กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 217
ตงฟางเจ๋อและซูหลีเองก็พลิกกายลงจากม้า เดินเข้าไปถวายพระพร
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี” ก่อนจะกำชับให้หัวหน้าองครักษ์เซียวฟั่งไปตรวจสอบ
เซียวฟั่งอายุราวสี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีคล้ำ เคยติดตามฮ่องเต้แคว้นเฉิงออกรบ รับตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์มาสิบปีแล้ว ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้อย่างที่สุด เขารับพระบัญชาพลิกกายลงจากหลังม้า เดินเข้าไปตรวจสอบธนูปีกนกบนตัวเสือดาว ยากที่จะตัดสินในเวลาสั้นๆ จึงหันกลับมากล่าว “ทูลฝ่าบาท ธนูของเจิ้นหนิงอ๋องปักที่คอ ส่วนขององค์หญิงปักลึกเข้าไปที่ท้อง ยากจะตัดสินว่าผู้ใดเป็นคนสังหารเหยื่อกันแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายลำบากใจมากจริงๆ
เหลียงสือชูครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าหากตัดสินจากตำแหน่งที่เหยื่อถูกยิง ธนูปีกนกสีดำน่าจะเป็นจุดที่ปลิดชีพเหยื่อพ่ะย่ะค่ะ”
จั้นอู๋จี๋พลันกล่าวเสียงเย็น “ผู้บัญชาการเหลียงกล่าวผิดแล้ว ถึงแม้ลูกธนูตรงลำคอแม่นยำ แต่ลูกธนูตรงส่วนท้อง หากยิงได้ลึกมากพอ ก็สามารถทำให้เหยื่อถึงตายได้เหมือนกัน!”
ฮ่องเต้หันมองตงฟางเจ๋อ ก่อนจะหันไปมองหลีเฟิ่งเซียนที่เอาแต่เงียบไม่พูดอะไร ถามว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องคิดว่าเช่นไร?”
เดิมทีการล่าสัตว์ในวันนี้หลีเฟิ่งเซียนไม่อยากมา จนใจที่การล่าสัตว์ในแต่ละปี เขามีหน้าที่รับผิดชอบการจัดกำลังคนเฝ้าระวังรอบสนามล่าสัตว์ ไม่นานมานี้เพิ่งจะถูกลดทอนกำลังทหารส่วนใหญ่ ยามนี้หากหาข้ออ้างไม่มาเข้าร่วมอีก เกรงว่ามีแต่จะทำให้ฮ่องเต้เกิดความแคลงใจ
เห็นฮ่องเต้ขานชื่อถามความเห็น หลีเฟิ่งเซียนขมวดคิ้วเบาๆ ตอบว่า “ในเมื่อทั้งสองยิงโดนพร้อมกัน ลูกธนูทั้งสองต่างก็มีโอกาสปลิดชีพเท่ากัน ไม่ว่าตัดสินให้ผู้ใดชนะ ล้วนไม่ยุติธรรมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สายตาไหวระริก “เช่นนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องคิดว่าทำเช่นไรจึงจะยุติธรรม?”
หลีเฟิ่งเซียนตึงเครียดเล็กน้อย หลายปีมานี้น้อยนักที่ฮ่องเต้จะถามความเห็นเขาเช่นนี้ วันนี้คล้ายมีบางสิ่งผิดปกติ แต่กลับบอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ใด ผลงานชิ้นแรกแม้สำคัญ แต่หากฮ่องเต้ต้องการ จะตบรางวัลให้ทั้งสองคนก็ใช่ว่าทำไม่ได้ ยามนี้เห็นชัดว่ายากจะตัดสินแพ้ชนะ ทว่ากลับดึงดันจะตัดสินแพ้ชนะให้ได้ เห็นชัดว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น
ซูหลีเห็นหลีเฟิ่งเซียนขมวดคิ้วแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่ตอบคำถาม ความคิดแล่นผ่าน กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทเพคะ หมิงซีมีวาจาหนึ่ง ไม่รู้สมควรกล่าวหรือไม่”
ฮ่องเต้หันมามองนาง กล่าวเสียงเรียบ “ว่ามา”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! หมิงซีคิดว่า ใต้เท้าทั้งสามต่างก็กล่าวมีเหตุผลทั้งสิ้น เดิมหลักการตัดสินทักษะการยิงธนูก็คือความเร็ว ความแรง และความแม่นยำ กอปรกับแรงทะลุอันยอดเยี่ยม ใต้เท้าเหลียงตัดสินแพ้ชนะจากตำแหน่ง แม่ทัพจั้นนำทัพทำศึกมานานหลายปี ให้ความสำคัญเพียงผลลัพธ์ ไม่ให้ความสำคัญกับวิธีและขั้นตอน ก็ไม่ถือว่าไร้เหตุผล และความยุติธรรมที่เซ่อเจิ้งอ๋องทรงกล่าวถึง ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความภูมิฐานของแคว้นเฉิงเราเพคะ!”
หลีเฟิ่งเซียนอึ้งงัน มองนางอย่างเหม่อลอย ความทรงจำพลันถูกดึงย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว ยามนั้น ตอนที่เขาสอนหลีซูยิงธนูด้วยมือตนเอง ก็กล่าวกับนางด้วยประโยคนี้เช่นกัน ‘ทักษะการยิงธนูต้องอาศัยความเร็ว ความแรง และความแม่นยำ กอปรกับแรงทะลุอันยอดเยี่ยม ให้ซูซูคิดว่าเป้านั้นคือคนที่เกลียดที่สุด เล็งไปที่มัน แล้วยิงออกไป!’
‘เสด็จพ่อ ซูซูไม่มีคนที่เกลียด ทำอย่างไรดีเพคะ…’
หากซูซูของเขายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้นางคงมีคนที่เกลียดมากแล้วกระมัง? นึกถึงบุตรสาวอันเป็นที่รักในอดีต ความเจ็บปวดพลันพรั่งพรูในหัวใจของหลีเฟิ่งเซียน
ครั้นรับรู้ได้ถึงสายตาอันเจ็บปวดของเสด็จพ่อที่ทอดมองมา ซูหลีรีบหลุบตา ได้ยินเพียงฮ่องเต้ถาม “หมิงซีมีความคิดดีๆ เสนอแนะหรือ?”
ซูหลีกล่าว “ทูลฝ่าบาท หมิงซีคิดว่า ควรให้ท่านอ๋องและองค์หญิงเจาหวาทรงประลองแยกต่างหาก! ผู้ใดชนะ รางวัลก็ตกเป็นของผู้นั้นเพคะ”
ทั้งไม่ลำเอียง และยังสามารถตัดสินแพ้ชนะ
ฮ่องเต้พยักหน้า “ดี! องค์หญิงเจาหวา คิดว่าเช่นไร?”
หยางเสวียนหันไปมองตงฟางเจ๋อ แววชื่นชมและสนใจพาดผ่านในดวงตา ใจกล้าและตรงไปตรงมา สีหน้าบ่งบอกว่าอยากประลองจนทนไม่ไหว นางยิ้มกล่าวเสียงใส “มีโอกาสประลองทักษะยิงธนูกับเจิ้นหนิงอ๋อง เจาหวาย่อมยินดีอยู่แล้วเพคะ!”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองซูหลีแวบหนึ่ง เห็นเพียงซูหลีมีสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ ราวกับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ตงฟางเจ๋ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในใจพลันบังเกิดความหงุดหงิด
กำลังจะรับคำ ยามนี้จั้นอู๋จี๋กลับเอ่ยแทรกขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าแม้ข้อเสนอของท่านหญิงหมิงซีจะไม่เลว แต่ก็ยังไม่ยุติธรรมพอพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย จั้นอู๋จี๋คิดจะงัดข้อกับนางหรือ? นางเงยหน้าถาม “หมิงซียินดีรับฟังความเห็นอันสูงส่งจากแม่ทัพจั้น!”
จั้นอู๋จี๋กล่าวเสียงเย่อหยิ่ง “องค์หญิงเดินทางจากแดนไกลมีศักดิ์เป็นแขก พวกเราเป็นเจ้าบ้าน! หากข่าวลือแพร่ออกไป คนอื่นจะหาว่าแคว้นเฉิงเรารังแกผู้น้อย ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษแข่งยิงธนูกับสตรี แม้ชนะก็ไม่ใช่ชัยชนะที่งดงาม! มีแต่จะทำให้เสื่อมเสียเกียรติของเจิ้นหนิงอ๋อง!”
“เช่นนั้นแม่ทัพจั้นคิดว่าทำเช่นไรจึงจะถือว่าเป็นชัยชนะที่งดงาม?” ซูหลีสะดุดใจ จั้นอู๋จี๋ที่ดูเบาสตรีมาตลอด ยามนี้เกรงว่าคงจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง!
“แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นการแข่งขันระหว่างสตรีด้วยกัน!”
ครั้นวาจานี้หลุดออกไป ทุกคนต่างพากันตกตะลึง ตงฟางเจ๋อสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ ทว่าสายตาที่ตวัดมองไปที่จั้นอู๋จี๋กลับคมปลาบเย็นชา
จั้นอู๋จี๋เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เคยเห็นใครในสายตา ชอบดูแคลนสตรีเป็นพิเศษ ยิ่งไม่ชอบบุรุษที่รังแกสตรี จากนิสัยของเขา การที่ยกข้อเสนอเช่นนี้ขึ้นมา ไม่มีใครแปลกใจ เพียงแต่สตรีในสนามล่าสัตว์นี้ นอกจากหยางเสวียนกับหญิงผู้ติดตามของนาง ก็เหลือเพียงซูหลีกับหวั่นซิน อย่างไรหวั่นซินก็เป็นบ่าวรับใช้ ย่อมไม่สามารถแข่งยิงธนูกับองค์หญิงได้ ฉะนั้นที่เหลืออยู่ ก็มีแค่ซูหลีคนเดียวเท่านั้น
ทุกคนพากันเงียบ จุดประสงค์ของจั้นอู๋จี๋พลันเป็นที่ประจักษ์
หวั่นซินหน้าเปลี่ยนสี หมายจะก้าวออกไปแต่ถูกซูหลีรั้งไว้ นางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วาจาของแม่ทัพจั้นก็มีเหตุผล องค์หญิงเป็นแขก เจ้าบ้านอย่างเราย่อมไม่อาจละเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้ากับองค์หญิงเจาหวาประลองกันเถิด! เพียงแต่หมิงซีไม่ช่ำช่องยิงธนู เกรงว่าจะทำให้องค์หญิงผิดหวัง!”
ฮ่องเต้สายตาเคร่งขรึม อดไม่ได้ที่จะหันไปมองจั้นอู๋จี๋ หญิงสาวสองนางแข่งยิงธนู ภายนอกดูเหมือนยุติธรรม แต่หากแพ้ อย่างไรก็ถือว่าเสียหน้าอยู่ดี เดิมทีเขาอยากให้ตงฟางเจ๋อลงสนาม ถึงแม้องค์หญิงแพ้ เขาก็จะประทานรางวัลปลอบใจให้ เพื่อแสดงถึงบารมีของแคว้นเฉิง กลับนึกไม่ถึงว่าจั้นอู๋จี๋จะดึงดันให้ซูหลีลงสนามให้ได้!
จั้นอู๋จี๋สีหน้าเรียบเฉย กล่าวเสียงเย็นชา “ได้ยินว่าท่านหญิงหมิงอวี้เข้าฝันท่านหญิงหมิงซีทุกค่ำคืน ถ่ายทอดการเขียนกลอนร่ายรำทำเพลงให้ท่านจนสิ้น ทุกเรื่องที่ท่านหญิงหมิงอวี้ช่ำชอง ล้วนถ่ายทอดให้ท่านหมดแล้ว ยามท่านหญิงหมิงอวี้ยังเยาว์วัยเคยร่ำเรียนการยิงธนูจากเซ่อเจิ้งอ๋อง ได้รับการถ่ายทอดพรสวรรค์จากเซ่อเจิ้งอ๋อง! เมื่อครู่ข้ายังได้ยินท่านหญิงหมิงซีกล่าวถึงทักษะการยิงธนูคล้ายไม่เลว เดาว่าทักษะการขี่ม้ายิงธนูของท่านหญิงต้องทำให้พวกข้าได้เปิดโลกทัศน์แน่นอน!”
วาจานี้แม้ฟังดูสูงส่ง ทว่ากลับชวนให้อกสั่นขวัญหาย! เรื่องวิญญาณเข้าฝันแม้ฟังดูลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่กลับไม่สามารถทำให้คนเชื่อได้ ซูหลีอาศัยไหวพริบพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส นึกไม่ถึงกลับถูกจั้นอู๋จี๋ผู้นี้นำมาพูดถึง กระตุ้นความสงสัยในใจฮ่องเต้! ซูหลีนัยน์ตาเรียบขรึม เอ่ยเสียงเย็น “แม่ทัพจั้นประเมินซูหลีสูงเกินไปแล้ว แม้ท่านหญิงหมิงอวี้เคยสอน แต่ทักษะการยิงธนูมิใช่จะเรียนได้ในวันสองวัน!”
“ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของท่านหญิงหมิงซี กอปรกับได้รับการถ่ายทอดพรสวรรค์จากท่านหญิงหมิงอวี้ เชื่อว่าท่านหญิงหมิงซีจะต้องไม่ทำให้เสียชื่อแคว้นเฉิงแน่นอน!” สีหน้าของเขาเย็นชา วาจาที่กล่าวออกมาก็แข็งกระด้าง คำก็ท่านหญิงหมิงอวี้ สองคำก็ท่านหญิงหมิงอวี้ ราวกับต้องการกระชากแผลใจของหลายคนในที่นี้
หลีซูเคยฝึกการขี่ม้ายิงธนูตอนเด็ก ทักษะการขี่ม้ายอดเยี่ยม ทักษะการยิงธนูก็โดดเด่นกว่าคนทั่วไปมาก แต่แคว้นเปี้ยนเป็นชนเผ่าที่ดำรงชีพอยู่บนหลังม้า องค์หญิงแคว้นเปี้ยนขี่ม้ายิงธนูเพื่อความบันเทิงมาเนิ่นนาน จนกลายเป็นที่เลื่องชื่อลือชาไปทั่วแผ่นดิน อีกทั้งองค์หญิงองค์นี้ทันทีที่ลงมือก็ยิงเสือดาวได้หนึ่งตัวแล้ว! เสือดาวเป็นหนึ่งในสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดและล่ายากที่สุด เห็นชัดว่าทักษะการยิงธนูของนางกับตงฟางเจ๋ออยู่ระดับเดียวกัน แม้ซูหลีจะมั่นใจแค่ไหน ก็เข้าใจดีว่าการแข่งกับหยางเสวียน นางมีโอกาสชนะไม่มาก
………………………………………………………….