กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 233
ตงฟางเจ๋อไม่กล่าวอะไร สายตาเย็นชา หญิงนางนี้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเสด็จแม่เป็นอย่างดี จึงได้อาศัยมันวางแผนชั่วเช่นนี้ขึ้นมา หลอกล่อให้เขาเข้าไปติดกับดัก ช่างเป็นอุบายที่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!
ซูหลีร้อนใจยิ่ง วาจาของฮองเฮาและตงฟางจั๋วราวกับกำลังบอกฮ่องเต้ว่า เรื่องในวันนี้เป็นตงฟางเจ๋อที่วางแผนใช้อวิ๋นเฟยมาทำร้ายฮองเฮา
“ฝ่าบาทเพคะ!” ครั้นเห็นฝ่าบาทใบหน้าตึงเครียดยิ่งขึ้น คล้ายใกล้ถึงขีดจำกัด ซูหลีร้อนใจ รีบเข้าไปแก้ต่าง “เรื่องนี้ท่านอ๋องมีความผิดที่ไม่อาจหลุดพ้นจริงๆ แต่เพราะต้องการตรวจสอบความจริงที่พระสนมกุ้ยเฟยด่วนจากไป ท่านอ๋องจึงด่วนเชื่อคำพูดของอวิ๋นเฟย ขอฝ่าบาทโปรดเห็นแก่หัวใจที่กตัญญู ลงโทษสถานเบาด้วยเพคะ” เรื่องมาถึงขั้นนี้ หากคิดจะถอยโดยไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อยคงเป็นไปได้ยาก มีเพียงต้องทำให้ฝ่าบาทใจอ่อน จึงจะสามารถทำให้เขาได้รับโทษสถานเบาที่สุดได้
ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึงเหลียงกุ้ยเฟย ตงฟางเจ๋อพลันปวดใจ สายตาหม่นหมองลงไปหลายส่วน หากเสด็จพ่อปกป้องเสด็จแม่ได้ดีพอ นางจะถูกคนทำร้ายได้อย่างไร? ยามนี้เขาพลาดท่า เผลอติดกับดักของฮองเฮา พูดอะไรไปก็ป่วยการ เขารู้จักนิสัยของฮ่องเต้ดีที่สุด จึงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด
ฮ่องเต้ไม่พูดอะไร มองโอรสที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด แววผิดหวังที่ฉายชัดบนใบหน้า พาให้คนรู้สึกขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาถอนหายใจยาวๆ คล้ายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มทน ยกมือคลึงขมับ พลางกล่าวเสียงแช่มช้า “เรื่องในวันนี้ เดิมทีเจ้ามีความผิดไม่อาจละเว้น โชคดี…ยังไม่ถึงขั้นผิดจนไม่อาจแก้ไข เห็นแก่หัวใจที่กตัญญูต่อเสด็จแม่ของเจ้า ข้าขอลงโทษเจ้า ให้ทบทวนตัวเองอยู่ในจวนเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
ครั้นพระราชโองการของฮ่องเต้ถูกประกาศออกไป เจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อที่เมื่อวานยังรัศมีเจิดจรัส ตำแหน่งรัชทายาทอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ ก็ถูกกักบริเวณไปทั้งอย่างนี้!
ไม่มีคำอธิบายเกินความจำเป็น ตงฟางเจ๋อก้มหน้าต่ำ มุมปากกระตุกยิ้มเย้ยหยัน พริบตาเดียวก็จางหายไป เขาก้มหัวขอบพระทัยอย่างใจเย็น สายตาไม่บ่งบอกอารมณ์
ตงฟางจั๋วแทบไม่อยากเชื่อ เขารู้สึกว่าการลงโทษของเสด็จพ่อเหมือนไม่ได้สั่งลงโทษแต่อย่างใด! ในใจเคียดแค้นยากจะควบคุม ลุกพรวด หมายจะเดินเข้าไปพูดอะไร แต่กลับถูกฮองเฮารั้งตัวไว้แน่น ในดวงตาหงส์เรียวยาวของนางมีแววเยือกเย็นพาดผ่าน นางจ้องเงาร่างด้านข้างของตงฟางเจ๋อย่างเงียบงัน ราวกับนักล่าที่กำลังเพ่งเล็งเหยื่อในป่าลึก คอยมองหาโอกาสที่จะลงมือ
ฮ่องเต้โบกมือเป็นเชิงบอกให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปเสีย
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อออกจากประตูพระราชวังไปพร้อมกัน เขาเดินเร็วมาก คล้ายสถานที่แห่งนี้มีบางอย่างที่ทำให้เขาเกลียดชัง ตลอดทางไม่พูดอะไรสักคำ จนกระทั่งซูหลีทนไม่ไหวในที่สุด “ท่านอ๋องเพคะ!”
ตงฟางเจ๋อชะงักเท้า ไม่หันกลับมามอง
ซูหลีสาวท้าวเดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว มองใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ของเขาอย่างเป็นห่วง ไม่รู้ควรปลอบใจเขาอย่างไรดี เรื่องนี้แม้เป็นแผนการของฮองเฮา แต่ฮ่องเต้ก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ ด้วยนิสัยของตงฟางเจ๋อ จะโง่เขลาถึงขั้นร่วมมือกับอวิ๋นเฟยใช้หลักฐานปลอมใส่ร้ายฮองเฮาได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ามีคนหลอกใช้ความรู้สึกที่เขามีต่อเหลียงกุ้ยเฟยสร้างแผนชั่วขึ้นมา!
“ท่านอ๋องเพคะ…ท่านอ๋องอย่าทรงทุกข์ใจมากนักเลย เรื่องนี้…”
“เรื่องนี้เป็นบทเรียน ข้าใจร้อนต้องการจับตัวคนร้ายที่สังหารเสด็จแม่มากเกินไป ปรากฏว่ากลับกลายเป็นติดกับดักของนางเข้า” ตงฟางเจ๋อกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาเรียบเฉยจนไม่อาจคาดเดาความรู้สึกที่แท้จริงของเขาได้ เขาเงยหน้ามองนาง เห็นดวงตานางเต็มไปด้วยความเป็นห่วง สายตาของเขาก็อ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้ กลับเป็นฝ่ายหันมาปลอบนางแทน “ซูซู ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ผลลัพธ์เช่นนี้ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว ข้าไม่ทุกข์ใจแม้แต่น้อย เพราะเกิดเป็นบุตรของฮ่องเต้ หลายสิ่งหลายอย่างข้าจึงปล่อยวางได้นานแล้ว”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ซูหลีก็ยังอดรู้สึกขมขื่นไม่ได้อยู่ดี ในสายตาผู้อื่น เขาที่อยู่ในฐานะท่านอ๋องมีฐานะสูงส่ง ทั้งยัง ฉลาดปราดเปรื่อง รัศมีเจิดจรัสไม่มีที่สิ้นสุด คล้ายว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ แต่แท้จริงแล้ว เขาสู้ไม่ได้แม้กระทั่งคนธรรมดาคนหนึ่งด้วยซ้ำ อย่างน้อยคนธรรมดาก็สามารถเลือกเส้นทางของตนเองได้ แต่เขานั้นถูกกำหนดชะตาชีวิตตั้งแต่เกิด ไร้ซึ่งโอกาสเลือกเส้นทางอื่น
“ต่อไป ท่านอ๋องคิดจะทำเช่นไรต่อเพคะ?” ประโยคนี้เขาเคยเป็นคนถามนาง ยามนี้เป็นนางที่ถามเขา ท่านอ๋องถูกกักบริเวณจะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเป็นเรื่องเล็กก็เล็ก เส้นทางในอนาคตไม่มีผู้ใดคาดเดาได้
“เรื่องนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น รอดูไปเถิด!” เขาบีบแขนนางเบาๆ เงยหน้ามองไปยังพระราชวัง สายตาไม่ปรากฏความเศร้าโศกหรือสับสนแม้แต่น้อย มีเพียงความเด็ดเดี่ยวและความมั่นใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเริ่มต้นแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีทางจบง่ายๆ ซูซู เจ้าจงระวังตนเองให้มาก” กล่าวจบเขาก็ไม่เอ่ยมากความอีก จ้องนางด้วยสายตาลึกซึ้ง แล้วก็เดินจากไป
ซูหลียืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังที่ค่อยๆ หายลับไปของเขา บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกดีใจหรือเสียใจ บางทีนี่อาจเป็นตัวตนของตงฟางเจ๋อ ยามรัศมีเจิดจรัสไม่ลืมตน ยามพลาดพลั้งก็ไม่โทษฟ้าดิน เขาประจักษ์ในฐานะและตำแหน่ง ทั้งยังรู้สถานการณ์ของตนเองดี เขารู้ว่าตนเองควรทำสิ่งใด ไม่ควรทำสิ่งใด ครานี้แผนของฮองเฮาลุล่วง นางจะต้องยังมีแผนอื่นอีกแน่ๆ หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร
“ตงฟางเจ๋อ ข้าทำอะไรเพื่อท่านได้บ้าง?” สายลมหนาวในช่วงต้นเหมันตฤดูพัดโชยปะทะใบหน้า กลบเสียงทอดถอนใจของนางให้กลืนเข้าไปกับอากาศหนาวอย่างเงียบงัน
คลื่นลมระลอกหนึ่ง ได้พัดผ่านไปอย่างปลอดภัยในที่สุด
นับตั้งแต่วันนั้น ประตูจวนเจิ้นหนิงอ๋องถูกปิดสนิท ทหารยามหน้าประตู ก็ถูกเปลี่ยนตัวเป็นทหารองครักษ์จากวังหลวง เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพากันถกเถียง ไม่รู้ว่าเจิ้นหนิงอ๋องที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นทำผิดเรื่องใดกันแน่ จึงได้ทำให้ฝ่าบาทกริ้วจนสั่งกักบริเวณเขาเช่นนี้ เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อราชสำนักไม่น้อย
ใกล้ถึงปีใหม่ ฮองเฮากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพักนี้ทำเรื่องใดก็ติดขัด จึงอาศัยเหตุผลนี้ ขอพระราชทานอนุญาตจากฝ่าบาท เลือกวันมงคลเดินทางไปสวดมนต์ขอพรที่อารามฝอกวงเพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข
เช้าตรู่ของวันที่สิบห้า เดือนสิบสอง
ในรถม้าคันใหญ่โอ่อ่าหรูหรา ฮองเฮาประทับอยู่ด้านใน ผู้ที่ร่วมเดินทางด้วยยังมีองค์หญิงเจาหวา ท่านหญิงหมิงซีซูหลี และหลีเหยาบุตรีจวนเช่อเจิ้งอ๋อง องครักษ์นับร้อยนายเดินคุ้มกันหน้าหลัง ขบวนสวดมนต์อันยิ่งใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากประตูวัง มุ่งหน้าไปยังอารามฝอกวงซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาฝูซานช้าๆ
“แคว้นเฉิงเป็นดินแดนอันมีตําแหน่งที่ตั้งแสนวิเศษดังคาด แม้แต่ทิวทัศน์ในฤดูหนาว ก็ยังมีกลิ่นอายแตกต่างที่ชวนให้ซาบซึ้ง” ตลอดทาง หยางเสวียนมองลอดหน้าต่างรถม้า ชื่นชมทิวทัศน์ภูเขาที่อยู่ไกลๆ สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและอิจฉา ครั้นนึกถึงแคว้นเปี้ยนที่เมื่อถึงฤดูหนาวต้นไม้ใบหญ้าแห่งเหี่ยวเหลืองเฉา ทอดมองไปเห็นแต่ลานโล่งเปล่าร้างไร้ ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ฮองเฮากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดินแดนแห่งแคว้นเฉิงอุดมไปด้วยหุบเขาและแม่น้ำที่สวยงามเลื่องชื่อ เอกลักษณ์โดดเด่น สี่ฤดูเปลี่ยนผัน ทิวทัศน์ย่อมไม่เหมือนเดิม หากองค์หญิงอยากชม ใช้เวลาหนึ่งปีครึ่งก็ยังชมไม่หมด มิสู้…อยู่ต่อไม่ต้องกลับ จะได้อยู่เป็นเพื่อนข้าด้วย”
วาจานางแฝงความนัย หยางเสวียนย่อมเข้าใจ หมุนกลอกดวงตาเบาๆ ก่อนจะแย้มยิ้มเล็กน้อย “หม่อมฉันก็อยากอยู่ต่อเช่นกันเพคะ แต่ว่า…คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตาลิขิต ใช่แล้ว ได้ยินว่าจิ้งอันอ๋องจะมาด้วยไม่ใช่หรือเพคะ เหตุใดจึงไม่เห็นเขาเล่าเพคะ?”
ได้ยินชื่อของตงฟางจั๋ว สายตาหลีเหยาไหวระริกเล็กน้อย ทว่ากลับไม่พูดอะไร นางกลายเป็นคนเงียบ เงียบจนเหมือนไม่มีตัวตน หว่างคิ้วฉายแววเศร้าโศกรางๆ คล้ายไม่มีวันจางหาย
ฮองเฮายิ้มแล้วกล่าวว่า “เขามีใจกตัญญูเช่นกัน ยามนี้ฝ่าบาทมีราชกิจยุ่งเหยิง ต้องการคนคอยช่วย ข้าจึงไม่ได้ให้เขาติดตามมาด้วย” พูดไป นางก็เหลือบมองซูหลีแวบหนึ่งคล้ายไม่ได้ตั้งใจ
……………………………………………