กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 190
ตงฟางเจ๋อถามด้วยรอยยิ้ม “ซูซูสนใจเรื่องในราชสำนักตั้งแต่เมื่อใด? ถูกต้องแล้ว เสด็จพ่อทรงเรียกตัวจั้นอู๋จี๋กลับเมืองหลวง เกือบสองปีแล้วที่เขตชายแดนสงบสุข ไม่ค่อยมีสงคราม แม่ทัพจั้นทำงานหนักมาหลายปี ถึงเวลาให้เขากลับมาอยู่เมืองหลวงแล้ว! ทำไมหรือ ซูซูสงสัยเรื่องใด?”
ซูซูส่ายหน้า “หม่อมฉันแค่ถามไปอย่างนั้นเองเพคะ” ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ได้ยินว่าแม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋ผู้นี้อดีตเคยเป็นเพียงทหารองครักษ์เล็กๆ ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหลายครั้ง ต่อมาเนื่องจากสร้างผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับความชื่นชมจากฮ่องเต้ คนผู้นี้มีนิสัยซื่อตรงแต่หยิ่งผยอง ตลอดชีวิตดูแคลนสตรีเพศเป็นที่สุด
ได้ยินว่า หากแม่ทัพเช่นเขาถูกเรียกตัวกลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงาน จะต้องเป็นเพราะฮ่องเต้มีงานสำคัญมอบหมายให้ทำแน่นอน ทว่า ทหารองครักษ์ในวังมีหัวหน้าองครักษ์เซียวฟั่ง หน่วยพิทักษ์เมืองหลวงมีผู้บัญชาการทหารเหลียงสือชู กองทัพที่ประจำการอยู่นอกเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการอย่างเซ่อเจิ้งอ๋อง เป็นเช่นนี้มาหลายปี เมื่อเป็นเช่นนี้ หากจั้นอู๋จี๋กลับมาเมืองหลวงย่อมไม่มีตำแหน่งว่างให้เขา แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เขาไร้ตำแหน่งได้เช่นกัน เช่นนั้น ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์อะไรกันแน่?
ขณะกำลังครุ่นคิด ทั้งสองก็ได้เดินมาถึงตำหนักฉางชุนของฮองเฮาแล้ว ด้านหน้ามีคนผู้หนึ่งเดินออกมา เป็นหวังอันองครักษ์ประจำกายของตงฟางจั๋วนั่นเอง ครั้นเห็นซูหลี สายตาเขาพลันเป็นประกายวูบวาบ ก่อนจะหลบไปยืนด้านหนึ่ง ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย เหตุใดยามนี้เขาไม่ติดตามอยู่ข้างกายตงฟางจั๋ว กลับมาอยู่ที่ตำหนักฉางชุน?
ตำหนักใหญ่ของฮองเฮา ย่อมโดดเด่นไม่ธรรมดา ไม่เพียงตกแต่งหรูหรา แต่ยังมีกลิ่นอายสูงส่งสง่างามของผู้เป็นเจ้าของตำหนักสะท้อนอยู่ทุกซอกทุกมุม
การคัดเลือกพระสวามีในครั้งนี้ ไม่ได้จัดขึ้นที่ใด แต่จัดที่ตำหนักฉางชุนของฮองเฮานี่เอง
ยามนี้ในวังหลังของฮองเต้ หลังจากที่เหลียงกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ ก็มีสนมที่โดดเด่นอยู่อีกสามนาง ได้แก่ หยางเฟย หนิงเฟย และเหอเฟย ถึงแม้โอรสที่พวกนางให้กำเนิดต่างก็ด่วนจากไปด้วยเหตุผลนานาประการ ความโปรดปรานที่ได้รับจากฝ่าบาทก็มิสู้ฮองเฮา แต่ตำแหน่งในวังหลังของพวกนางก็ยังถือว่าสูงกว่าสนมนางอื่น การคัดเลือกพระสวามีในครานี้ พวกนางทั้งสามได้รับพระราชทานอนุญาตให้มาร่วมงานด้วย ที่นั่งอยู่รองลงมาจากที่นั่งของฮองเฮา
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อค้อมกายทำความเคารพ ฮองเฮายิ้มอ่อนๆ สีหน้ากลับดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ ซูหลีก็รู้สึกกระวนกระวายใจแปลกๆ พิธีคัดเลือกพระชายาและพิธีคัดเลือกพระสวามีสองครั้งก่อน เพื่อบรรลุเป้าหมาย นางวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ แม้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามที่นางหวังไว้ แต่ระหว่างทางกลับเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ครั้งนี้นางไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว แค่อีกประเดี๋ยวต้องเลือกตงฟางเจ๋อต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเท่านั้น ง่ายดายเพียงนี้ ย่อมไม่มีเหตุไม่คาดฝัน แต่หัวใจของซูหลี กลับกระวนกระวายขึ้นมา และความกระวนกระวายนี้ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อตงฟางจั๋วปรากฏตัว
ตงฟางจั๋วเปลี่ยนไปใส่ชุดพิธีการของท่านอ๋องแล้ว เขาค่อยๆ ก้าวเข้ามาในตำหนัก ฮองเฮาเห็นเขา ก็ขมวดคิ้วแน่น มีคนคอยรายงานสถานการณ์ของโอรสให้นางฟังทุกวัน แต่ยามนี้เมื่อเห็นกับตา ก็ยังอดตกใจไม่ได้ ไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มที่ซูบผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกตรงหน้านี้ คือคนเดียวกับโอรสผู้ฮึกเหิมเย่อหยิ่งและทะนงตนของนาง! โดยเฉพาะเมื่อเขายืนเคียงข้างตงฟางเจ๋อที่ดูกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา ยิ่งทำให้เขาดูหม่นหมอง แววตาอับเฉา
ฮองเฮาลุกขึ้นยืน เอ่ยถามอย่างเจ็บปวดใจ “จั๋วเอ๋อร์…อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่?!”
“ลูกสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ขอถวายพระพรเสด็จแม่!” ตงฟางจั๋วหลุบตาต่ำ ใบหน้าไร้สีเลือดฝาด
ซูหลีขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเขาป่วยหนักถึงเพียงนี้ แล้วก็รู้ว่านางไม่มีทางเลือกเขา เหตุใดยังต้องเข้ามาร่วมพิธีให้ลำบากตัวเอง? นึกถึงปฏิกิริยาของเขาหลังจากที่เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับเหลียนเอ๋อร์เมื่อเช้า ซูหลีพลันตึงเครียด เขาเข้าวังมาครั้งนี้ คงไม่ใช่ต้องการพูดเรื่องที่นางไม่ใช่ซูหลีแต่เป็นหลีซูต่อหน้าพระพักตร์หรอกกระมัง? หากเป็นเช่นนั้นจริง ถึงแม้ร่างกายของนางจะเป็นซูหลีจริง ก็เกรงว่าจะเกิดปัญหาใหญ่เสียแล้ว!
“ฝ่าบาทเสด็จ” เสียงประกาศของเกากงกงดังมาจากด้านนอก
คนในตำหนักต่างปรับสีหน้าให้เรียบร้อย รีบลุกขึ้นถวายบังคม “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้สาวเท้ายาวๆ ไปประทับบนที่นั่ง มีคนนำชามาถวายทันที ฮ่องเต้จิบชาล้างคอหนึ่งอึก เงยหน้ากวาดตามองเหล่าคนที่อยู่เบื้องล่าง ครั้นเห็นใบหน้าซูบเซียวของตงฟางจั๋ว คิ้วพลันขมวดเล็กน้อย ถามเสียงเข้ม “เหตุใดเจ้าก็มาด้วย?”
แม้แต่ฮ่องเต้ก็มั่นใจแล้วหรือว่าอย่างไรนางก็ต้องเลือกตงฟางเจ๋อ?!
ตงฟางจั๋วสายตามัวหมอง ก้มหน้าตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ทูลเสด็จพ่อ วันนี้ท่านหญิงเลือกพระสวามี ลูกในฐานะผู้เข้าคัดเลือกหนึ่งในสอง ย่อมต้องมาร่วม…ฉะนั้น ลูกจึงมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ถึงแม้รู้ว่ามาก็คงกลายเป็นแค่เรื่องน่าขัน แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะมา เมื่อก่อนไม่รู้ว่านางคือหลีซูก็แล้วไป ยามนี้ในเมื่อรู้แล้ว เขาจะไม่สนใจเลยได้อย่างไร! เมื่อเช้าที่เรือนหลีชิง ยามนางเอ่ยถึงอดีตระหว่างพวกเขา สีหน้าเจ็บปวดและโศกเศร้า เห็นชัดว่าเคยมีความรู้สึกต่อเขา เขาไม่เชื่อว่าต่อหน้าเขา นางจะกล้าเลือกผู้อื่นเป็นสวามีจริงๆ!
ฮ่องเต้รู้ว่าตนเองถามสิ่งไม่ควร จึงกระแอมเบาๆ สีหน้าอ่อนลงหลายส่วน กล่าวถามว่า “ร่างกายดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่?”
“ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรง…” ประโยคสุดท้ายยังไม่ทันจบ เขาก็หลุดไอออกมา ตงฟางจั๋วรีบปิดปาก ขมวดคิ้วแน่น
สภาพเขาเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออก อาการป่วยของเขาหนักกว่าสามวันก่อนมาก ฮองเฮาส่ายหน้าถอนหายใจ สายตาสะท้อนแววปวดใจและเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด ฮ่องเต้ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ถึงแม้สามวันก่อน พฤติกรรมของเขาจะทำให้ฮ่องเต้ผิดหวังมาก แต่อย่างไรเขาก็เป็นโอรสที่ตนเองรักและโปรดปรานมานานหลายปี ครั้นเห็นเขาป่วยจนมีสภาพเช่นนี้ ย่อมทำใจดุด่าว่ากล่าวไม่ลง
โบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งได้
ซูหลีเพิ่งจะนั่งลง ก็ได้ยินฮ่องเต้ถาม “ท่านหญิงหมิงซี เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง? เจิ้นหนิงอ๋องและจิ้งอันอ๋อง หัวใจของเจ้าเป็นของผู้ใด?”
สองครั้งก่อนจัดพิธีอย่างเอิกเกริก สุดท้ายกลับไม่ได้ผลสรุป ยามนี้ฮ่องเต้หมดความอดทน เปิดปากก็ถามเข้าประเด็นทันที
ฮองเฮาตวัดสายตามองหน้าซูหลีโดยพลัน ซูหลีหันไปมองตงฟางเจ๋อ ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มให้นางเล็กน้อย ในความอบอุ่นแฝงแววแน่วแน่ ยังมีแววเสน่หารางๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มี พาให้ใจนางรู้สึกสงบลงหลายส่วน
ซูหลีเงยหน้ามองฮ่องเต้ ลุกขึ้นกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท จิ้งอันอ๋องมากความสามารถ ให้ความสำคัญต่อมิตรภาพ เจิ้นหนิงอ๋องกล้าหาญชาญชัย ฉลาดปราดเปรื่อง ท่านอ๋องทั้งสองต่างก็โดดเด่นและปรีชาสามารถ หาได้ยากยิ่ง! คดีของท่านหญิงหมิงอวี้ ท่านอ๋องทั้งสองมีส่วนช่วยไม่น้อย หมิงซีรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก! หมิงซี…ไตร่ตรองมานานหลายวัน จะขอ…แต่งเป็นภรรยาของเจิ้นหนิงอ๋องเพคะ!”
ตงฟางจั๋วสะท้านไปทั้งร่าง หน้าซีดดั่งกระดาษ ซีดจนน่าตกใจ
“ด้วยรูปลักษณ์และความสามารถของจิ้งอันอ๋อง ท่านอ๋องจะต้องพบสตรีที่เหมาะสมยิ่งกว่าแน่นอน หวังว่าท่านอ๋องจะทรงเข้าใจและให้อภัยซูหลีนะเพคะ!” นางหันไปทางตงฟางจั๋ว ค้อมกายเล็กน้อย เพื่อเป็นการขอโทษ ตงฟางจั๋วจ้องนางแน่นิ่ง นัยน์ตาเจ็บปวดยากทานทน อ้าปากเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ฮองเฮาสีหน้าไม่เปลี่ยน คล้ายไม่ได้แปลกใจ เพียงแต่ดวงตาที่หลุบต่ำเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง เสมองไปนอกประตูแวบหนึ่ง
ฮ่องเต้ยิ่งไม่แปลกใจต่อการตัดสินใจของซูหลี ไม่ได้แสดงท่าทางยินดียินร้าย เพียงเหลือบมองฮองเฮาและตงฟางจั๋วเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮองเฮาก็สั่งให้คนของสำนักหอดูดาวหลวงกำหนัดฤกษ์ ให้พวกเขาทั้งสองแต่งงานกันโดยเร็ว”
ฮองเฮายังไม่ทันรับคำ ตงฟางเจ๋อกลับลุกขึ้นค้อมกาย “ลูกขอขอบพระทัยเสด็จพ่อ! เพียงแต่ลูกมีเรื่องหนึ่งอยากขอ เสด็จพ่อโปรดอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรื่องใด?”
“หนึ่งปีก่อนเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ ลูกโศกเศร้ายิ่งนัก เคยสาบานต่อหน้าหลุมศพเสด็จแม่ว่าจะไว้ทุกข์ให้เสด็จแม่สามปี! ยามนี้เพิ่งผ่านไปหนึ่งปี แม้ลูกมีใจเอนเอียงไปทางท่านหญิงหมิงซี และอยากสู่ขอนางให้เร็วที่สุดเช่นกัน แต่ในฐานะมนุษย์ ควรยึดความกตัญญูมาก่อน ความปรารถนาของตนเองไว้ทีหลัง ฉะนั้น ลูกจึงหวังว่าจะสามารถยืดงานแต่งออกไปสองปี รอให้ลูกออกจากการไว้ทุกข์ให้เสด็จแม่ ค่อยจัดพิธีแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ! ลูกหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเสด็จพ่อจะทรงอนุญาต!” เขาสะบัดชายเสื้อคุกเข่ากับพื้นทั้งสองข้าง ก้มหน้าขอร้อง สีหน้าจริงใจอย่างที่สุด
……………………………………………………..