การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 87
ตอนที่ 87
คิ้ว!! คิ้ว!!
ซูฮยอนลูบหัวมิรุด้วยความเอ็นดู ในขณะที่มันกำลังนอนหลับฝันดี อยู่กลางห้องนั่งเล่น..
เมื่อเทียบกับตอนแรก มิรุตัวโตขึ้นเยอะมาก ขนาดตัวของมิรุตอนนี้ใกล้เคียงกับสุนัขชินโดสายพันธ์เกาหลี…
มิรุนอนกรนอย่างมีความสุข….
ดูเหมือนการลูบคลำของซูฮยอน จะทำให้มังกรหนุ่มรู้สึกเพลินใจเป็นพิเศษ
“ฉันสงสัยจริงๆว่า ขนาดตัวของมิรุ จะยืดใหญ่ไปอีกแค่ไหน”ซูฮยอนพูด
“พี่ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวหรอก ผ่านไปยังไม่ถึงปี มิรุตัวก็โตได้ขนาดนี้ ผมว่าอีกสักพักคงตัวใหญ่เท่าตึกแล้วมั้ง”ฮักจุนตอบ
“ตามปกติของมังกร ในระยะเวลา 1 ปี พวกมันเริ่มย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ขนาดมิรุยังไม่โตเต็มวัย ตัวยังใหญ่เท่าสุนัข ถ้าปล่อยไว้อีก 2 ปีไม่รู้ว่าตัวของมิรุจะพัฒนาไปถึงขั้นไหน มังกรใช้เวลาเติบโตแค่ 3 ปี เท่านั้น ซึ่งมันสั่นมากๆเมื่อเทียบกับมนุษย์ นายเองก็รู้”
“พี่ซูฮยอน ผมพูดแค่นิดเดี๋ยว แต่พี่กลับตอบกลับซะยาวเลย ยังก็เถอะเมื่อเทียบกันตอนที่มิรุนอนขดอยู่บนหลังคอของพี่ มันตัวใหญ่ขึ้นเร็วจริงๆ”ฮักจุนยิ้มตอบ
“เฮ้อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันหนักใจทุกที มิรุงอแงอยากนอนบนหลังคอเหมือนเดิม แต่ขนาดตัวของมิรุใหญ่ขึ้นมาก ฉันจึงไม่สามารถปล่อยมิรุในเกาะอยู่ที่ประจำได้ นายรู้ป่าว ฉันต้องพยายามอย่างหนักในการปลอบให้มิรุหายงอน”
“ผมเข้าใจ มิรุยังยังอยู่ในวัยเด็ก ทำให้เขามีนิสัย งอแง เอาแต่ใจ บ้างตามประสาเด็ก”
เนื่องจากมิรุตัวใหญ่ขึ้น ซูฮยอนจึงไม่สามารถปล่อยมังกรให้ออกมาเพ่นพ่านด้านนอกได้…
ถ้าเขาปล่อยออกมา คนที่พบเห็นต้องคิดว่ามิรุเป็นมอนสเตอร์ที่หลุดออกมาจากดันเจี้ยนไหนสักทีแน่ๆ
“ยังไม่ถึงเวลา ปล่อยให้มิรุนอนต่อเถอะครับ แค่คงอีกไม่นานหรอกมั้ง ที่พวกเราจะได้ไปยืดเส้นยืดสายสักที”
“นายพูดถูก อีกไม่นาน”
ซูฮยอนลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าคาดหวัง…
ฮักจุนอยากรู้ว่า ใบหน้าที่เหมือนชายชราเจ้าเล่ห์ของซูฮยอนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงพยายามเอี้ยวคอไปดู…
“ผมชักอยากเห็นแล้วสิ ว่าอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้ายังไงออกมา” ฮักจุนไม่ถนัดการพูดต่อรอง เขาจึงแอบหนีออกไปนอกห้องแล้วปล่อยให้ซูฮยอนเป็นคนจัดการ เขาก็พึ่งทราบข่าวไม่นานเหมือนกันที่ ซูฮยอนและโรเบิร์ต มีเรื่องเดิมพันกัน..
“ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน”ซูฮยอนพูด
ฮักจุนพูดในสิ่งที่อยากพูดไปแล้ว ทำให้ซูฮยอนคิดไม่ออกว่าจะพูดต่ออะไรต่อ…
เขาจึงหันหน้าไปมองมิรุ แล้วเขย่าตัวมิรุเบาๆ
“มิรุ มิรุ ตื่นขึ้นได้แล้ว เจ้าเด็กขี้เซา ฉันอุสาอัญเชิญนายออกมาด้านนอกเพราะเห็นว่านายอยากออกมาเดินเล่น แต่ที่ไหนได้ กลับนอนหลับทั้งวัน”
“ถ้านายยังไม่ตื่น ฉันจะส่งนายกลับไปที่เดิมนะ 1 2…..”
คิ้ว!! คิ้ว!!
เมื่อได้ยินว่าซูฮยอนจะส่งกลับที่เดิม มิรุรีบดีดตัวขึ้นมาและเริ่มร้องห่มร้องไห้ ถ้าคนมาเห็นสภาพของมันตอนนี้ คงอดสงสารไม่ได้..
ฮักจุนมองไปยังมิรุด้วยสายตาแปลกใจและหันไปถามซูฮยอน
“มิรุโตมีการพัฒนาขึ้นจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะแสดงบทเจ้าน้ำตาได้ด้วย”
“เป็นจริงอย่างที่นายว่า ครึ่งปีที่ผ่านมากเขาไปเปลี่ยนมากจริงๆ”
คำพูดของซูฮยอนกระตุ้นให้ฮักจุนนึกอะไรบ้างอย่างออก เขารู้สึกคันปากจึงตัดสินใจถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น..
“แล้วพี่ล่ะ?”
“ฉัน?”
“ผมมีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อมิรุมีการเปลี่ยนแปลง พี่ในฐานะเจ้าของก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยสิ”
“เปลี่ยนบ้าเปลี่ยนบออะไร ฉันก็เหมือนเดิมนั้นแหละ นายก็รู้”
“อืม…ตั้งแต่พี่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S พี่เปรียบเสมือนสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว แม้พี่จะก้าวมาอยู่แรงค์ S ที่หลายคนใฝ่ฝันไว้ นอกจากพี่จะไม่ลดความพยายามแล้ว พี่ยังพยายามหนักขึ้นไปอีก”
ทุกครั้งที่ฮักจุนนึกถึงซูฮยอน ชอบมีความคิดอย่างหนึ่งพุดขึ้นมาในหัวสมอง..
ซูฮยอนมีความแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่?
แล้วตอนนี้หล่ะ..?
ฮักจุนอยากรู้มาโดยตลอด ว่าซูฮยอนที่เคารพมีความแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่? ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้อีกฝ่ายอัปเดตทุกๆ 1-2 เดือนด้วยซ้ำ
ศักยภาพที่ซูฮยอนแสดงออกมาทำให้ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆ อ้าปากค้าง เพราะเขาใช้เวลาแค่ 2 ปีในการปีนป่ายจากผู้ตื่นขึ้นไร้ตัวตน กลายมาเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ชั้นแนวหน้า หากเขายังรักษาอัตราการเติบโตเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่อง คงเป็นการยากที่คาดเดาว่าตอนนี้ซูฮยอนแกร่งแข็งถึงขั้นไหน..
“พี่พึ่งไปถึงชั้นที่ 30 ใช่หรือป่าว?”
“ใช่ ฉันถึงชั้นที่ 30 แต่ยังไม่ได้ทำการทดสอบ”
“อืม….พี่เป็นพวกไม่ชอบอะไรง่ายๆ ฉะนั้นไม่มีทางที่พี่จะลดระดับความยาก..”
ฮักจุนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดดันเจี้ยนระดับสีเขียวในเมืองอันยัง หรือการสังหารกิลด์มาสเตอร์เทพสงครามอย่างจองดงย็อง
เหตุการณ์ที่กล่าวมา ผ่านมาแล้วประมาณครึ่งปี…
“บางทีคนที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช้มิรุ แต่เป็นพี่ต่างหากที่เปลี่ยนไปมากที่สุด…”ฮักจุนบ่นพึมพำเบาๆ
***************
ไม่ถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง!!
โรเบิร์ตไม่มีเรี่ยวแรงยกก้นออกจากเก้าอี้ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบไหลจากหนังศีรษะหยดลงมายังใบหน้าของเขา สาเหตุที่เหงื่อไหลไม่รู้เป็นเพราะอากาศร้อนหรือเขาลืมเปิดแอร์กันแน่…
<<ทำไมถึงไม่มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S กลับออกมาเลยสักคน?>>
ตลอดหลายสิบวันที่ผ่านมาโรเบิร์ตรู้สึกว่า เลือดลมภายในร่างกายถูกอะไรบ้างอย่างดูดกลืนหายไปที่ละส่วน…
ช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเหลือเกิน..
เมื่อระยะเวลากำหนดการ เริ่มขยับใกล้เข้ามา เหตุการณ์ที่โรเบิร์ตไม่อยากพบเจอมากที่สุด ก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ….
<<ถ้าฉันเข้าร่วมการโจมตีดันเจี้ยน ทั้งแบบนี้…>>
ตามข้อตกลงที่ระบุบในสัญญา ของรางวัลทั้งหมดที่กิลด์เมดอิแค็ลได้รับ จะถูกยกให้ซูฮยอนทั้งหมดโดยไม่มีข้อแม้..
เคราะห์กรรมที่เกิดขึ้น เป็นเพราะโรเบิร์ตย่ามใจเกินไปจนเผลอเซ็นลงนานในสัญญาไป…
ก๊อก ก๊อก
“กิลด์มาสเตอร์ถึงเวลาไปแล้วครับ ถ้าคุณไม่ไป เกรงว่าจะ….”
“ อ้าาาาาาาก -!”
โรเบิร์ตยกมือขึ้นมาอุดหูตัวเองเพื่อปิดกั้นเสียงตะโกนเรียกจากนอกห้องทำงาน เมื่อรู้ว่าเสียงยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาจึงร้องคำรามออกมาเสียงดังสนั่น…
โดยหลักการเหมือนพลเมืองอเมริกาทุกคน โดนลากมาตบหน้ากลางสีแยก เพราะกิลด์แนวหน้าของอเมริกา หลงกลแผนการของซูฮยอนอย่างสมบูรณ์
*****************
ใจกลางตัวเมืองลอสแอนเจลิส
ความสนใจของคนทั่วโลกมุ่งตรงไปที่สถานที่แห่งนี้…ตำรวจหลายกองร้อยกำลังปิดกั้นพื้นที่ เพื่อจำกันการเข้าถึง
ถ้าคุณลองสังเกตใบหน้าของผู้ตื่นขึ้นดูดีๆ นอกจากบางคนจะเป็นคนดังในสหรัฐอเมริกาแล้ว ชื่อเสียงของเขา ยังดังไปทั่วซีกโลกอื่นด้วย..
ในหมู่ผู้ตื่นขึ้นคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น จอร์แดน โรเจอร์ส ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ผู้เป็นรองกิลด์มาสเตอร์ แห่ง กิลด์แม็กซิมั่ม…
การโจมตีดันเจี้ยนสีน้ำเงินครั้งนี้ เขาเป็นผู้นำทัพหลัก..
“พวกเขามาสายมาก…”
จอร์แดนยกนาฬิกาบนข้อมือมาดูและขมวดคิ้ว
จอร์แดนเป็นที่รู้จักโดยทั่วกันว่าเป็นพวกเคร่งครัดกับระเบียบวินัยและหน้าที สิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดอีกการรอใครนานๆ แม้จะเหลือเวลาอีกหลายนาทีก่อนถึงกำหนดรวมพล
เขาก็ยังก้มดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือหลายครั้ง..
“ท่านครับ กิลด์มาสเตอร์ของเมดอิแค็ล ส่งข้อความมาบอกว่า เขาติดธุระสำคัญบางอย่าง ทำให้มาในวันนี้ไม่ได้”
“ติดธุระสำคัญจนมาไม่ได้งั้นเหรอ…?”
สมาชิกกิลด์เดินเข้ามารายงานข้อความของกิลด์มาสเตอร์เมดอิแค็ล สีหน้าจอร์แดนที่อารมณ์เสียอยู่แล้ว ยิ่งไปกันใหญ่…
“เขาคิดว่าดันเจี้ยนที่กำลังเผชิญหน้าเป็นเรื่องตลกหรือไง ถึงไปไหนมาไหนก็ได้…?”
“ท่านครับ คิมซูฮยอน มาถึงจุดรวมพลเรียบร้อยแล้วครับ”
“ใช่คนที่กิลด์เมดอิแค็ลคัดเลือกมาหรือป่าว”
“ท่านครับจริงๆแล้ว เขาเป็นทหารรับจ้าง ที่มาเยือนกิลด์เมดอิแค็ลในฐานะแขก แต่เพราะการกำเนิดขึ้นของดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน ทำให้กิลด์เมดอิแค็ลขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย”
“อย่างน้อยเจ้าปัญญาอ่อนโรเบิร์ต ก็ทำประโยชน์ได้บ้าง”
“ท่านจะไปพบเขาเลยไหมครับ”
“ไว้ภายหลังดีกว่า ฉันจะออกไปทักทายเขาหลังจากทุกคนมากันครบ ฉันก็อยากเจออีกฝ่ายเหมือนกัน ได้ยินมานานว่า เขาเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน”
ถ้าดันเจี้ยนที่กำลังโจมตีเป็นระดับสำเขียวคงจะฝันหวานกว่านี้ แต่ดันเจี้ยนที่พวกเขากำลังเผชิญเป็นระดับสีน้ำเงินที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน…
ยิ่งไปกว่านั้นดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินยังอยู่ในสภาวะอันตราย หากปล่อยมันทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดเหตุการณ์การระบาดขึ้นได้..ทำให้พวกเขาต้องทุมกำลังทั้งหมดพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินให้สำเร็จ….
ดังนั้น..การที่กิลด์เมดอิแค็ลสามารถชักชวนผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ให้มาช่วยเหลือได้พวกเขาได้ จัดว่าเป็นผลงานที่เยี่ยมยอดจริงๆ..
“ดูเหมือนนายกระดี๊กระด๊าอยากเจอ เด็กอมมือที่อยู่ในตำแหน่งแรงค์ S ไม่ถึงครึ่งปีเหลือเกินนะ”
ทันใดนั้น เสียงที่ฟังดูคุ้นเคย ก็ดังเข้ามาให้หูของจอร์แดน
เสียงแหลมบาดคมเหมือนใบมีด ไม่ว่าจะได้ยินอีกกี่ครั้ง ก็ปลุกความรู้สึกหวาดเสียวออกมาได้ตลอด
คนที่พูดกับจอร์แดน เป็นหญิงวัยกลายคน มีผมสีฟ้า ใบหน้าของเธอแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางจนขาวซีดเหมือนศพ…
เธอคือหนึ่งในผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่รับหน้าที่โจมตีดันเจี้ยนแห่งนี้ด้วยเหมือนกัน
กิลด์มาสเตอร์ แห่ง กิลด์สตาร์ โคลอี้ ราฟเฟอร์ตี้
การปรากฏตัวองเธอทำให้เสียงรอบข้างเงียบพลันหายไป..
“พูดอะไรหัดไตร่ตรองบ้าง เขาเป็นแขกคนสำคัญชาวอเมริกา”
“ฉันแค่สงสัย ว่าเขาจะช่วยอะไรพวกเราได้?”
“เธอไม่เคยได้ยินชื่อคิมซูฮยอนมาก่อนหรือไง เขาใช้เวลาแค่ 2 ปี ในการมาอยู่ตำแหน่งแรงค์ S.”
“สำหรับฉัน เขาก็เป็นได้แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ที่มีประสบการณ์แค่ 2 ปี พูดตามตามตรง นายกล้ายืนยันไหมล่ะ ที่อีกฝ่ายก้าวมาอยู่ในตำแหน่งแรงค์ S ได้ เพราะการปีนป่ายหอคอย? ไม่แน่เขาอาจโด๊ปยาพิสดารลงไปก็ได้”
ความสงสัยของโคลอี้ ไม่ใครแค่เธอคนเดียวที่สงสัย…
ทุกประเทศเมื่อชื่อของ [คิมซูฮยอม] ถูกยกขึ้นมากลางวงสนทนา พวกเขาจะจินตนาการไปต่างๆนาๆ ว่าทำไม [คิมซูฮยอม] ถึงเติบโตได้เร็วกว่าแรงค์ S คนอื่นๆ
คิมซูฮยอน คู่ควรแก่ตำแหน่งผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S จริงๆเหรอ? มีโอกาสเป็นไปได้ไหม ที่ชาวเกาหลีใต้จงใจสร้างผลการประเมินปลอมๆขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเกาหลีใต้ ได้ถือกำเนิดดาวดวงใหม่ขึ้น?
“หนุ่มน้อยคนนั้น ปีนป่ายหอคอยถึงชั้นที่ 30 เองไม่ใช่เหรอ? ถ้าเปรียบเทียบกับแรงค์ S คนอื่นๆ เขาก็เป็นแค่ฐานรองเท้า”โคลอี้บ่น
“แต่เขาเป็นผู้ตื่นขึ้นคนแรก ที่ผ่านระดับที่ 10”
“ต่อให้ระดับที่ 11 เขาก็เป็นได้เพียงฐานรองเท้าเหมือนเดิม”
“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากเสียเวลาเถียงกับเธอ ว่าแต่เธอได้ยินหรือยัง ว่าการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินที่กำลังเกิดขึ้นต้องใช้แรงค์ S อย่างน้อยที่สุด 3 คน ถ้าเรายังยืนยันตัวเลขแรงค์ S ที่เข้าร่วมการโจมตีดันเจี้ยนไม่ได้ ลูกทีมจากกิลด์อื่นๆจะแบกรับความกดดันมากเกินไป”
จอร์แดนไม่เคยเชื่อข้อสันนิษฐานจากปากผู้เชี่ยวชาญ ว่าผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เพียง 2 คน ไม่มีทางเคลียร์ดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินได้…
เขามั่นใจว่าแค่ 2 คนก็เกินพอ แต่ปัญหาที่เขากังวลอย่างแท้จริง คือความเสียหายหลังจากเสร็จสิ้นการโจมตี
ตัวเลข [ขั้นต่ำ 3 สูงสุด 5] มีไว้เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ตื่นขึ้น..
ยิ่งมีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เยอะๆ ความเสียที่เกิดยิ่งลดลง แต่ตอนนี้ในอเมริกามีกิลด์ที่มีแรงค์ S ว่างงานอยู่แค่ 2 กิลด์เท่านั้น คือ จอร์แดนจาก กิลด์แม็กซิมั่ม และ โคลอี้จาก กิลด์สตาร์
ทำให้ทั้ง 2 คน แบกรับความเสี่ยงเอาไว้บนบ่าเยอะมาก..
“นายไม่ต้องกังวล กิลด์สตาร์ของฉัน ก็มีทหารรับจ้างเหมือนกัน”โคลอี้กล่าว
“เธอก็มีด้วย?.”
เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ….
ความหยิ่งยโสของกิลด์สตาร์โดยเฉพาะโคลอี้มีมากเหนือสิ่งอื่นใด คนอย่างเธอไม่มีทางก้มหัวขอร้องผู้อื่นก่อนแน่นอน…
กิลด์สตาร์นอกจากเป็นกิลด์ชั้นแนวหน้าของอเมริกาแล้ว แถมยังเป็นกิลด์ที่ผู้ตื่นขึ้นหลายคนอยากเข้าร่วมมากที่สุด…
สมมุติกิลด์ที่พวกเขาสังกัดอยู่เกิดถูกยุบทิ้ง กิลด์สตาร์เป็นตัวเลือกแรกที่พวกเขาอยากเข้า…
“ฉันไม่อาจมองข้ามความหวังดีของเขาได้ ในเมื่อเขาอยากช่วยเหลือชาวอเมริกาจากใจจริง ฉันจึงตอบตกลงไป ไม่แน่สาเหตุที่เขาถ่อมาหาฉันถึงกิลด์ อาจเป็นเพราะหลงเสน่ห์ฉันก็ แห่มเขินจัง”
“เขาเป็นใคร?”
“ฉันพูดไม่ได้ เพราะเขากำชับมาว่าไม่อยากเปิดเผยตัวตนให้คนอื่นรับรู้ แต่ไม่ต้องห่วง เขาไม่ใช่พวกไก่อ่อน ฉันลองทดสอบทักษะของเขามาแล้ว นายสบายใจได้”
“ทักษะงั้นเหรอ….”
การทดสอบทักษะการต่อสู้ของอีกฝ่าย เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในสายอาชีพอย่างพวกเขา
แม้จะรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย ที่อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยตัวตน แต่ในเมื่อโคลอี้ยืนยันเสียงแข็ง ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร..
<<แรงค์ S 4 คนเหรอ…>>
สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่คิดไว้มาก..
<<อืม…จาก 2 เพิ่มมา 4 ชักน่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ>>
ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ทุกคนมีนิสัยคล้ายๆกัน นั้นคือ มั่นใจในฝีมือของตัวเอง จอร์แดนก็ไม่มีข้อยกเว้น
ความภาคภูมิใจและความถือตัวเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวชาวอเมริกาทุกคน เพราะชาติของพวกเขาครอบครองตำแหน่ง มีกองกำลังผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และอิทธิพลของอเมริกายังปกคลุมไปประเทศกําลังพัฒนาอีกหลายประเทศ
ทั้งจอร์แดนและโคลอี้มีสายเลือดชาวอเมริกาไหลเวียนอยู่ภายใน พวกเขาเชื่อว่าผู้ตื่นขึ้นที่มารวมตัวกันวันนี้ ผู้ตื่นขึ้นชาวอเมริกาคือผู้แข็งแกร่งที่สุด
“ในเมื่อเธอยืนยันว่าทักษะของอีกฝ่ายเป็นของจริง ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไร ใช้ได้เหมือนกันนี้คุณป้า ไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะเชิญคนอื่นมาช่วยกับเขาด้วย”
“ฉันบอกนายไปหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือไง?”
จิตสังหารที่รุนแรงเริ่มก่อตัวขึ้นรอบร่างกายของโคลอี้…
จิตสังหารที่ผสมกับพลังเวทย์ ทำให้บรรยากาศรอบตัวมืดมนลง..
“ถ้านายกล้าเรียกฉันว่า คุณป้า อีกครั้ง ฉันจะฆ่านาย”
ผู้ตื่นขึ้นที่อยู่รอบๆ ถูกออร่าแรงค์ S 2 คนกดทับร่างกาย การหายลื่นไหลไม่มีสะดุด เริ่มติดขัด….
จอร์แดนไม่กลัวการข่มขู่ของโคลอี้แถมยังยิ้มเยาะเย้ยกลับไปอีก
สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ ทั้ง 2 คนไม่กินเส้นกันมาหลายปี เจอหน้ากันที่ไรกัดกันตลอด..
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาต่อสู้ เก็บพลังเวทย์ของเธอไปซะ ดูกาลเทศะด้วย หลังเคลียร์งานหลักเสร็จเมื่อไหร่ เธอกับฉันค่อยมาตัดสินกัน เข้าใจไหมกิลด์มาสเตอร์โคลอี้”
“นายกลัวฉัน จนนึกอยากวิ่งหนีห่างจุดตูด ก็บอกมาตามตรง”
“ทำไมฉันต้องหนีด้วย ฉันแค่ไม่อยากเสียแรงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง…”
เสียงคำรามโต้เถียงไปมาของทั้ง 2 คน ทำให้ผู้ตื่นขึ้นที่อยู่รอบๆไม่กล้าพูดแทรก
สถานการณ์ แรงค์ S 2 คนโต้เถียงกันดุเดือดเลือดพล่าน จนต่างฝ่าย อยากวิ่งไปกระชากหัวคู่อริให้หลุดออกจากบ่าเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น…
นอกจากจะทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ยังทำให้ความสามัคคีลดถ้อยลงไปอีก..
ซูฮยอนมองดู จอร์แดนและโคลอี้ ทะเลาะกันจากที่ไกลๆ
**************
“ฉันเบื่อจริงๆ ที่ต้องทนรอให้ทั้ง 2 คนทะเลาะกันให้เสร็จจริงๆ”ซูฮยอนบ่นออกมาอย่างหัวเสีย
“พวกเขาคุยอะไรกันเหรอครับ ผมได้ยินเสียงแว่วๆว่าพวกเขาพูดชื่อพี่และก็ชั้นที่ 30 อะไรสักอย่าง”
“ก็เรื่อง…”
ในฐานะที่ซูฮยอนเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ประสาตหูของเขาจึงดีกว่าฮุกจุนหลายเท่า
เขาจึงเริ่มบอกเล่าคำสนทนาที่จอร์แดนและโคลอี้คุยกัน..
“ที่ฉันได้ยินก็มีประมาณนี้”
“เดี๋ยวก่อนนะ…พวกเขาคงไม่ต่อสู้กันที่นี่หรอกนะ”
“ใครจะไปรู้”
“จะเกิดอะไรขึ้น หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริงๆ จนทำให้ผู้ตื่นขึ้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้รับบาดเจ็บ?”
“พวกเขาคงคิดประมาณว่า ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ภารกิจหลักของพวกเขาคือการโจมตีดันเจี้ยนอย่างเดียว พวกเขาไม่ใช่พ่อพระที่ต้องเป็นห่วงเป็นใยผู้ตื่นขึ้นตัวเล็กจ้อย ต่อให้พลั้งมือฆ่าผู้ตื่นขึ้นไปจริงๆ ก็ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องพวกเขาอยู่ดี”
“ไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยยังไง มันมากเกินไปจริงๆ พวกเขาคิดว่าชีวิตคนเราเกิดใหม่ได้หรือไง”
“นายยังขาดประสบการณ์การดำรงชีวิตอีกเยอะ ยุคปัจจุบัน คือยุคมนุษย์กินคน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ก็เปรียบเสมือนผู้มีอิทธิพล แทบไม่มีใครกล้ายุ่งเรื่องของพวกเขา”
ในระหว่างที่ซูฮยอนกำลังพูด เขาสังเกตเห็นว่าแสงสีน้ำเงินอมฟ้าขนาดมหึมาเริ่มกลืนกินท้องฟ้าในตัวเมือง..
“บางที พวกเขา 2 คนอาจคิดว่าเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญเป็นเรื่องตลก”ซูฮยอนพูดงึมงำ
ไม่ใครกล้ายืนมือออกไปขั้นกลางการโต้เถียงของจอร์แดนและโคลอี้ จิตสังหารของพวกเขายังคงบินว่อนอยู่กลางอากาศ…
ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่มีความกังวลและความหวาดกลัว เกี่ยวกับการโจมตีดันเจี้ยนน้ำเงินเลย..
สำหรับพวกเขาความล้มเหลวในการโจมตีดันเจี้ยนน้ำเงินไม่มีอยู่ในพจนานุกรม จอร์แดนและโคลอี้คิดเหมือนกันว่าดันเจี้ยนน้ำเงินจะแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียว มันคงไม่ต่างกับดันเจี้ยนสีเขียวมากนัก
แต่ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดอย่างงั้น เพราะอุปนิสัยส่วนตัวของผู้ตื่นขึ้นชาวอเมริกา เต็มไปด้วยความมั่นใจและทะนงตน..
“ผมคิดว่า ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่กลัวการเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนสีน้ำเงิน พี่รู้ป่าวว่าทั้ง 2 มีดีกรีไม่ธรรมดา โดยเฉพาะจอช เขาเคยผ่านการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาแล้ว ไหนจะได้โคลอี้มาเสริมทัพอีก ผมอยากรู้จริงๆว่าในดันเจี้ยนจะมีอะไรทำให้พวกเขาตื่นกลัวได้บ้าง”
“นายก็คิดเหมือนกับพวกเขางั้นเหรอ?”
“เรื่องอะไรครับ?”
“ก็ดันเจี้ยนที่ตั้งอยู่ตรงนั้นไง นายคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกเหมือนกันเหรอ?”
ทั้งสายตาและน้ำเสียงที่จริงจังของซูฮยอน ทำให้บรรยากาศรอบๆตึงเครียดขึ้น
ฮักจุนไม่ทราบว่าซูฮยอนต้องการสื่ออะไร เขาจึงปิดปากเงียบและรอให้ซูฮยอนเป็นคนพูดต่อ..
หลังจากจ้องมองดันเจี้ยนสีน้ำเงินจนพอใจ ซูฮยอนจึงเริ่มพูดต่อ
“นายเคยคิดบ้างหรือป่าว ว่าไม่ช้าก็เร็วดันเจี้ยนจะกลืนกินโลก”
“ดันเจี้ยน…กลืนกินโลก?”
เรื่องที่ซูฮยอนพูด เป็นสิ่งที่ฮักจุนเคยจินตนาการมากก่อน
ในตอนที่มีดันเจี้ยนแห่งแรกของโลกปรากฏขึ้น ทั่วทุกมุมโลกตกอยู่ในความโกลาหล มันเหมือนเหตุการไฟรามทุ่งประชาชนทุกคนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน แต่ความโกลาหลก็อยู่ได้ไม่นาน ก่อนกลับเข้าสู้สภาวะปกติ..
การปรากฏตัวของดันเจี้ยนนำพาความหวาดกลัวมาสู่คนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยการถือกำเนินผู้ตื่นขึ้น ทำให้ดันเจี้ยนถูกจัดการออกไปได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายดันเจี้ยนที่มนุษย์โลกหวาดกลัว ก็ถูกมองเป็นทรัพยากรแห่งใหม่ของโลก
ความหวาดกลัวในตอนแรก ถูกแทนที่ด้วยความโลภ
ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกเขาลืมความน่ากลัวของดันเจี้ยนไปแล้วต่างหาก…
“พี่มีโอกาสเป็นไปได้ไหม ที่….”
“ไม่ มันยังไม่ถึงเวลา”
ซูฮยอนลืมคิดไปว่าอีกนานกว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้น เขาจึงสายหัว
ฮักจุนที่ไม่อยากในบรรยากาศตึงเครียดไปกว่านี้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่
“แล้วพวกเราจะทำอะไรต้องไปดี? ลองเข้าไปทักทายพวกเขาดูดีไหม จะได้ทำลายสถานการณ์ที่น่าอึดอัดพวกนั้น”
“ทำไมต้องไปด้วย?”
“ไม่รู้ว่าป้าคนนั้นใส่ความอะไรพี่บ้าง ดังนั้น การเดินเข้าไปทักทาย เพื่อทำลายสถานการณ์ที่น่าอึดอัด คงทำให้พวกเขารู้สึกโมโหขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยพวกเขาจะได้รู้ซึ่งว่าอาการถูกคนขัดคอเป็นยังไง”
“นายคิดอย่างงั้นเหรอ?”
ซูฮยอนครุ่นคิดสักพัก แล้วพยักหน้าเบาๆ
“คำพูดของนายฟังดูมีเหตุผล”