กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 192
บรรยากาศกดดันที่ชวนให้หายใจไม่ออก แผ่ปกคลุมหัวใจของทุกคน
วันนี้จะต้องมีคนได้รับโทษลบหลู่เบื้องสูง หากไม่ใช่หวังอัน ก็เป็นซูหลี หากพิสูจน์ได้ว่าท่านหญิงหมิงซีซูหลีที่แท้แล้วก็คือท่านหญิงหมิงอวี้หลีซู เช่นนั้นเรื่องลวงโลกอย่างวิญญาณเข้าฝัน ก็จะทำให้นางแม้ตายก็ไร้ที่ฝังศพ!
ซูหลีกำหมัดแน่น ฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สายตาหลากหลายทอดมองมาจากรอบด้าน บ้างก็สงสัย บ้างก็เป็นห่วง บ้างก็กำลังครุ่นคิด บ้างก็รอดูละครฉากเด็ด…
แรงกดดันมหาศาล ราวกับก้อนหินขนาดใหญ่ กดทับหัวใจซูหลีอย่างหนักหน่วง นางไม่ต้องเงยหน้า ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่ตวัดมองมาของฮ่องเต้ ทั้งเย็นชา คมปลาบ และเต็มไปด้วยไอพิฆาต
มือของนาง พลันถูกใครคนหนึ่งกุมเบาๆ โดยที่ไม่มีใครมองเห็น ซูหลีเงยหน้าด้วยความตกใจ เหลือบเห็นตงฟางเจ๋อที่อยู่ข้างกายมีสีหน้าหนักอึ้ง แต่สายตากลับสงบนิ่งดังเดิม คล้ายกำลังบอกนาง ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นจะต้องตั้งสติไว้ให้ดี ผ่านเรื่องตรงหน้าไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ซูหลีรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที ตั้งแต่เกิดใหม่ ไม่ว่าเรื่องอันตรายใดนางล้วนผ่านมันมาเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดเคียงข้าง ยามนี้ ไม่ว่าจะด้วยสัญญาที่ทำกันไว้หรือเพราะเหตุผลใด ข้างกายนาง มักมีเขาคอยให้ความกล้าอยู่เสมอ ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของนางพลันรู้สึกมั่นคงอย่างไม่อาจบรรยาย ราวกับได้รับการเติมพลังในพริบตา ไม่ว่าอย่างไร ร่างกายนี้ก็เป็นของซูหลี! มีเพียงวิญญาณที่เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจพิสูจน์ได้
หวังอันกล่าวว่า “รุ่งเช้าของวันนี้ กระหม่อมติดตามท่านอ๋องไปที่จวนอัครเสนาบดี ขณะอยู่นอกเรือนหลีชิงของท่านหญิงหมิงซี ได้ยินท่านหญิงหมิงซียอมรับกับเหลียนเอ๋อร์สาวรับใช้ข้างกายของท่านหญิงหมิงอวี้ว่าตนเองก็คือท่านหญิงหมิงอวี้! ยามนั้นเหลียนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ท่านหญิงหมิงซีจึงกล่าวถึงเรื่องราวมากมายในอดีตระหว่างนายบ่าวที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แล้วยังกล่าวถึงกลอนรักที่ท่านอ๋องเคยเขียนถึงท่านหญิงหมิงอวี้บทนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจึงไปขุดของสิ่งนี้ออกมาจากจุดที่ท่านหญิงหมิงซีกล่าวถึง ซึ่งก็คือใต้ต้นดอกหลี สถานที่แรกที่ท่านหญิงหมิงอวี้และท่านอ๋องพบกันครั้งแรกพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านหญิงหมิงซี มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่? เจ้ายอมรับกับผู้อื่นว่าตนเองคือท่านหญิงหมิงอวี้จริงหรือ?” สายตาคมปลาบของฮ่องเต้ไหวระริก ผู้ที่ถูกมองล้วนอกสั่นขวัญหาย รีบก้มหน้าก้มตา
ซูหลีกลับเงยหน้า ลุกขึ้นกล่าวอย่างใจเย็น “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้มีการเข้าใจผิดกันเพคะ”
“เข้าใจผิดอย่างไร?”
ซูหลีกล่าว “เป็นเช่นนี้เพคะ ฝ่าบาท หมิงซีเคยได้รับการไหว้วานจากท่านหญิงหมิงอวี้ ว่าให้ดูแลเหลียนเอ๋อร์สาวรับใช้ของนางยามยังมีชีวิตอยู่ให้ดี แต่การตายอย่างน่าอนาถของท่านหญิงหมิงอวี้กระทบกระเทือนใจเหลียนเอ๋อร์ยิ่งนัก ซ้ำยังถูกคนรังแกบ่อยครั้ง ฉะนั้นสติจึงเลอะเลือน กลายเป็นคนสติไม่ดีเพคะ ทุกครั้งที่อาการกำเริบ นางจะตามหาท่านหญิงหมิงอวี้ไปทั่ว เพื่อปลอบใจเหลียนเอ๋อร์ ซูหลีจึงจำต้องใช้วิธีสวมบทบาทเป็นท่านหญิงหมิงอวี้เพคะ”
หวังอันกล่าว “ถึงแม้เป็นการสวมบทบาท แล้วเหตุใดท่านหญิงจึงรู้เรื่องในอดีตระหว่างท่านหญิงหมิงอวี้กับเหลียนเอ๋อร์ละเอียดเช่นนี้เล่าขอรับ? ท่านหญิงหมิงอวี้คงไม่เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ท่านฟังในความฝันทั้งหมดกระมังขอรับ?”
“เจ้าพูดถูกแล้ว!” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามอย่างไม่ไว้หน้าจากองครักษ์ตำแหน่งเล็กๆ ซูหลีไม่ได้แสดงความโกรธเคืองหรือไม่พอใจแต่อย่างใด เพียงเชิดคางขึ้น แย้มยิ้มอย่างไม่แยแส “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นท่านหญิงหมิงอวี้เล่าให้ข้าฟังในความฝัน! เพราะคนที่ขอให้ข้าสวมบทเป็นท่านหญิงหมิงอวี้ ก็คือท่านหญิงหมิงอวี้เอง”
“นี่มัน…” หวังอันพลันหมดคำพูด คล้ายนึกไม่ถึงว่านางจะโยนทุกอย่างไปให้ท่านหญิงหมิงอวี้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งเขากลับคิดหาคำพูดมาโต้เถียงไม่ได้ ทำได้เพียงหันไปมองฮองเฮาโดยสัญชาตญาณ
ดวงตาหงส์ของฮองเฮาพลันขรึมลงเล็กน้อย ปากกลับแย้มยิ้มบางๆ “กลอนที่จิ้งอันอ๋องแต่งให้ท่านหญิงหมิงอวี้ ก็เป็นท่านหญิงหมิงอวี้บอกเจ้าในความฝันหรือ? กลอนเช่นนี้ คล้ายไม่เกี่ยวข้องกับคดีของหลีซู และไม่เกี่ยวข้องกับการปลอบใจเหลียนเอ๋อร์แม้แต่น้อย เหตุใดนางต้องบอกเจ้าเรื่องนี้ด้วย?”
ซูหลีลอบตึงเครียดเล็กน้อย ทว่ากลับยังคงแย้มยิ้ม ตอบว่า “ฮองเฮาอาจยังไม่ทรงทราบ แม้พานพบกันในความฝัน แต่ซูหลีกับท่านหญิงหมิงอวี้เหมือนสหายรู้ใจกันนานแล้ว ไม่มีเรื่องใดที่ไม่พูดคุยกัน เรื่องราวทั้งหมดระหว่างท่านหญิงหมิงอวี้กับจิ้งอันอ๋อง ท่านหญิงหมิงอวี้ล้วนเคยเล่าให้ซูหลีฟัง บางครั้งก็กล่าวถึงเรื่องน่าประทับใจ ท่านหญิงหมิงอวี้ไม่เพียงบอกหม่อมฉันทุกประโยคที่นางเคยกล่าวกับจิ้งอันอ๋อง แม้แต่สีหน้าท่าทาง กระทั่งบรรยากาศในยามนั้น ล้วนเล่าอย่างละเอียด ทำให้ซูหลีราวกลับได้ย้อนกลับไปในยามนั้น รับรู้ดั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตนเอง”
เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเขาเอาเรื่องที่นางเคยพูดถึงกลิ่นหอมของกระดาษหลีมาพูดอีก นางจึงตัดสินใจพูดไปจนหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูซิพวกเขาจะพูดอะไรได้อีก
หวังอันอึ้งงัน เห็นชัดว่าขั้นตอนที่คาดการณ์ไว้ถูกทำให้รวนหมดแล้ว แต่เขาไม่ได้ลนลาน พลันรีบเปลี่ยนทิศทาง ถามว่า “ท่านหญิงหมายความว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นท่านหญิงหมิงอวี้บอกท่านในความฝัน ใช่หรือไม่?”
ซูหลีพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”
“เช่นนั้นก็น่าแปลก” หวังอันยิ้มเย็นชา “เมื่อวานคุณชายใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีมาเยี่ยมท่านอ๋อง บอกว่าคุณหนูรองนิสัยอ่อนแอขี้กลัว ตลอดชีวิตสิ่งที่กลัวที่สุดคือผี ในอดีตเคยฝันเห็นผี ร้องไห้โวยวายเสียงดัง ทำให้เดือดร้อนกันไปทั้งจวน! หลังจากนั้น ขอเพียงได้ยินคำว่า ‘คนตาย’ ก็จะตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง เรื่องนี้คนในจวนล้วนทราบกันดี! แต่ท่านหญิงหมิงซีดูเหมือนไม่กลัวผี ยิ่งไม่กลัวคนตาย!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านหญิงหมิงซีไม่กลัวคนตาย?” ซูหลียังไม่ทันเปิดปาก ตงฟางเจ๋อพลันถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
หวังอันชะงักงัน รีบตอบคำถาม “เพราะวันที่ท่านหญิงหมิงซีฝันเห็นดวงวิญญาณของท่านหญิงหมิงอวี้ ในจวนอัครเสนาบดีไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงกรีดร้องร่ำไห้ของท่านหญิงหมิงซี และไม่มีผู้ใดเห็นนางแตกตื่นหวาดกลัวพ่ะย่ะค่ะ!”
“อ้อ?” ตงฟางเจ๋อกระตุกมุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชา สายตาเย็นเยียบดั่งหิมะ ไอพิฆาตน่าพรั่นพรึง “ข้าจำได้ ท่านหญิงหมิงซีเคยติดตามข้าไปที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง เพราะการตายของพระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋อง ถึงขั้นตกใจจนหมดสติไปทันที! เหตุการณ์นั้นในจวนเซ่อเจิ้งอ๋องก็มีคนเห็นเช่นกัน! เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าท่านหญิงหมิงซีไม่กลัวคนตาย?”
ซูหลีอึ้งงัน วันนั้นนางหมดสติไปเพราะเจ็บปวดที่เสด็จแม่จากไป ตงฟางเจ๋อตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้กับนางตั้งแต่ต้น นึกไม่ถึงวันนี้ เขากลับนำเรื่องนั้นมาช่วยนางคลี่คลายสถานการณ์ นางเหลือบมองเขาด้วยความซาบซึ้ง ตงฟางเจ๋อเพียงยิ้มตอบนางเงียบๆ
ฮองเฮาหัวเราะเย็นชา “หมิงซีกลัววิญญาณคนตายถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีความกล้ารื้อคดีท่านหญิงหมิงอวี้? ซ้ำยังตามหาเบาะแสได้อย่างราบรื่น จนค้นหาความจริงเจอในที่สุดได้เช่นนี้?”
หวังอันสายตาไหวระริก กล่าวเสียงดัง “ฮองเฮาตรัสถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ตามท้องถนนลือกันว่าบุตรีอนุภรรยาแห่งจวนอัครเสนาบดีรูปโฉมอัปลักษณ์ ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าก้าวเท้าออกจากจวน หากท่านหญิงหมิงอวี้เข้าฝันสตรีอ่อนแอเช่นนี้ เกรงว่านางคงตกใจตายไปนานแล้วกระมัง!”
ผู้พูดไร้เจตนา ผู้ฟังกลับคิดมาก! วาจานั้นสะกดใจตงฟางจั๋ว เขาเบิกตากว้าง สาวเท้าไปยืนตรงหน้าซูหลี จ้องมองนางอย่างละเอียด สตรีนางนี้มีรูปลักษณ์และนิสัยที่แทบจะเหมือนเป็นคนคนเดียวกันกับหลีซูจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะปานดวงนั้น ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องมองว่านางเป็นหลีซูที่ฉลาดปราดเปรื่อง มีความกล้าเกินผู้ใด ไม่ใช่ซูหลีที่ลือกันว่าเป็นสตรีอ่อนแอผู้ไม่รู้ความแน่นอน!
ถ้าหาก…หลีซูกับซูหลี ตายวันเดียวกัน…ตงฟางจั๋วตกใจกับความคิดที่แวบผ่านในสมองตนเอง
ซูหลีขมวดคิ้ว นางไม่ได้สนใจคำถามบีบคั้นของหวังอัน แต่เป็นสีหน้าตื่นตะลึง และประหลาดใจของตงฟางจั๋ว!
หวังอันเห็นนางไม่แก้ต่าง จึงกล่าวต่ออย่างย่ามใจ “ท่านหญิงหมิงซี ข้าน้อยได้ยินคนในจวนบอกว่า วันที่ท่านหญิงบอกว่าฝันเห็นดวงวิญญาณของท่านหญิงหมิงอวี้ ท่านฟื้นขึ้นมาในห้องเก็บฟืน แต่กลับจำพี่สาวแท้ๆ ของตนเองไม่ได้ กระทั่งยังบอกว่าตนเองไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนอัครเสนาบดี หาว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีจำผิดแล้ว! เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไรเล่าขอรับ?”
………………………………………………..