การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 58
ตอนที่ 58
“อะไรกัน ฉันมาที่นี่ไม่ได้เหรอ”ซูฮยอนถาม
“ไม่ใช่อย่างงั้นครับ ผมหมายถึง…เอ่อ”ฮักจุนรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย
เมื่อซูฮยอนเห็นท่าทีที่ฮักจุนแสดงออกมา เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมฮักจุนถึงตกใจขนาดนั้น เพราะซูฮยอนไม่ได้เป็นสมาชิกของกิลด์เทพสงคราม ฉะนั้นเขาจึงไม่ควรมาอยู่ทีนี่
“เอาละช่างมันเถอะ ฉันก็พึ่งเข้ามาเมื่อไม่นานนี้เอง”
“จริงเหรอครับ?”ฮันจุนถาม
“จริงสิ..พอดีเห็นว่าประตูมันเปิดกว้างไว้อยู่ ฉันก็เลยถือวิสาสะเดินเข้ามา เผอิญเจอการ์ดรักษาความปลอดภัยขอตรวจบัตรประจำตัว ฉันเลยให้บัตรผู้ตื่นขึ้นไปแทน จากนั้นเขาก็ให้ฉันเข้ามาง่ายๆเลย”
ดูเหมือนการ์ดรักษาความปลอดภัยจะคิดว่าซูฮยอนคือแขกคนสำคัญของกิลด์เทพสงคราม เลยทำให้ซูฮยอนเดินเยื่ยมชมกิลด์เฮาส์ได้ด้วยความสบายใจ
“แล้วทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่”ฮันจุนถาม
ฮักจุนคิดว่ากิลด์เทพสงครามก็เหมือนกับถ้ำของเสือ เขาดีใจที่เห็นซูฮยอนก็จริง
แต่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญจริงๆคือจองดงย็องหัวหน้ากิลด์ของเขา สนใจตัวซูฮฺยอนมานาน ถ้าเกิดเขาคิดทำอะไรแผลงๆขึ้นมาซูฮยอนได้เจอกับปัญหาแน่ๆ
“หืม…อะไรกัน นายไม่ดีใจเหรอที่เจอฉัน?”ซูฮยอนยิ้มกว้างแล้วถามออกไป
“แน่นอนว่าผมดีใจ แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพี่มาที่นี่ทำไม จริงสิแล้วพี่รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่?”
“ก็ฉันไปถามยันซอนมานะสิ ทำไมนายถึงไม่รับมือถือ ฉันอุสาโทรไปหาตั้งหลายสาย”
คำตอบของซูฮยอนทำให้สีหน้าของฮักจุนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ตั้งแต่รู้จักกันมาซูฮยอนไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของฮักจุนมาก่อนเลยสักครั้ง
ฮักจุนสูบหายใจเข้าไปลึกๆแล้วถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พี่หาเธอเจอได้ยังไง?”
“ฉันต้องการตรวจสอบอะไรสักอย่าง ก็เลยสืบค้นประวัติของนายมาเล็กน้อย”
“แล้วเหตุผลที่พี่ทำไป พี่ทำไปเพื่ออะไร”
“นายถามสินะว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี้?”
ซูฮยอนกลับมาสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง ก่อนถามคำถามกับฮักจุน
“จองดงย็องอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
คำถามที่ซูฮยอนถามออกมา เป็นคำถามที่ฮักจุนคิดไม่ถึง…เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าซูฮยอนจะถามถึงหัวหน้ากิลด์ทำไม?
แถมน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังมีความเป็นศัตรูปะปนมาด้วย ทำให้สมองของฮักจุนเริ่มถูกแช่แข็งและไม่สามารถหาคำพูดอื่นมาตอบได้นอกจากบอกความจริงออกไป
“จองดงย็องอาศัยอยู่ห้องไหน พอดีฉันมีธุระกับเขานิดหน่อย”
ฮักจุนสายหัวไปมาและรวบรวมสติสตางค์ให้กลับคืนมาเหมือนเดิม “เขาอยู่ในห้องสมุดแถวสุดทางเดินตรงนั้นนะครับ”
“ตรงนั้นเหรอ?”
หลังจากได้ยินคำตอบจากฮักจุน ซูฮยอนก็หันหน้าไปมองก่อนเดินจ้ำอ้าวด้วยความเร่งรีบ
เมื่อฮักจุนเห็นดังนั้น..จึงรีบวิ่งตามไป ก่อนดึงแขนของซูฮยอนเอาไว้และถามด้วยความสงสัย
“พี่ซูฮยอน พี่รู้จักหัวหน้ากิลด์ผมได้ยังไง พี่จะทำอะไรกับเขาต่อกันแน่?”
“ก็แค่พูดคุยอะไรกันนิดหน่อย”
“พี่จะคุยเรื่องอะไร?”
“อืม…ว่าจะคุยกันเกี่ยวกับสรีระร่างกาย”
“อะไรนะ?”
“ทำไมนายทำสีหน้าอย่างงั้นละ ไม่ต้องกังวล ถ้าสถานการณ์ยังควบคุมได้อยู่ ฉันจะไม่ใช้กำลัง”
ซูฮยอนพูดออกไปด้วยท่าทีสบายๆก่อนหันไปถามฮักจุน “แล้วนายจะเอาไง..ไปด้วยกันไหม?
***************
ณ. ห้องทำงานของผู้อำนวยการ
“เอกสารของใครกัน?”ผู้อำนวยการถามออกไปด้วยความหงุดหงิด
คิมดูอุยก้มหน้าอ่านเอกสารที่อยู่ในมือก่อนตอบออกไป “เอกสารที่อยู่ในมือของผม มันเป็นของซูฮยอน ท่านจะรับไหมครับ?”
คำตอบของคิมดูอุยทำให้ผู้อำนวยการหันหน้าไปจ้องมองเอกสารอีกครั้ง ซึ่งเนื้อหาภายในมีรายงานเรื่องคร่าวๆของซูฮยอนที่บันทึกเอาไว้
“เจ้าหนุ่มนั่นต้องการอะไร?”ผู้อำนวยการถาม
“ผมคิดว่า เขาคงกำลังขอร้องให้ท่านช่วยสืบสวนเรื่องราวอะไรสักอย่าง”
“ขอร้อง? ขอร้องตูดมันสิ”ผู้อำนวยการบ่นอู้อี้ออกมา
ซูฮยอนไม่ได้ขอร้อง เขาก็แค่เสแสร้งเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเท่านั้น เอกสารที่คิมดูอุยนำมาให้ผู้อำนวยการ
มันเปรียบเสมือนคำสั่งมากกว่า ถ้าเขาไม่ยอมทำ คลิปเสียงที่ซูฮยอนแบล็คเมล์เอาไว้ คงได้เวลาเปิดเผยสู่โลกภายนอก
“แล้วท่านจะเอายังไงครับ?”คิมดูอุยถามออกไป
ผู้อำนวยการจุดบุหรี่ขึ้นมาแล้วสูดเข้าไปเต็มปอด เพื่อลดความเครียด
เมื่อพ่นควันบุหรี่ออกมา สมองของเขาก็ปลอดโปร่งอย่างเห็นได้ชัด
“เอาล่ะ ซูฮยอนต้องการอะไรเธอก็ไปจัดการให้เขา อ๊ะ..จริงสิเอาคังซึงชอลไปกับเธอด้วย”ผู้อำนวยการสั่งออกมา
“ท่านหมายถึงหัวหน้าแผนกคังซึงชอลใช่ไหมครับ”
“ใช่..พาเขาไปยืดเส้นยืดสายซะบ้าง ไม่ใช่หมกอยู่แต่ในห้องฝึกฝน”
“ได้ครับท่าน”
“ดีมาก ถ้าไม่มีอะไรแล้วเธอก็ไปทำงานของเธอได้”
หลังจากคิมดูอุยออกไปจากห้องทำงาน ผู้อำนวยการก็ก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารอีกครั้ง
ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา “ทำไมถึงรู้สึกว่า สำนักงานรับรองเหล่าสหายผู้ตื่นขึ้น ถูกสร้างมาเพื่อเจ้าหนุ่มซูฮยอนกันนะ”
ซึ่งความคิดของผู้อำนวยการก็ไม่ผิดซะที่เดียว เพราะซูฮยอนตั้งใจให้เขารู้สึกอย่างงั้นอยู่แล้ว.
*******************
ภายในห้องเล็กๆแห่งหนึ่ง บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยควันบุหรี่ลอยฟุ้งจนขาวโพลนไปหมด
จองดงย็องนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับคุยมือถือกับใครสักคน
“ใช่..การประชุมผ่านไปได้ด้วยดี หึ..แน่นอน จิตใจของคนในยุคสมัยนี้ค่อนข้างโสมม ฉะนั้นการหาเงินจากพวกมันถึงหาได้เยอะกว่าปกติ ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องออกแรงเยอะ”
ก๊อก ก็อก
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู การแสดงออกของจองดงย็องก็เต็มไปด้วยความดุร้าย
“แค่นี้ก่อน เดี๋ยวโทรกลับไปทีหลัง”
จองดงย็องวางสายในมือแล้วตะโกนถามคนนอกห้อง “ใคร?”
“ฮักจุนครับ”
“ฮักจุนเหรอ? เข้ามาได้”
เมื่อคนที่จองดงย็องต้องการพบ มาถึงตามนัด เขาก็จุดบุหรี่ขึ้นมาดูดอีกมวน
ประตูหน้าห้องค่อยๆเปิดแง้มออกมา หลังจากฮักจุนก้าวมาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น…
“ขมวดคิ้วทำไม..ควันบุหรี่มันทำอะไรนายไม่ได้อยู่แล้ว ในเมื่อนายเป็น ผู้ตื่นขึ้น ร่างกายของนายก็ก้าวข้ามคนธรรมดาไปแล้ว ว่าแต่สักมวนไหม?”
จองดงย็องเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลังจากก้าวมาเป็นผู้ตื่นขึ้น สิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุดรองลงมาจากการใช้กำลังคงเป็นการสูบบุหรี่
สำหรับผู้ตื่นขึ้นสารอันตรายจากบุหรี่ไม่มีปัญหาต่อสุขภาพของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงดูดมันได้ตามความต้องการ
“งานว่าจ้างของกิลด์เรา คือการเป็นบอดี้การ์ด เพื่อคุ้มกันความสงบเรียบร้อยของงานพบปะสังสรรค์ ฉันอนุญาตในนายเป็นหัวหน้าของภารกิจนี้ เพื่อดูแลรุ่นเยาว์ของกิลด์เรา นายพร้อมหรือยัง….”
“ผมขอเวลาเตรียมตัวอีกนิด แต่ก่อนหน้านั้นมีคนอยากเจอกับท่านครับ”
“อยากเจอกับฉัน ใครกัน?”
“เขาชื่อ คิมซูฮยอนครับ คนที่ท่านกำลังตามหาอยู่”
“คิมซูฮยอนงั้นเหรอ…”
ดวงตาของจองดงย็องมืดมนลงทันที
คิมซูฮยอนคือคนที่ฮักจุนเคยติดต่อกันมาก่อน ข่าวลือล่าสุดที่ปล่อยออกมา ว่ากันว่าเขาคือผู้ตื่นขึ้นหน้าใหม่ที่มาเขย่าบัลลังก์แรงค์ S
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาประชาชนมากมายต่างประเมินกันเอาไว้ว่า คิมซูฮยอนอาจเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแรงค์ S ทั้งหมดในประเทศเกาหลี…..
“ใช่ครับ เขามาหาท่าน เพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
“เจ้าหนุ่มนั้นอยากคุยกับฉันงั้นเหรอ?”
“เป็นเด็กที่ใจกล้าจริงๆ ถึงขนาดกล้ามาหากิลด์มาสเตอร์แห่งเทพสงครามด้วยตัวคนเดียว”
“อืม…..”จองดงย็องใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนอ้าปากพูด “นี่ฮักจุน”
เสียงโทนต่ำที่ฟังดูมีเมตตากรุณาดังออกมา ซึ่งมันเป็นน้ำเสียงที่ฮักจุนเกลียดที่สุด เพราะเขาไม่รู้ว่าหัวหน้ากิลด์คิดอะไรแผลงๆอยู่อีก
“ครับ?”ฮักจุนตอบ
“นายคงไม่ได้วางแผนอะไรโง่ๆไว้ลับหลังฉันหรอกนะ?”
“?”
หลังจากได้ยินคำพูดของหัวหน้ากิลด์….ฮักจุนก็ก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว
เมื่อจองดงย็องเห็นปฏิกิริยาที่ฮักจุนแสดงออกมา เขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนยกมือของตัวเองขึ้นมากุมไว้หน้าหน้า
“ช่างเถอะ…ไปตามเจ้าตัวมาหาฉันสิ”
“ได้ครับท่าน…แต่ว่า…”
“แต่อะไร?”
“เดือนนี้ ท่านยังไม่ได้ให้ยาผมเลยครับ”
“อ่อเจ้านี้นะเหรอ”
จองดงย็องหยิบขวดอะไรบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วกลิ้งมันไปมาบนฝ่ามือ
“ฉันขอเก็บมันไว้ก่อน ถ้าไม่มีเรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้น ฉันจะให้นายก็แล้วกัน”
“ท่านหมายความว่าไงครับ?”
“คิมซูฮยอน…นายซ่อนเขาเอาไว้ไม่ใช่หรือไง”
“นั่นมัน…!”
“หุบปากซะ…แกไม่มีสิทธ์พูด ถ้าวันนี้การพูดคุยของฉันกับซูฮยอนผ่านไปได้ด้วยดี ฉันจะกลับไปคิดบัญชีแกทีหลัง”
ฮักจุนกัดฟันด้วยความโกรธ เขาเคยบอกหัวหน้ากิลด์ไปหลายรอบ ว่าเรื่องระหว่างเขากับซูฮยอนไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่หัวหน้ากิลด์ก็ไม่เชื่อ ขนาดลงไม้ลงมือทุบตีฮักจุนไปแล้ว เขาก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดบ้าๆแบบนั้นอีก
“แต่ท่านครับ ถ้าไม่ให้ยากับผม…”
“ฉันรู้ แฟนสาวของนายคงตกอยู่ในความทุกข์ทรมานสินะ แต่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อยามันมีอย่างจำกัด”
จองดงย็องตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนกำลังปลอบประโลมน้องชายสุดที่รักของตัวเอง
น้ำเสียงของจองดงย็องทำให้จิตใจของฮักจุนเผาผลาญไปด้วยโทสะ
เขาจำได้อย่างขึ้นใจว่า ถ้าไม่ได้ยาในมือของหัวหน้ากิลด์ ความเจ็บปวดของคนขาดยามันทุกข์ทรมานขนาดที่เขายังไม่อยากสัมผัส…
“ฮักจุน ไอ้เด็กเหลือขอ แกกล้าทำสีหน้าไม่พอใจกับฉันงั้นเหรอ”
การแสดงออกทางสีหน้าของฮักจุน ทำให้จองดงย็องทุบโต๊ะด้วยความโกรธก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วตวาดด้วยน้ำเสียงโมโห
“แกมันเป็นเด็กที่เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก..ของที่เจ้าตัวจะถือวิสาสะเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะสหาย”
ฮักจุนและจองดงย็องหันหน้าไปมองพร้อมกัน
ซูฮยอนเดินเข้ามาภายในห้องและมองกลับไปกลับมาระหว่างฮักจุนกับจองดงย็อง
“ปล่อยให้แขกยืนฟังเลือกไร้สาระตั้งนาน ไม่คิดจะเชิญกันหน่อยเหรอ?”
“พี่ซูฮยอน?”ฮักจุนพูดด้วยความประหลาดใจ
“ซูฮยอน….นายนะเหรอซูฮยอน?”
เมื่อเห็นซูฮยอนเดินเข้ามาให้ห้องโดยไม่ได้รับอนุญาต จองดงย็องก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนโหมดมาเป็นชายผู้แสนอ่อนโยน
“อ่า..ขอโทษที ปล่อยให้แขกยืนรอซะได้ เชิญนั่งได้เลยแขกกิตติมศักดิ์”
เหมือนจองดงย็องจะคิดว่าซูฮยอนคงไม่ได้ยินเรื่องที่เขาพึ่งคุยกับฮักจุนไป
ถ้าเขารู้ความจริงว่าซูฮยอนได้ยินเรื่องราวหมดทุกอย่าง จองดงย็องคงไม่มีทางยิ้มแย้มให้ซูฮยอนเห็นแน่ๆ ทั้งจองดงย็องกับผู้อำนวยการก็เป็นคนประเภทเดียวกัน
ซูฮยอนเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่จองดงย็องแนะนำ ฮันจุกที่กำลังยืนอยู่ก็ถอยห่างออกมาจากซูฮยอน
แล้วเดินไปยืนด้านหลังของหัวหน้ากิลด์
“เฮ้…นายจะเดินไปไหน ที่นั่งมีเยอะแยะ นั่งได้เลย” ซูฮยอนเปิดปากพูดกับฮักจุน
“หืม?”
“หาที่นั่งเถอะ จะยืนให้ปวดขาทำไมจริงไหม?”
ซูฮยอนพูดออกไปพร้อมกับเชื้อเชิญในฮักจุนมานั่งข้างๆเขา….ฮักจุนหันไปมองหัวหน้ากิลด์เพื่อรอคำอนุญาต
จองดงย็องย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะคลายคิ้วให้กลับไปสภาพเดิม
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามคือแขกคนสำคัญ เขาจึงต้องแสดงท่าที่ของคนมีน้ำใจออกให้มากกว่านี้
“ฮักจุนไปนั่งเถอะ ในเมื่อมีแขกมาเยี่ยมถึงที่ มาอยู่ด้านหลังฉันมันคงดูไม่ดี อย่างน้อยเขาก็เป็นพี่ชายของนาย ไปนั่งใกล้ๆเขาเถอะ”
ซูฮยอนสัมผัสได้ว่าจองดงย็องกำลังอารมณ์ไม่ดี เพราะแววตาและน้ำเสียงของเขามันสวนทางกับคำสั่งอย่างชัดเจน
‘อืม…เขาเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยเก่งเลยจริงๆ ถ้ามีคนกล้าขัดขืนคำสั่ง สติของเขาคงควบคุมไม่อยู่ ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงชอบข่มขู่คนอ่อนแอนัก แต่หากเจอผู้ที่มีพลังอย่างแท้จริงท่าทีของเขากลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ’
ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีว่าจองดงย็องเป็นคนประเภทไหน เพราะซูฮยอนเคยเจอคนประเภทนี้มาหลายครั้ง…
เมื่อฮักจุนได้รับคำอนุญาต เขาก็เดินไปหาซูฮยอนและนั่งลงไป แต่เมื่อก้นสัมผัสกับเบาะ
เขากลับรู้สึกว่าก้นของตัวเองเหมือนกำลังโดนเข็มขนาดเล็กๆทิ่มแทงอยู่
“ตอนอยู่หน้าห้อง เหมือนหูของฉันได้ยินเสียงทะเลาะกับฮักจุน…”
ก่อนที่ซูฮยอนจะพูดจบประโยค จองดงย็องกลับตัดบทพูดของเขาด้วยความรวดเร็ว
“ฮ่า ฮ่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ในฐานะที่ฉันกับฮักจุนเจอกันทุกวัน..ก็ต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง พอดีฉันมีของบางอย่างต้องให้กับฮักจุนทุกเดือน แต่บังเอิญเกิดเหตุสุดวิสัย เลยทำให้เลื่อนวันไปก่อน ฉันก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไม่ให้เขา”
“แต่มันเป็นยาที่สำคัญไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อจองดงย็องได้ยินคำถามของซูฮยอน เขาก็หันหน้าไปมองฮักจุนด้วยสายตามุ่งร้าย
ฮักจุนเมื่อรู้ว่ามีสายตาจ้องมองมา เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง จนเจอเข้ากับสายตาของหัวหน้ากิลด์ ที่กำลังทำหน้าเหมือนกำลังสอบสวนฮักจุนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น? ทำไมซูฮยอนถึงรู้เรื่องยาได้?
แต่สีหน้าของจองดงย็องก็อยู่ได้ไม่นาน ก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าปกติเหมือนเดิมอีกครั้ง…
“อ่า…จะว่าเป็นยาสำคัญก็ใช่ แต่มันไม่ใช่ยารักษาโรคร้ายแรงอะไรมาก ตามจริงยาที่ฉันให้ไป กินมากไปก็ไม่ดี ฉะนั้นงดสัก 1-2 เดือนเพื่อพักตับบางคงไม่เป็นไร” จองดงย็องหาวออกมาด้วยท่าทีสบายๆก่อนพูดต่อ
“ความถนัดของฉันในฐานะ ผู้ตื่นขึ้น คือด้านยาและพิษ พอดีได้ยินฮักจุนบอกว่าแฟนสาวของตัวเองเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ในฐานะพี่ชาย ฉันจึงปล่อยผ่านไปไม่ได้ ฉันจึงอาสาทำยาให้เธอเพื่อรักษาโรคร้ายที่ว่า…”
ฮักจุนกัดฟันไว้แน่นหลังได้ยินเรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของจองดงย็อง
‘โรคที่รักษาไม่หายงั้นเหรอ…’
จริงอยู่ที่จองดงย็องทำยารักษาโรคให้กับยันซอน แต่โรคของยันซอนไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันเกิดจากตัวยาของจองดงย็องต่างหาก จะบอกว่าพิษก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะยาที่ยันซอนกินเข้าไปมันเหมือนยาเสพติดมากกว่า
หลังจากได้กินยาเข้าไปร่างกายของยันซอนก็ทรุดลงอย่างหนักจนอยู่ในสภาพอ่อนแอ ถึงแม้ยันซอนพยายามเลิกยา แต่พิษในร่างกลับไม่หายไป…
“ฮักจุน ตั้งแต่วันนี้ไป นายคือน้องชายของฉัน”
น้ำเสียงของจองดงย็องเต็มไปด้วยความเป็นมิตร แต่เมื่อฮักจุนได้ยิน เขากับรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากอ้วนออกมา แต่ฮักจุนก็ไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากทำตามคำสั่งของจองดงย็องต่อไป เขาไม่สามารถทนดูแฟนสาวของตัวเองตกอยู่ในสภาพทรมานได้…
“ไอ้กร๊วก แกอยากเห็นแฟนสาวของนาย ตายหรือไง?”
เมื่อฮักจุนมีความรู้สึกท้อแท้หรือไม่เชื่อฟังคำสั่งของจองดงย็อง เขามักยกแฟนสาวของฮักจุนมาข่มขู่ทุกครั้ง ยิ่งจองดงย็องให้ยาแก้พิษกับฮักจุนช้ากว่ากำหนด อาการเจ็บปวดของยันซอนก็ยิ่งทรมานมากขึ้น และถ้าไม่ได้ยาตามกำหนดชีวิตของเธอคงอยู่ในโลกหลังความตาย…
“ภายในเวลา 3 เดือน ถ้าแกไปไม่ถึงชั้นที่ 20 ยาที่แกควรได้ อย่างได้หวัง หึ…หวังว่าแฟนสาวของนายคงไม่กัดลิ้นตายไปเพราะความทรมานหรอกนะ”
หมับ
ฮันจุนพยายามหักห้ามใจตัวเองให้ลืมเรื่องราวทั้งหมด แต่แปลกที่สมองของเขายังหวนนึกถึงมันตลอดเวลาไม่ว่าจะตอนนอนหรือตอนตื่น เขากัดฟันของตัวเองด้วยความโกรธ
เขาโทษตัวเองเสมอถ้าไม่ใช่เพราะเขา แฟนสาวคงไม่ต้องมาเจอกับชะตากรรมเช่นนี้..
“ใจเย็นๆ”
ซูฮยอนหันไปมองฮักจุนที่กำลังกลั้นน้ำตาสุดความสามารถ เขาปลอบใจน้องชายสักครู่ ก่อนหันไปมองสายตาของจองดงย็อง
“เฮ้…แกน่ะ”
“ฉันเหรอ?”
“ใช่แกนั้นแหละ”
จองดงย็องแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาหลักจากบรรยากาศรอบๆของซูฮยอนเริ่มเปลี่ยนไป
ซูฮยอนที่กำลังมีน้ำโหลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วมองต่ำลงไปยังใบหน้าของจองดงย็อง
“หยุดเสแสร้งแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งของแกซะ!!”
==============