไว้ข้างตัว
“ก็ว่าทําไมนายต่อยหนักแปลกๆ หากฉันเดาไม่ผิดนายคงเชี่ยวชาญหมัดมวยใช่หรือป่าว แปลว่าฉันไม่ควรใช้หมัดเปล่าๆปะทะกับนายโดยตรง”
กอร์ดอนโรฮันทําท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ
“ระดับความแข็งแกร่งของนายในปัจจุบัน หากบังเอิญต่อสู้กับคิมซูฮยอนซึ่งหน้า นายคงไม่สามารถสร้างบาดแผลให้เขาได้ แม้แต่ปลายผมนายก็สัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ํา เพราะงั้นนายจงเลิกหวังต่อสู้กับคิมซูฮยอนซะ นายมันไม่คู่ควรกับเขาเลยสักนิด ความแข็งแกร่งของนายบางที่อาจใกล้เคียงกับโทมัส หรือ บักหยูนกิว ไม่ใช้สิเผลอๆความแข็งแกร่งของนายอาจด้อยกว่าพวกเขา”
คําพูดที่ออกมาจากปากกอร์ดอนโรฮัน ทําให้กิริยาท่าทางของอาเดลมืดมนลง
อาเดลรู้ดีว่าความสามารถของตัวเองตามหลังกอร์ดอนโรฮันหลายก้าว แต่ก็ไม่ทิ้งห่างกันมากการที่กอร์ดอนโรฮันบอกว่าเขาอ่อนแอกว่า คิมซูฮยอน โทมัส และ บักหยุนกิวที่ไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการถ่มน้ําลายหยามหน้าเขา
“ความทะนงตัวของนายมันไร้ขอบเขตจริงๆ นายคิดว่าตัวเองจะรั้งอยู่จุดสูงสุดได้ตลอดงั้นเหรอ?”
“นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันยังไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุด” กอร์ดอนโรฮันสายหัวปฏิเสธคําพูดของอาเดล
กอร์ดอนโรฮันที่มักอ้างตัวว่าแข็งแกร่งที่สุดและอยู่เหนือผู้อื่น กลับยอมปฏิเสธออกมาเต็มปากว่าเขาไม่ได้อยู่จุดสูงสุดเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไงกัน?
“แม้ตอนนี้ฉันจะยังไม่อยู่บนจุดสูงสุด แต่อีกไม่นานฉันจะพิสูจน์ให้โลกได้เห็น ว่าฉันคือคนที่แกร่งที่สุด”
“นายกําลังพูดถึงเรื่องอะไร?”
“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า เหตุผลที่ฉันจัดงานสงครามแก่งแย่งอันดับขึ้นมา เพราะต้องการใช้เป็นเวทีประกาศให้ทั่วโลกรับรู้ว่าฉันคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด และเพื่อการนั้น ฉันต้องพิชิตโลกใบเล็กของผู้อื่น เพื่อขยายอาณาเขตโลกใบเล็กของตัวเอง ฉันจะพิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าความแข็งแกร่งของฉันเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม”กอร์ดอนโรฮันกล่าวออกมาพร้อมคลี่ยิ้มกว้าง
“โดยเฉพาะคิมซูฮยอน”
“คิมซูฮยอน?”
“ก่อนที่นายจะโผล่ออกมา ชายหนุ่มคนนั้นได้แสดงศักยภาพออกมาให้ฉันได้ประจักษ์แก่สายตามีเพียงการเอาชนะชายหนุ่มคนนั้นให้ได้เท่านั้น ฉันถึงกล้าพูดว่าตัวเองคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้อย่างเต็มปาก”
นับเป็นครั้งแรกที่กอร์ดอนโรฮันยอมเอ่ยปากชมความสามารถของคนอื่นออกหน้าออกตาขนาดนี้
<<กอร์ดอนโรฮัน ชายที่หลายฝ่ายยกยอปอปั้นให้เป็นผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ยังลังเลใจในการเอาชนะคิมซูฮยอน ตกลงคนที่ชื่อคิมซูฮยอนแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่? >>อาเดลขบคิดใน
“เจ้าภาพกอร์ดอนโรฮัน คําพูดของนายเมื่อกี้ เหมือนปาวประกาศเรื่องน่าอายของตัวเองต่อหน้าธารกํานัลเลยนะ รู้ตัวไหม?”
“!”
อาเดลรีบหันขวับมองไปแหล่งเสียงด้านหลัง สายตาของเขามองเห็นร่างกายซูฮยอนกําลังก้าวเดินเข้ามาในสนามแข่งขันที่เต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว