กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 224
นางกำนัลรีบเอาม้านั่งมาวาง ให้ทั้งสองนั่งล้อมตั่ง
หลีเหยานั่งอยู่ข้างตั่ง ยื่นชาหอมที่อุณหภูมิกำลังพอดีไปให้ฮองเฮาอย่างระมัดระวัง
หยางเสวียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮองเฮากับคุณหนูหลีสนิทสนมกันยิ่งนัก ใครไม่รู้คงนึกว่าพวกท่านเป็นแม่ลูกกันจริงๆ!” ประโยคนี้นางกล่าวหยอกล้อโดยไม่มีเจตนาแฝง แต่กลับทำให้สีหน้าของฮองเฮาและหลีเหยาชะงักงันไปทันที แม้แต่ซูหลีก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ไม่มีผู้ใดตอบ บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัด
หยางเสวียนเป็นคนมีไหวพริบ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของทุกคนตรงหน้าอย่างชัดเจน นางรู้ตัวว่าตนเองได้พูดสิ่งไม่สมควรออกไป สายตานางไหวระริก แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง รีบยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “มัวแต่พูดมาก เกือบลืมเรื่องสำคัญแล้วเชียว! วันนี้เจาหวานำยาดีที่มีเฉพาะในแคว้นเปี้ยนมาด้วย ยานี้รักษาแผลภายนอกโดยเฉพาะ ทาบางๆ ทุกวัน ไม่กี่วันแผลก็หายดีแล้วเพคะ” พูดไป นางก็หยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ลวดลายประณีตออกมา แล้วยื่นไปตรงหน้าฮองเฮา
ฮองเฮารับไปด้วยความดีใจ จับมือนางพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจเบาๆ “กลับจากล่าสัตว์ เจ้าต้องเหนื่อยล้ามากแน่ๆ แต่กลับยังมีใจคิดถึงข้า ช่างเป็นเด็กที่ใส่ใจจริงๆ หากได้เจ้ามาเป็นสะใภ้ คงเป็นวาสนาที่สั่งสมมาสามชั่วอายุคน!” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มครุ่นคิด สายตาหยั่งเชิงกวาดพิจารณาหยางเสวียนซ้ำไปซ้ำมา
หลีเหยายืนอยู่อีกด้าน หลุบตา ไม่เอ่ยคำใด
พูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานของหญิงสาว หยางเสวียนกลับพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีทีท่าเหนียมอายแม้แต่น้อย นางยิ้มอย่างภาคภูมิ “ฮองเฮากล่าวหนักเกินไปแล้วเพคะ เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องของพรหมลิขิต! ขอเพียงหม่อมฉันชอบเขา และเขาอาศัยความสามารถเอาชนะธนูในมือหม่อมฉันได้ ย่อมมีโอกาสได้เป็นพระสวามีของเจาหวาแน่นอน! ต้องเป็นบุรุษที่มีความสามารถโดดเด่น ถึงจะมีสิทธิ์ได้ยืนเคียงไหล่ และใช้ชีวิตร่วมกับหม่อมฉัน!” เสี้ยววินาทีนี้ นัยน์ตาของนางเปล่งประกายสดใสเจิดจ้า ไม่อาจปกปิดความมั่นใจจากภายในไว้ได้
ยืนเคียงไหล่! ซูหลีพลันหัวใจสั่นไหว องค์หญิงเจาหวาผู้นี้เป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมาดังคาด หากไม่ใช่ได้ยินด้วยหูตนเอง เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่เชื่อว่าคำพูดบ้าบิ่นเช่นนี้จะออกมาจากปากของสตรีนางหนึ่ง วาจาของฮองเฮาเมื่อครู่นี้ เห็นชัดว่ากำลังหยั่งเชิงว่าในใจนางมีตงฟางจั๋วอยู่กี่ส่วน ไฉนเลยจะรู้ว่าเด็กสาวที่ฉลาดแก่นแก้วผู้นี้เพียงเอ่ยคำว่า ‘ขอเพียงหม่อมฉันชอบเขา’ ประโยคเดียว ก็สามารถกุมอำนาจในการตัดสินใจไว้ในมือตนเองได้แล้ว หากนางไม่อยาก เพียงคำว่าไม่ชอบก็สามารถปฏิเสธได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่…ไม่รู้ว่าเป้าหมายในการเดินทางมาครั้งนี้ของนาง เป็นผู้ใดกันแน่?
เป็นไปดังคาด ฮองเฮาได้ยินสายตาก็ขรึมลงเล็กน้อย ไม่พูดมากความอีก เพียงเบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่น ไม่รู้เป็นเพราะอาการบาดเจ็บยังไม่หายดีหรืออย่างไร คุยได้สักประเดี๋ยว ฮองเฮาก็ยกมือนวดหว่างคิ้ว แสดงให้เห็นถึงอาการเหนื่อยล้า
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ หลุบตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เปิดปาก “พระพักตร์ของฮองเฮาดูเหนื่อยล้า เมื่อคืนใช่บรรทมไม่หลับหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮาพยักหน้า กล่าวอย่างทอดถอนใจ “เมื่อคืนข้าเอาแต่ฝันเห็นเงาของสัตว์ร้ายโฉบไหวไปมาอยู่ตรงหน้า ทำเอาข้ากลัวจนนอนไม่หลับ หากคำนวณดูแล้ว ตั้งแต่ที่ข้าดื่มชาเก๋ากี้ทองที่เจ้าจัดให้ ก็หลับสบายมาตลอดครึ่งปี ไม่ฝันร้ายอีก เพียงรู้สึกวิงเวียนบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น”
หลีเหยาเอ่ยเสียงเบา “เมื่อวานฮองเฮาทรงตกพระทัยมาก จึงบรรทมไม่ได้ทั้งคืน พระองค์ทรงทำใจให้สบาย อย่าคิดมาก แล้วดื่มชาของท่านหญิงหมิงซี ก็ไม่เป็นไรแล้วเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเล็กใสนุ่มนวล เต็มไปด้วยความห่วงใยและเอาใจใส่ ไร้ข้อตำหนิ แต่ซูหลีกลับรู้สึกหนักอึ้งในใจอย่างบอกไม่ถูก หลีเหยาเช่นนี้…ทำให้นางรู้สึกแปลกอย่างที่ไม่อาจอธิบาย
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ ตอบว่า “คุณหนูหลีพูดมีเหตุผล คนเรายามพบเจอเหตุการณ์ตกใจอย่างไม่คาดฝัน จิตใจย่อมได้รับความกระทบกระเทือน หลายครั้งมักส่งผลถึงความฝัน ฮองเฮาไม่จำเป็นต้องคิดมาก ไม่นานก็ย่อมดีขึ้นเองเพคะ”
สายตาเปล่งประกายเจิดจ้าของหยางเสวียนฉายแววประหลาดใจ เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านหญิงหมิงซีรูปโฉมงดงาม ทั้งยังฉลาดปราดเปรื่อง มากความสามารถ นึกไม่ถึงว่ายังรู้เรื่องยาอีกด้วย?”
ซูหลียิ้มบางๆ “องค์หญิงชมเกินไปแล้วเพคะ หมิงซีมีความรู้เพียงผิวเผิน เป็นเกียรติที่ฮองเฮาทรงเล็งเห็นความสามารถ จึงบังอาจจัดชาที่ดีต่อสุขภาพให้ก็เท่านั้น”
ขณะกำลังพูด นางกำนัลก็ยกชาเดินเข้ามา “ฮองเฮาเพคะ ชาเก๋ากี้ของพระองค์ได้แล้วเพคะ”
ฮองเฮาเอนกายบนตั่ง หลีเหยาค่อยๆ ประคองนางอย่างระมัดระวัง นางกำนัลผู้นั้นเดินมายืนข้างหยางเสวียนพอดี นางหมุนกายไปรับชามา หารู้ไม่นางกำนัลยังไม่ทันรอให้หยางเสวียนรับไปเต็มมือก็ปล่อยมือออกจากถ้วยก่อนแล้ว ถ้วยกระเบื้องที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่นพลันเอนเอียง หลีเหยาร้องตกใจ
หยางเสวียนมือไวตาไว รีบประคองถ้วยชาให้มั่นคง แต่น้ำชาร้อนๆ ก็ยังหกออกมาเล็กน้อย
กลิ่นหอมเข้มข้นของชาลอยคลุ้งไปทั่วห้อง คล้ายมีกลิ่นประหลาดจางๆ ผสมอยู่ในชาดอกไม้ที่ชงอย่างประณีตนี้ กลิ่นแปลกๆ นั้นไม่ได้เล็ดลอดประสาทรับกลิ่นอันว่องไวของซูหลี กลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นของส่วนผสมในชาดอกไม้!
“สมควรตายยิ่ง ยังไม่รีบขอโทษองค์หญิงเจาหวาอีก?!” ฮองเฮากล่าวตำหนิเสียงเกรี้ยว
นางกำนัลรีบคุกเข่ากล่าวเสียงลนลาน “บ่าวสมควรตาย ขอองค์หญิงเจาหวาโปรดอย่ากริ้ว!”
หยางเสวียนหัวเราะ โบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “ช่างเถิด เจ้าแค่พลั้งมือไปชั่วขณะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าไม่ได้ใจแคบถึงเพียงนั้น”
ฮองเฮามีสีหน้าเคร่งขรึม “องค์หญิงน้ำใจกว้างขวาง ไม่ถือสาเจ้า ยังไม่รีบขอบพระทัยอีก!”
นางกำนัลดีใจ รีบโขกศีรษะ “บ่าวรุ่ยฟางขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเมตตาเพคะ!”
“ลุกขึ้นมาเถิด จากนี้ไปก็จงระวังให้มาก” หยางเสวียนส่งถ้วยชาในมือให้ฮองเฮา แต่กลับได้ยินซูหลีร้องห้าม “ฮองเฮาช้าก่อนเพคะ!”
ทุกคนพลันอึ้งงัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ๆ ซูหลีจึงต้องร้องห้าม ซูหลีกล่าวเสียงเคร่งเครียด “ชานี้ ฮองเฮาอย่าทรงดื่มจะดีกว่าเพคะ”
ฮองเฮาถามด้วยความแปลกใจ “เพราะเหตุใด?”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเสียงแช่มช้า “ชานี้ได้เติมน้ำค้างแข็งเข้าไปด้วย น้ำค้างแข็งนั้นไร้สี มีฤทธิ์เป็นพิษ ทำให้ง่วงซึม หากใช้จำนวนน้อยจะทำให้คนง่วงนอน มีอาการเหน็ดเหนื่อย หากใช้ในระยะยาว…”
“พิษก็จะยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ คนก็จะนอนหลับไม่ฟื้นขึ้นมาอีก! สูญสิ้นซึ่งสติ!” ซูหลียังเอ่ยไม่ทันจบ หยางเสวียนก็ชิงกล่าวประโยคสำคัญออกมาก่อน
ทุกคนอึ้งงัน
หลับไม่ตื่น?! เช่นนั้นไม่เท่ากับคนตายทั้งเป็นหรอกหรือ? วิธีทำร้ายคนเช่นนี้ร้ายกาจยิ่งนัก ทำให้คนสูญสิ้นสติปัญญา ไม่ต่างกับคนพิการไร้ค่า!
ฮองเฮาตกใจ ราวกับไม่อยากเชื่อ จากนั้นดวงตาหงส์ก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ จ้องเขม็งไปยังนางกำนัลนามว่ารุ่ยฟางด้วยสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็ง “ข้าเอ็นดูเจ้ามาโดยตลอด เจ้ากลับแพศยา วางยาพิษลอบทำร้ายข้า?!”
รุ่ยฟางตกใจจนอ้าปากค้าง เข่าพลันอ่อนแรง คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับร้องเสียงหลง “ฮองเฮาเพคะ บ่าวถูกปรักปรำ บ่าวถูกปักปรำเพคะ!”
“ชาเก๋ากี้เจ้าเป็นคนชงเองกับมือมาโดยตลอด ไม่เคยให้ผู้อื่นทำ เรื่องจริงเปิดเผยอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังคิดจะเล่นลิ้นอีกหรือ?! ทหาร นางกำนัลรุ่ยฟางวางแผนลอบสังหารข้า สมควรถูกลงโทษ ลากออกไปโบยให้ตาย!” สายตาฮองเฮาคมปลาบดั่งมีด น้ำเสียงเย็นชา นางกำนัลทั้งในและนอกห้องต่างพากันตัวสั่น รีบคุกเข่าทันที
ทหารนอกตำหนักรับคำและเข้ามาลากตัวรุ่ยฟางออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง รุ่ยฟางมีสีหน้าตกใจ ตะโกนอย่างน่าเวทนา “ไม่! ฮองเฮาเพคะ บ่าวถูกปรักปรำ! บ่าวถูกปรักปรำนะเพคะ! ฮองเฮาเพคะ” นางร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด แต่กลับไม่มีใครสนใจ
………………………………………………………