กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 208
“หลีเหยาถวายบังคมเจิ้นหนิงอ๋อง คารวะท่านหญิงหมิงซี และคุณหนูเหลียง” นางดูซูบผอมลงไปมาก ดวงตายังคงดูเศร้าสร้อย นัยน์ตาดำขลับขับเน้นให้ผิวนางขาวซีดจนแทบโปร่งแสง ทำให้ดูน่าสงสารยิ่งกว่าเดิม
เหลียงหรูเยวี่ยอดไม่ได้ที่จะปวดใจ นางมาเยี่ยมที่จวนหลายครั้ง ถึงแม้อาการป่วยของหลีเหยาจะดีขึ้น แต่นางกลับผอมลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่แปลก จิตใจถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักติดต่อกันหลายครั้งถึงเพียงนี้ เกรงว่าแม้แต่ชายฉกรรจ์ก็ยังรับไม่ไหว! แล้วนางที่เป็นสตรีชั้นสูงผู้บอบางจะรับไหวได้อย่างไร?
“โธ่เอ๋ย ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี รีบนั่งพักเถิด ที่นี่เราต่างก็ไม่ใช่คนนอก อย่ามากพิธีอีกเลย” ร่างกายบอบบางของนางสั่นเล็กน้อย ดูเหมือนยังไม่ค่อยมีแรงยืน เหลียงหรูเยวี่ยจึงรีบเข้าไปประคองนางนั่งลง
ประโยคนี้อีกแล้ว ต่างก็ไม่ใช่คนนอก ประโยคนี้ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่ซูหลีกลับรู้สึกขัดหูยิ่งนัก
หลีเหยาถอนหายใจเบาๆ กล่าวอย่างรู้สึกผิด “หลีเหยาเสียมารยาท ท่านอ๋องและพี่สาว…ท่านหญิงโปรดอภัย” คำเรียกขานที่นางจงใจหลีกเลี่ยง เหมือนดั่งหนามแหลมคมที่ทำให้หัวใจซูหลีเจ็บปวดสุดแสน
ไม่ว่าสายสัมพันธ์จะแน่นแฟ้นเพียงใด เมื่อใดที่เกิดรอยร้าวฉาน ก็มิอาจชดเชยได้อีกตลอดกาล
ตงฟางเจ๋อกล่าว “สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ คุณหนูหลีไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ยามนี้มีสาวรับใช้นำชามาถวาย ทุกคนทยอยกันนั่งลง เหลียงหรูเยวี่ยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหลีเหยาอย่างเป็นห่วงหลายประโยค ซูหลีเพียงนั่งฟังเงียบๆ
ผ่านไปไม่นาน เด็กสาวผู้ที่จิตใจไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วหันมาคุยสัพเพเหระกับตงฟางเจ๋อแทน
หลีเหยานั่งอยู่ด้านข้างซูหลี แผ่นหลังเหยียดตรง ท่าทางอิดโรย ไม่อยากพูดจา
ซูหลีครุ่นคิดหลายตลบ สุดท้ายก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ในเมื่อเรื่องผ่านไปแล้ว เหยาเอ๋อร์ก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากอีก ดูแลสุขภาพให้ดี ท่านอ๋องยังต้องการให้เจ้าใส่ใจดูแลอีกมาก”
พอได้ยินนางเรียกตนเองว่าเหยาเอ๋อร์ สีหน้าหม่นหมองของหลีเหยาพลันอึ้งงันเล็กน้อย ทว่ากลับถูกความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่พรั่งพรูออกมาจากใจกลบจนมิด กล่าวเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านหญิงที่เป็นห่วง ยามนี้ในจวนเหลือข้ากับท่านอ๋องเพียงสองคน เหยาเอ๋อร์ย่อมต้องปรนนิบัติด้วยใจ เพียงแต่…ท่านอ๋องได้รับบาดแผลทางจิตใจอย่างหนัก บาดแผลเหล่านี้มิอาจหายดีได้ในเวลาเพียงวันสองวัน”
ขอบตานางแดงก่ำ เห็นชัดว่าความเจ็บปวดในจิตใจหนักหนายิ่งนัก วาจาเหล่านี้อาจกล่าวถึงเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่ความจริงหมายถึงตัวนางด้วย ความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียมารดา หากจะให้นางไม่ผูกใจเจ็บและกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว
ทุกคนเงียบงัน การกระทำของอวี้หลิงหลงทำให้ผู้คนโกรธขึ้งจนผมชี้จริงๆ เพียงเพราะจิตใจริษยา ถึงขั้นวางแผนชั่วร้ายได้ขนาดนี้ นางทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ก็ไม่แปลกที่หลีเฟิ่งเซียนยังไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้
“พี่สาวหลีเหยาไม่จำเป็นต้องคิดมาก ยามนี้ท่านอ๋องเหลือท่านเป็นญาติเพียงคนเดียว เขาจะทอดทิ้งท่านได้อย่างไร ยามนี้เขากำลังทุกข์ใจ รอให้เรื่องนี้ค่อยๆ จางไป ปล่อยวางจิตใจ ทุกอย่างย่อมดีขึ้นเอง” ครั้นเห็นหลีเหยาหลุบตาเงียบๆ เหลียงหรูเยวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาปลอบอีกครั้ง
หลีเหยามองนางแวบหนึ่ง ฝืนคลี่ยิ้มหดหู่ พาให้หัวใจของซูหลีเจ็บปวดไปด้วยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
เห็นนางทุกข์ใจยากแก้ไข เหลียงหรูเยวี่ยพลันบังเกิดความคิด เล่าเรื่องตลกที่เตรียมมาให้นางฟัง อาจเพราะเรื่องราวในใจหนักหนาสาหัสเกินไป หลีเหยาได้แต่ฝืนยิ้มอย่างน่าสงสารตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก
อากาศเริ่มหนาวเย็น ชาร้อนๆ เย็นชืดอย่างรวดเร็ว สาวรับใช้รีบถอยออกไปเปลี่ยนชาชุดใหม่ให้เจ้านาย เหลียงหรูเยวี่ยคุยจ้ออย่างเบิกบานใจ ไม่ทันระวัง แขนปัดไปโดนถ้วยน้ำชาในมือสาวรับใช้ที่กำลังนำมาถวาย ทำให้น้ำชาร้อนกรุ่นสาดลงบนมือของซูหลีที่นั่งอยู่ข้างนาง!
‘โอ๊ย!’ ซูหลีไม่ทันตั้งตัว อดไม่ได้ที่จะร้องอย่างเจ็บปวด
“เจ้าทำงานประสาอะไร?!” ตงฟางเจ๋อหน้าตึงเครียดทันที ตวาดตำหนิเสียงเย็น
“บ่าวสมควรตาย!” สาวรับใช้ผู้นั้นคุกเข่ากับพื้น ตกใจจนตัวสั่นงันงก
เหลียงหรูเยวี่ยอึ้งงัน พี่ชายเจ๋อในยามนี้ดูน่ากลัวเหลือเกิน…เขาในความทรงจำของนาง ถึงแม้ไม่ค่อยชอบยิ้ม แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะอารมณ์ร้อนง่ายๆ เด็ดขาด นางไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้จริงๆ!
หลีเหยาหน้าซีด พลันได้สติ ตะโกนอย่างร้อนใจ “ยังไม่รีบไปนำไขหยกเย็นมาอีก!”
“เจ้าค่ะ!” สาวรับใช้อีกนางรีบวิ่งไปนำยามา
“เจ้า แค่กๆ ยังไม่รีบขอรับโทษจากท่านหญิงอีก!” อาการป่วยหนักของหลีเหยายังไม่หายดี ภายใต้สถานการณ์บีบคั้น นางไอไม่หยุด
สาวรับใช้นางนั้นตกใจลนลาน กล่าวเสียงปนสะอื้น “บ่าวสมควรตาย!”
ตงฟางเจ๋อรีบยกมือซูหลีขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด เห็นเพียงผิวหลังมืออันเรียบเนียนนุ่มลื่นของนางถูกน้ำร้อนลวกจนเป็นรอยแดงวงใหญ่ โชคดีที่ไม่เป็นแผลพุพอง จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหันไปตำหนิเหลียงหรูเยวี่ย “ชุ่มซ่ามเงอะงะมาตั้งแต่เล็กจนโต ต้องพูดกี่ครั้งเจ้าจึงจะยอมเชื่อฟัง? ยังไม่รีบขอโทษท่านหญิงอีก!”
เขาไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย! เหลียงหรูเยวี่ยข่มกลั้นจนหน้าแดงไปทั้งดวง น้ำตาไหลวนในดวงตา กล้ำกลืนไม่ให้ไหลลงมา รีบก้มหน้าค้อมกาย “เยวี่ยเอ๋อร์ไม่ดีเอง ทำให้ท่านหญิงบาดเจ็บ”
“ช่างเถิด คุณหนูเหลียงเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ท่านอ๋องจะกริ้วไปไยเพคะ บาดแผลนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทายาสักหน่อยก็ได้แล้ว” ซูหลีเห็นเหลียงหรูเยวี่ยใกล้ปล่อยโฮ หากตนเองยังไม่พูดอะไร กลับเหมือนเป็นคนไม่มีความอดทน
ครั้นได้ยินวาจานี้ เหลียงหรูเยวี่ยอดไม่ได้ที่จะเม้มปากแน่น น้ำตาหลั่งรินอาบแก้มดั่งไข่มุกที่หลุดร่วงจากสาย ตงฟางเจ๋อเหลือบมองนางเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาไม่เอ่ยคำใด
ไม่นานไขหยกเย็นก็ถูกนำมาถวาย ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋อเคร่งขรึม ทายาบนบาดแผลอย่างละเมียดละไม ยานี้ได้ผลดังคาด เมื่อทาบนแผล ความรู้สึกแสบร้อนพลันหายไปในพริบตา สัมผัสเย็นๆ ซึมซาบเข้าไปในผิว ผ่านไปไม่นานอาการบวมแดงก็ทุเลาลงไม่น้อย
ยามนี้ สีหน้าของตงฟางเจ๋อจึงค่อยดีขึ้นมาบ้าง เขาหันไปเห็นเหลียงหรูเยวี่ยยังคงก้มหน้าร้องไห้ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เดินไปข้างๆ กล่าวสั่งสอนด้วยความจริงใจ “เจ้าเสียใจหรือ? วันนี้คนที่เจ้าทำผิดด้วยเป็นท่านหญิง นางเป็นคนใจกว้าง ไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้ แต่หากเป็นผู้อื่น อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เยวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเติบใหญ่แล้ว สมควรทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ อย่าทำตัวเป็นเด็กให้พ่อเจ้าต้องคอยเป็นห่วงอยู่อีกเลย”
ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของเขา เหลียงหรูเยวี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไปพุ่งเข้าไปกอดเขา ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อยที่ได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ ลูบหลังนางเบาๆ กล่าวปลอบเสียงเบา ผ่านไปไม่นานนางก็หยุดร้องไห้ กลับไปนั่งที่เดิม เพียงแต่ดวงตาแฝงความอาลัยอาวรณ์ ยังคงจดจ้องใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋ออย่างไม่วางตา
ซูหลีใบหน้าไม่แยแส เบนสายตาออกไปทางอื่นราวกับมองไม่เห็น แต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกหนักอึ้ง
หลีเหยาเห็นภาพที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเศร้าโศก “คุณหนูเหลียงรูปโฉมงดงาม ข้างกายยังมีคนที่จริงใจเช่นนี้อยู่ด้วย ช่างโชคดียิ่งนัก หลีเหยา…อิจฉายิ่ง” นางพลันลืมไปชั่วขณะ ว่าคนที่จะแต่งงานกับตงฟางเจ๋อ คือซูหลี ไม่ใช่เหลียงหรูเยวี่ย
วาจาทอดถอนใจที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ กลับสะกิดเรื่องในใจของคนสองคนเข้าอย่างบังเอิญ
เหลียงหรูเยวี่ยใบหน้าแดงก่ำ สายตาที่มองตงฟางเจ๋อยิ่งอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
ตงฟางเจ๋อคล้ายเหล่มองหลีเหยาอย่างไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “นี่ก็สายมากแล้ว คุณหนูหลีร่างกายอ่อนแอ รีบเข้าเรือนไปพักผ่อนดีกว่า”
……………………………………….