การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 76
ตอนที่ 76
กิลด์หลักๆที่มารวมตัวกันในวันนี้มีทั้งหมด 3 กิลด์ และแต่ละกิลด์ต่างส่งตัวแทนมา 20 คนต่อกิลด์ หากนับซูฮยอนและลีจุนโฮไปด้วย สมาชิกในทีมตอนนี้มีด้วยกันทั้งหมด 62 คน…
ความรู้สึกของซูฮยอนตอนนี้เต็มไปด้วยความอึดอัด เพราะที่ผ่านมาซูฮยอนไม่เคยทำงานร่วมกับผู้ตื่นขึ้นที่เยอะขนาดนี้มาก่อน..
<<หัวหน้าทีมโจมตีดันเจี้ยน มันไม่เหมาะกับฉันจริงๆด้วย>>
ตำแหน่งหน้าที่ ที่เรียกว่าหัวหน้าทีมโจมตีหรือหัวหน้าหน่วย มันไม่เหมาะกับคนนิสัยอย่างซูฮยอนมากๆ ขนาดในเกมออนไลน์ เขายังไม่เคยเป็นหัวหน้าปาร์ตี้สั่งการใครเลยสักครั้ง ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงทำให้ซูฮยอนรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว..
“สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้ ไม่น่าจะต่างจากเหตุการณ์ในเมืองอันยังมากเท่าไหร่”
ในตอนที่มีดันเจี้ยนระดับสีเขียวปรากฏขึ้นในเมืองอันยัง ซูฮยอนเคยชักจูงฝูงผู้ตื่นขึ้นมาก่อน แต่ในครั้งนั้น เขาแค่อยากรวบรวมผู้ตื่นขึ้นในได้เยอะที่สุดเพียงเท่านั้น เขาไม่เคยบอกว่าตัวเองว่าเป็นหัวหน้าทีมโจมตีเลย…
“นายกำลังคิดอะไรอยู่?”
ลีจุนโฮเดินเข้าไปใกล้ๆซูฮยอน ที่กำลังยืนมองทะเลสีเขียวมรกต เขาสะกิดไหล่ของซูฮยอนเบาๆก่อนถามข้อสงสัยออกไป
“ฉันกำลังคิดว่า คนของเราเยอะเกินไป”ซูฮยอนตอบ
“เยอะเกินไปงั้นเหรอ?”
“ใช่ ฉันรู้สึกไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้ ที่ต้องมาทำงานร่วมกันกับคนจำนวนเยอะขนาดนี้”
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายดี ที่ผ่านมานายมักชอบลุยเดียวเป็นประจำนี่น่า”
ลีจุนโฮพยักหน้าเข้าใจความรู้สึกของซูฮยอน โดยปกติคนที่ปีนป่ายหอคอยแห่งการทดสอบจะไม่ได้ผจญภัยตัวคนเดียว พวกเขามักไปกับเพื่อนฝูงหรือสร้างปาร์ตี้กันระหว่างชั้น…
จำนวนคนที่พวกเขาสร้างปาร์ตี้ด้วยกัน น้อยสุด 2 คน มากที่สุดก็ 10 คน…ยิ่งมีจำนวนผู้ตื่นขึ้นเยอะๆ ความยากของการทดสอบ ก็จะยกระดับขึ้นไปตามตัวจำนวนของผู้ตื่นขึ้นด้วยเช่นกัน..
แม้ระดับความยากของการทดสอบจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยสมาชิกในปาร์ตี้ที่มีจำนวนมาก หากพวกเขารวมพลังกัน บททดสอบที่ว่ายาก ก็ไม่อาจขวางทางพวกเขาได้..
อย่างไรก็ตามซูฮยอนนั้นต่างออกไป เขาแทบไม่สนใจการสร้างปาร์ตี้เลยแม้แต่น้อย เพราะเขามักทำอะไรคนเดียวมาตลอด… มันก็เหมือนกับฮักจุนที่เริ่มเรียนแบบวิธีการของซูฮยอน….
หากผู้ตื่นขึ้นไม่อยากตายในหอคอยแห่งการทดสอบ ระดับที่พวกเขาไม่ควรเลือก คือระดับที่ 8 เพราะมันเป็นระดับที่สูงมากเกินไป ต่อให้มีสมาชิกปาร์ตี้นับ 10 คน ก็ไม่ใครกล้าการันตีว่าจะผ่านไปได้ไหม…
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเป็นคนที่มีความสามารถ แค่นายคนเดียวคงจัดการดันเจี้ยนแห่งนี้ได้สบายๆ แต่นายก็รู้ว่าโลกใบนี้ ไม่ได้เป็นของนายคนเดียว เหมือนสำนวนที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”ลีจุนโฮ
“ฉันก็คิดอย่างงั้น”
เมื่อบทสนทนาระหว่างซูฮยอนและลีจุนโฮจบลง สมาชิกในทีมคนอื่นๆก็เตรียมความพร้อมเสร็จเรียบร้อย.
ซูฮยอนเดินไปอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่ม เพราะเขาเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เพียงคนเดียว
อีกอย่างเขาเป็นถึงหัวหน้าทีม ทำให้เขาต้องคอยระวังเหตุการณ์ร้ายแรงที่พร้อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ..
ซ่า!!!!!
ซูฮยอนจุ่มเท้าลงไปในทะเลสีเขียวมรกต…ทันใดนั้นเองร่างกายของซูฮยอนก็ถูกดึงลงไปใต้ทะเล…
ภาพที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกคือพื้นที่รูปโดมขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ใต้ทะเล
<<ดูไม่ชอบมาพากลยังไงก็ไม่รู้แฮะ>>
ดูเหมือนดันเจี้ยนใต้ทะเลครั้งนี้ จะเป็นเมืองใต้น้ำที่ปรากฏออกมาตามภาพยนตร์แฟนตาชีบ่อยๆ รอบๆพื้นที่เต็มไปด้วยเศษเรือลำเล็กลำใหญ่ที่อับปางเนื่องจากกระแสน้ำ ยังมีเศษซากปรักหักพังของอาคารบ้านอีกจำนวนมาก ข้างบนเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล ข้างใต้ทะเลกลับมีแผ่นดินที่ผู้คนสามารถอาศัยอยู่ได้….มันเป็นภาพที่มองดูแล้วตราตรึงใจจริงๆ
“ว๊าว”
ลีจุนโฮและผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆที่พึ่งมาถึง ก็ตื่นตาตื่นใจไปกับภาพวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า…
ดันเจี้ยนแห่งนี้มันน่าอัศจรรย์จริงๆ ขนาดซูฮยอนที่มีประสบการณ์การโจมตีดันเจี้ยนมาหลายแห่ง ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ที่เห็นภาพนี้ครั้งแรก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนอื่นๆจะมีอาการเหมืนกับซูฮยอน
“มันเหมือนเมืองแอตแลนติสตามตำนานที่เล่าขานต่อๆกันมาเลย ดันเจี้ยนบ้าอะไรจะสวยขนาดนี้”
“ภาพตรงหน้ามันน่ามองก็จริง แต่มันไม่ใช่ดันเจี้ยนธรรมดา”ซูฮยอนพูดและมองไปบริเวณรอบๆ
หลังจากได้ยินคำพูดของซูฮยอน กิลด์มาสเตอร์ลีคังฮุยเป็นคนแรกที่ชิงตอบ “มันชัดเจนตั้งแต่หน้าดันเจี้ยนแล้วไม่ใช่เหรอไง ดันเจี้ยนแห่งนี้มันมีระดับสีเขียวเชียว”
“ทุกคนดูที่แสงสว่างสิ”ซูฮยอนพูดขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปด้านบน “เหมือนแสงสว่างจากแสงแดด จะสุดอยู่แค่นี่”
“จริงด้วย”
“พวกเราอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ยิ่งลึกแสงสว่างยิ่งน้อย ด้วยแสงสว่างที่น้อยลง อาจทำให้การมองเห็นของพวกเราแย่ลงตามไป”
สิ่งที่ซูฮยอนพูดเป็นความจริง หากเปลี่ยนไปเป็นดันเจี้ยนประเภทถ้ำ ไม่มีทางที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะส่องทะลุลงยังพื้นเบื้องล่าง เพราะถ้ำทุกแห่งมีเพดานหินปิดกั้นเอาไว้…
แต่ในดันเจี้ยนใต้ก้มมหาสมุทรพวกเขาทุกคนคิดว่า แสงสว่างจากดวงอาทิตย์อาจจะส่องกระทบมายังพื้นเบื้องล่างได้ เพราะนอกจากน้ำทะเล ด้านบนก็ไม่ได้มีเพดานอะไรปิดกั้นเอาไว้เลย
สาเหตุที่แสงกระทบลงมาไม่ถึงแสดงว่าจุดที่พวกเขายืนอยู่น่าจะอยู่ระดับความลึกที่เยอะพอสมควร…
ซูฮยอนเริ่มรู้สึกว่าดันเจี้ยนแห่งนี้ อาจมีเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่…
คิ้ว คิ้ว
มิรุที่นอนขดตัวอยู่บนหลังคอของซูฮยอน อยู่ๆก็ส่งเสียงขึ้นมาโดนไม่ทันตั้งตัว มันยกหัวเล็กๆขึ้นมาแล้วมองไปด้านบน
ซูฮยอนลูบหัวมิรุเพื่อปลอบประโลม “เหมือนดันเจี้ยนแห่งนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด”
เขาย่นหนังตาลงเหมือนกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง…ลีจุนโฮที่เห็นสีหน้าตึงเคลียดของซูฮยอน เขาก็กลืนน้ำลายลงไปในคอหลายอึก….
“จะยืนอยู่กับที่อีกนานแค่ไหน เมื่อไหร่จะเริ่มขยับ”
เสียงของใครบ้างคนตระโกนออกมาจากด้านหลัง ซึ่งเสียงที่ว่าเป็นของลีคังฮุยกิลด์มาสเตอร์แห่งปาปิยอง
กิลด์มาสเตอร์อีก 2 คนที่เห็นว่าลีคังฮุยเริ่มออกลาย พวกเขาจึงรีบตอบกลับไป ก่อนที่สถานการณ์จะตึงเครียดไปกว่านี้..
“แกอยากรีบไปตายเร็วๆหรือไง พวกเราต้องมองโครงสร้างของดันเจี้ยนให้ออกซะก่อน ไม่ใช่เดินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า”
“ถูกต้อง เชื่อใจหัวหน้าซูฮยอนและอดทนรอไปก่อนเถอะ”
คนที่พูดกล้าพูดแทรกลีคังฮุย เป็นหนึ่งในกิลด์มาสเตอร์ที่มาในวันนี้ เขาชื่อว่าพัคโมย็อน กิลด์มาสเตอร์แห่งแกมเบลอร์ ส่วนอีกคนมีชื่อว่า คิมแทคฮยอน กิลด์มาสเตอร์แห่งเรดเดวิล…
หลังจากลีคังฮุยโดนทั้ง 2 คนบ่น เขาก็ก้มหน้าลงไปมองพื้นด้วยความอารมณ์เสีย…
“ใจเย็นทั้ง 3 คน อย่างที่คุณลีคังฮุยพูด พวกเราอยู่หยุดคิดอยู่ที่นี้นานเกินไปแล้ว คงได้เวลาออกเดินสำรวจบ้าง”ซูฮยอนพูดและเริ่มเดินนำ
ลีคังฮุยแอบเหลือบมองไปยังกิลด์มาสเตอร์ทั้ง 2 คน ก่อนสั่งให้ลูกทีมในกิลด์เดินตามมา
พัคโมย็อนและคิมแทคฮยอนก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี้อีกต่อไป พวกเขาหันไปบอกสมาชิกในกิลด์และเดินตามซูฮยอนไปติดๆ
เมืองร้างที่พวกเขากำลังเดินสำรวจถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ ด้วยจำนวนคนที่มากถึง 62 คน ทำให้บริเวณรอบๆนอกจากเสียงของฝีเท้า ก็ไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่นเลย..
“เงียบเป็นบ้า”
ลีจุนโฮพึมพำออกมาเบาๆโดยไม่รู้ตัว แต่น้ำเสียงของเขากลับดังก้องไปทั่วบริเวณรอบๆ
ด้วยสภาพแวดล้อมที่เงียบผิดปกติ ทำให้เสียงของลีจุนโฮได้ยินชัดมากเป็นพิเศษ
“ไม่ต้องกังวล ปล่อยตัวปล่อยใจให้ตามสบายเถอะ”ซูฮยอน
“ช่วยไม่ได้ มันเงียบเกินไปจนฉันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา”
“อย่าไปกลัว ทำใจให้ผ่อนคลาย สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบแห่งนี้มันก็มีข้อดีเหมือนกัน เพราะมันเหมาะกับการเป็นสนามรบที่ใช้ต่อสู้กับมอนสเตอร์โดยเฉพาะ รู้อะไรไหม ฉันชอบสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบแบบนี้ มากว่าสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเสียงนกเสียงไม้และเสียงคำรามจากมอนสเตอร์อีก”
“คำพูดของนายฟังดูมีเหตุผล แต่ว่า..”
ไม่น่าเชื่อว่าสมองของลีจุนโฮจะทำงานได้อย่างเป็นปกติ แม้จะตกอยู่ในความกังวลก็ตาม
เขาเหมือนกำลังจะพูดอะไรสักอย่างในซูฮยอนฟัง แต่ก็ส่ายหัวและเปลี่ยนเรื่องคุยใหม่…
“นายคิดว่า สถานที่แห่งนี้ใช่เมืองแอตแลนติสที่หายสาบสูญหรือป่าว?”
“ไม่น่าใช่”
“ทำไมนายถึงคิดว่าไม่ใช่ละ มันก็เป็นเมืองใต้น้ำเหมือนกัน”
“มันเป็นเมืองใต้น้ำเหมือนกันก็จริง แต่ที่นี่ไม่ใช่เมืองแอตแลนติสอย่างที่นายกำลังคิดอยู่”
ซูฮยอนกล้ายืนยันนอนยัน ว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองแอตแลนติสตามตำนานแน่นอน ไม่จำเป็นต้องอธิบายในเปลืองน้ำลายว่าทำไมที่แห่งนี่ถึงไม่ใช่เมืองแอตแลนติส…
เพราะในอดีตซูฮยอนเคยเห็นเมืองแอตแลนติสของจริงมากับตา…ถึงแม้จะเล่าในลีจุนโฮฟัง
เขาก็สามารถทายผลล่วงหน้าได้เลยว่า ลีจุนโฮต้องไม่เชื่อ
<<เมืองแอตแลนติสของจริง ไม่ได้มีสภาพแบบนี้เลยสักนิด>>ซูฮยอนคิด
เมืองใต้น้ำแห่งนี้ไม่ได้เฟื่องฟูเท่ากับเมืองแอตแลนติสของจริง แถมสภาพสิ่งปลุกยังเสื่อมโทรมจนกลายเป็นเมืองผีสิง…
<<ที่แห่งนี้ มีขนาดใหญ่โตแค่ไหนกันแน่?>>
หลังจากเดินสำรวจมาได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ซูฮยอนสัมผัสกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว ทั้งๆที่เขาปลอดปล่อยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ออกมาสูงสุดแล้วแท้ๆ
คิ้ว!
ในความเงียบสงบ อยู่ๆมิรุก็คำรามเสียงต่ำ ซูฮยอนรีบหันหน้าไปมองมันเจ้าตัวน้อย….
“ทุกคนระวังตัว ช่วยกันสอดส่องซ้ายและขวาไว้”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฟิ้ว!!!
ลูกธนูหลายร้อยดอกต่างบินตัดอากาศพุ่งตรงมายังกลุ่มของพวกเขา ลูกธนูทุกดอกไม่ใช่ลูกธนูธรรมดา แต่พวกมันถูกอาบด้วยพลังเวทย์ ทำให้ฉีกกระชากแผ่นเหล็กใหญ่ๆได้อย่างง่ายดาย…
เนื่องจากรอบๆไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือมอนสเตอร์ แสดงว่าลูกธนูเหล่านี้อาจเป็นกับดัก..
ตูม ตูม
กลุ่มก้อนเปลวเพลิงขนาดยักษ์ลุกโชนออกมาจากผู้ตื่นขึ้นบางคน…ด้วยจำนวนผู้ตื่นขึ้นที่มากกว่า 60 คน ทำให้พื้นที่รอบๆหนาแน่นไปด้วยพลังเวทย์….ผู้ตื่นขึ้นแต่ละคนต่างระเบิดพลังที่ตัวเองถนัดออกมา เพื่อสกัดกั้นห่าฝนลูกธนู
ฟิ้ว ฟิ้ว
หลังจากชุดแรกผ่านไป เหมือนลูกธนูจะยังไม่หมด เพราะลูกธนูอาบพลังเวทย์ถูกยิงมาอีกชุด
ซูฮยอนรีบปกป้องร่างกายด้วยสกิลเพลิงพิโรธ ก่อนหันไปสังเกตบริเวณรอบๆ
<<อืม…ฉันรู้แล้วว่าพวกมันถูกยิงมาจากที่ไหน>>
เมื่อซูฮยอนสังเกตวิถีของลูกธนู ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าลูกธนูถูกยิงมากจากไหน แต่ปัญหาที่ทำให้ซูฮยอนปวดหัวคือ ระยะห่างระหว่างจุดที่ยืนอยู่กับจุดที่ลูกธนูถูกยิงออกมามันไกลเกินไป
“หากอยากทำลายกับดักทั้งหมด จากจุดที่ยืนอยู่ ฉันคงต้อง…”
คิ้ว!!!!
ทันใดนั้น มิรุที่นอนขดอยู่รอบๆคอของซูฮยอน ก็ร้องคำรามออกมา..
<<ให้ผมช่วยไหม?>>
ซูฮยอนหันหน้าไปมองมิรุด้วยสายตาเบิกกว้าง “ไม่น่าเชื่อ นายพูดได้แล้ว? งั้น…นายรู้เหรอว่าต้องจัดการยังไง”
คิ้ว!!!!
มิรุที่มีอายุได้เพียงห้าวัน กลับรู้วิธีการตอบโต้โดยใช้จิตวิญญาณ ทำให้ซูฮยอนตกอยู่ในอาการตกใจ….เขาคิดว่าตัวเองอาจโดนผีหลอกก็ได้
<<ไม่ต้องห่วง เชื่อใจมิรุเถอะ>>
ในเมื่อมิรุมีความมั่นใจ ในฐานะคนเป็นพ่อ ไม่เชื่อใจลูกก็ไม่รู้จะไปเชื่อใจใคร…
ซูฮยอนดึงดาบออกมาจากฝัก ก่อนถ่ายเทพลังเวทย์ลงไปในดาบ เมื่อซูฮยอนคิดว่าเพียงพอแล้ว เขาจึงหลับตาลงแล้วปล่อยจิตสัมผัสออกไป เพื่อค้นหาวิถีของลูกธนูอีกรอบ
สถานการณ์ในปัจจุบันคล้ายคลึงกับการฝึกซ่อมในตึกของสำนักงาน…
แต่ตอนฝึกซ่อม ซูฮยอนสามารถจัดการกับเป้าหมายได้ง่ายๆ เพราะมันอยู่นิ่งๆไม่ได้เคลื่อนไหวไปมา
การฝึกซ่อมที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ใช้รับมือกับสถานการณ์ร้ายแรงในปัจจุบันค่อนข้างยากลำบากเพราะลูกธนูมันไม่ได้อยู่เฉยเหมือนตอนฝึกซ่อม…
“มิรุพร้อมนะ”ซูฮยอนตะโกนเรียก
คิ้ว!!!!
วุป วุป วุป
พลังเวทย์ที่อยู่ในดาบของซูฮยอนเริ่มมีมวลใหญ่ขึ้น จนรัศมีแพร่กระจายออกมาจากดาบ
ก่อนที่ซูฮยอนจะทนแบกรับพลังเวทย์ที่มหาศาลเช่นนี้ไหมไหว เขารีบเหวี่ยงดาบไปด้านหน้าโดยไม่รีรอ
ฉึก!!!
คลื่นพลังเวทย์ที่ซูฮยอนเหวี่ยงออกไปแตกแขนงเป็นสำแสงเส้นเล็กๆหลายร้อยเส้น ก่อนบินเข้าไปปะทะกับลูกธนู และ ทำลายเครื่องยิงลูกธนู
ตูม ตูม
เมื่อเครื่องยิงลูกธนูทุกทำลายลงไปบ้างส่วน ทำให้ห่าฝนลูกธนูลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ซูฮยอนรบรวมพลังเวทย์ลงไปในดาบอีกครั้ง มิรุก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพื่อให้การโจมตีของซูฮยอนโดนเป้าหมายจังๆ มันก็พยายามใช้พลังของตัวเอง ขยายพลังเวทย์ของซูฮยอนในมีความหนาแน่นและทรงพลังมากขึ้น..
“เยี่ยม ดีมาก รับการโจมตีของฉันไปซะ”
ตูม!!!!
กับดักเครื่องยิงที่การโจมตีของเขาทำลายจนไม่อาจนำกลับมาซ่อมแซมได้..
หลังจากซูฮยอนเห็นเครื่องยิงลูกธนูถูกทำลายยับเยิน เขาก็หันพูดกับมิรุ..
“ทำได้ดีมาก มิรุ”
คิ้ว!!!!
มิรุร้องคำรามออกมาด้วยความสุขเมื่อได้คำชมของซูฮยอน
ในขณะที่ซูฮยอนและมิรุกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆที่อยู่ด้านหลัง ก็มองไปทางซูฮยอนด้วยสายตาเหมือนเจอผี…
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันก็ไม่รู้…”
“เขาสามารถทำลายกับดักทั้งหมด จากระยะไกลๆเนี้ยนะ?”
ผู้ตื่นขึ้นทุกคนตกอยู่ในอาการเดียวกัน มีเพียงลีจุนโฮคนเดียวที่มีอาการปกติมากที่สุด
หากเขาไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของซูฮยอนมาก่อน เขาคงมีอาการไม่ต่างจากคนอื่นๆ
สิ่งที่ซูฮยอนกระทำไปเมื่อครู่ มันเป็นเหมือนสกิลของยอดมนุษย์ในหนังแฟนตาซีไม่มีผิด..
<<น่าตกใจจริงๆที่ซูฮยอนสามารถทำลายเครื่องยิงลูกธนูได้ ความแข็งแกร่งของเขาเหนือจินตนาการของฉันอีก>> ลีจุนโฮคิด
ตอนที่ลีจุนโฮรับมือกับลูกธนู เขาสงสัยมาตลอดว่าซูฮยอนจะรับมือกับปัญหาตรงหน้ายังไง….
อย่างที่ลีจุนโฮเคยบอกไปตั้งแต่ตอนแรกๆ ว่าหัวสมองของซูฮยอนคิดไว้มาก ใช้เวลาไม่นานเขาก็สามารถระบุตำแหน่งเครื่องยิงธนูได้..
ซูฮยอนรีบดึงพลังเวทย์ของตัวเองออกมาและรวบรวมมันไว้ที่ดาบ เขาค่อยๆควบคุมมันอย่างพิถีพิถันเพื่อในพลังเวทย์กระจายตัวได้ทั่วถึง…นอกจากพลังเวทย์จะต้องหนาแน่นแล้ว ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือความแม่นยำ เมื่อพลังเวทย์ที่ทรงพลังผนวกกับความแม่นยำ ทำให้เป้าหมายถูกจัดการลงอย่างง่ายดาย
พูดตามความจริง หากอยากทำลายเครื่องยิงธนูให้ย่อยยับ ผู้ตื่นขึ้นทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันถึงจะทำสำเร็จ แต่ซูฮยอนเพียงคนเดียวกลับทำลายเครื่องยิงธนูได้…โดยไร้บาดแผล
“นายรู้หรือป่าว ว่านายทำให้ฉันนึกคำพูดไม่ออก”ลีจุนโฮพูด
“นายไม่ต้องยกย่องฉันหรอก ข้ามมันไปเถอะ ทุกคนไม่มีใครได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”
ผู้ตื่ขึ้นที่ยืนอยู่ใกล้ซูฮยอนมากที่สุด พยักหน้าก่อนตอบ…
“อ่า..ไม่ครับ”
“ทุกคนสบายดีหายห่วง”
“ด้านหลังก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เหมือนกัน”
โชคดีที่สมาชิกในกลุ่มไร้ผู้บาดเจ็บ เพราะทุกคนตอบคำถามกลับมาได้อย่างรวดเร็ว..
ซูฮยอนพยักหน้าด้วยความโล่งใจ ก่อนหันไปพูดกับสมาชิกทุกคน “ในเมื่อไม่มีใครเป็นอะไร พวกเราเดินหน้ากันต่อเถอะ”
ซูฮยอนเริ่มต้นออกเดินอีกครั้ง สมาชิกในกลุ่มที่หยุดเดินเนื่องจากเจอเหตุการร์สุดวิสัย ก็จัดขบวนแล้วเดินตามหลังของซูฮยอนไปเหมือนเดิม…
ลีจุนโฮรีบเดินไปข้างๆซูฮยอน และมองไปยังมิรุที่กำลังแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี..
“เมื่อกี้นี่ใช่ความสามรถของมิรุหรือป่าว อยู่ๆพลังเวทย์ของนายก็หนาแน่นขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นด้วย”
“ใช่….เพราะว่ามิรุยังอยู่ในช่วงวัยเด็ก ทำให้มันออกไปโจมตีด้วยตัวเองไม่ได้ สิ่งที่มันทำได้มีแค่การซัพพอร์ตธรรมดาอยู่แนวหลังเท่านั้น”
“ซัพพอร์ตธรรมดางั้นเหรอ? นายรู้ว่าป่าว การหาไอเทมเพิ่มพลังเวทย์สักชิ้น มันหายากโคตรๆ ต่อให้พลิกแผ่นดินหา ก็ไม่จะได้กี่ชิ้น…”
“ฉันจะบอกความลับให้นายฟังหน่อยก็ได้ นอกจากเพิ่มความหนาแน่นของพลังเวทย์ ความสามารถของมิรุยังเพิ่มความแข็งแกร่ง ความว่องไว และความสามารถทางกายภาพอื่นๆอีกด้วย”ซูฮยอนพูด
เมื่อลีจุนโฮได้ยินคำอธิบายของซูฮยอน เขาถึงกลับไปไม่เป็น…
<<มังกรน้อยปลอมตัวเป็นผ้าพันคอทรงพลังขนาดนี้เลยเหรอ?>>ลีจุนโฮคิด
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฮยอนครอบครองก็เปรียบเสมือนบัคของเกม…อายุของมิรุยังไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำ แต่ความสามารถของมันกลับทำให้ลีจุนโฮตกใจไม่หาย..
“เฮ้ มิรุ”
คิ้ว?
เสียงเรียกที่เป็นมิตรของลีจุนโฮ ทำให้มิรุยกหัวเล็กๆขึ้นมามอง..
“ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ.”
คิ้ว!!!!!!
มิรุแยกเขี้ยวออกมาขู่ฟ่อๆ เหมือนกำลังจะสื่อว่า นอกจากพ่อของมัน มันจะไม่ดูแลใครหน้าไหนทั้งนั้น
เมื่อลีจุนโฮเห็นมิรุแยกเขี้ยวใส่ เขารู้สึกว่าดวงใจ ดวงน้อยๆของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนโดนผู้หญิงที่แอบชอบหักอก เขาสายหัวไปมาก่อนถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
“อืม…”
ระหว่างทางที่เดินอยู่ ทันใดนั้นซูฮยอนก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน และมองไปบริเวณรอบเหมือนวิเคราะห์อะไรบ้างอย่าง
ลีจุนโฮที่ยืนอยู่ด้านข้างถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “เป็นอะไรไป?”
“ฉันว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ…”
“ดันเจี้ยนแห่งนี้ อาจมีลับลมคมในมากกว่าสิ่งที่ฉันจินตนาการไว้ก็ได้ ”ซูฮยอนพูด
เคร้ง เคร้ง
หลังจากสิ้นเสียงของซูฮยอน [ผู้ตื่นขึ้น] ทุกคนก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างกระทบกันดังออกมาจากทั่วสารทิศ…