กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 235
ตั้งแต่ที่รัศมีเจิดจรัสจนถึงถูกกักบริเวณในจวน กระทั่งยามนี้กลายเป็นนักโทษ เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน โลกของท่านอ๋องหกตงฟางเจ๋อผู้เคยได้รับความโปรดปราน และห่างจากตำแหน่งรัชทายาทเพียงก้าวเดียว ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดิน
วันที่เขาเข้าคุก สายลมหนาวพัดผ่านตรอกเล็กตรอกน้อยและถนนใหญ่ทั่วเมืองหลวง ผู้คนต่างรับรู้ได้ถึงการมาของลมพายุ ต่างพากันกระชับอาภรณ์ เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าออกมาข้างนอก
บนถนนไร้ร้างผู้คน มีเพียงเงาร่างบอบบางของซูหลีที่ยืนอยู่ตรงมุมเลี้ยวถนน มองดูเงาร่างโดดเดี่ยวของคนผู้นั้นที่ถูกทหารกุมตัวไปอย่างไร้ความปรานีอยู่เงียบๆ
นางยืนชิดกำแพงเย็นๆ สายลมหนาวกรีดพัดหวีดหวิว เย็นไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจ นางไม่ขยับแม้สักนิด ขบเม้มปากแน่น บางทีผู้คนใต้ฟ้าอาจเชื่อว่าเขาเป็นคนส่งนักฆ่าพวกนั้นไป แต่นางไม่มีวันเชื่อ ตงฟางเจ๋อ ไม่ใช่คนโง่เขลาเช่นนั้น!
เพียงแต่ ยามนี้ในมือไร้หลักฐาน พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ในแคว้นนี้ ชะตากรรมของทุกชีวิต ล้วนขึ้นอยู่กับวาจาของฮ่องเต้ เสด็จพ่อของนางตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ ตงฟางเจ๋อก็เช่นกัน
ยามบ่ายของวันนั้น ซูเซียงหรู เหลียงสือชู และขุนนางอีกหลายคนพยายามถวายฎีกาสุดชีวิต ชี้ถึงจุดน่าสงสัย และร้องขอการตรวจสอบ ฮ่องเต้ไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองเล่า ในที่สุดก็มีราชโองการให้เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน อัครเสนาบดีซูเซียงหรูและแม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋ทำการตรวจสอบคดีร่วมกัน สืบหาความจริงโดยเร็วที่สุด!
ในวันถัดมา พลันมีข่าวหนึ่งแพร่สะพัดออกจากวังหลวง นางอวิ๋นอดีตพระสนมในวังหลังเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ข่าวลือบอกว่ากินขนมที่ท่านหญิงหมิงซีส่งไปให้แล้วต้องพิษจนสิ้นชีพ ทุกเบาะแสบ่งชี้ว่าอาจเป็นเพราะท่านหญิงหมิงซีซูหลีแค้นใจที่นางอวิ๋นทำให้เจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อเดือดร้อน จึงได้วางแผนสังหารนางอวิ๋น เพราะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ฮองเฮาจึงรับสั่งให้กักบริเวณซูหลีอยู่แต่ในจวน
ชั่วขณะหนึ่ง ราชสำนักแตกฮือ เสียงถกเถียงระคนทอดถอนใจมีอยู่ทุกที่ ในสายตาของทุกคน เจิ้นหนิงอ๋องกับท่านหญิงหมิงซีที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ช่วงหนึ่ง ได้เข้าสู่ช่วงตกต่ำที่สุดในชีวิตแล้ว
คนส่วนมากคิดว่า นี่ ก็คือจุดจบของพวกเขา…
ณ จวนท่านหญิง
ยามราตรีมาเยือน แสงไฟสลัว ซูหลีนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ยังคงไม่เข้านอน โม่เซียงเห็นนางเป็นเช่นนี้ นึกว่านางยังปวดใจกับข่าวลือข้างนอก ก็อดทุกข์ใจไปด้วยไม่ได้ เดินเข้าไปเกลี้ยกล่อม “คุณหนูเจ้าคะ ดึกมากแล้ว พักผ่อนเร็วหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ซูหลีกล่าว “เจ้านอนก่อนเถิด ข้ายังไม่ง่วง”
“ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไร อย่างไรก็ต้องถนอมร่างกายตนเองไว้ก่อนนะเจ้าคะ” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค โม่เซียงพลันสะอื้น
หวั่นซินหยิบผ้าคลุมผืนหนึ่งออกมาจากในห้อง นำมาคลุมไหล่ให้ซูหลี แล้วขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูเอง”
ครั้นเห็นหวั่นซินทำหน้าขรึม โม่เซียงก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วกลับไปนอนในห้อง
หวั่นซินเทชาอุ่นๆ ให้ซูหลีหนึ่งแก้ว ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “คุณหนูกำลังคิดถึงเจิ้นหนิงอ๋องอยู่หรือเจ้าคะ?”
ซูหลีดื่มชาหนึ่งคำ ขมวดคิ้วเบาๆ ตอบว่า “ด้วยความฉลาดและใจเย็นของเขา หากจะต่อกรกับฮองเฮา ไม่มีทางทำพฤติกรรมวู่วามไร้สติเช่นการลอบสังหารแน่นอน”
หวั่นซินพยักหน้ากล่าวเสียงขรึม “บ่าวก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน โทษหนักเช่นการลอบสังหารฮองเฮา เขาจะสะเพร่าส่งคนของตนเองไปได้อย่างไรกัน? ในกลุ่มนักฆ่าพวกนั้นมีเพียงคนเดียวที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เห็นชัดว่าจงใจทิ้งเบาะแสไว้หลังภารกิจล้มเหลว เพื่อบ่งชี้ว่าเขาเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง!”
แววกังวลพาดผ่านดวงตาซูหลี นางถอนหายใจกล่าวว่า “หากอยากแน่ใจเรื่องนี้ ทางที่ดีที่สุดก็คือถามเขาให้ชัดเจนต่อหน้า แต่ยามนี้เขาอยู่ในคุก…” ยังเอ่ยไม่ทันจบ หวั่นซินพลันยกมือส่งสัญญาณปรามนางไม่ให้พูดต่อ
‘ก๊อกๆ’
ในค่ำคืนอันดึกสงัด ในห้องพลันมีเสียงเคาะประตูปริศนาดังขึ้น ซูหลีกับหวั่นซินสบตากัน อดประหลาดใจไม่ได้ ประตูเรือนปิดสนิทไปนานแล้ว ในเรือนนอกจากพวกนางนายบ่าวสามคน ก็ไม่มีบุคคลที่สี่อีก ยามนี้กลางดึกสงัด เสียงนี้มาจากที่ใดกัน?
หวั่นซินรีบลุกขึ้น เดินไปทางประตูห้องอย่างระมัดระวัง เงี่ยหูฟังอย่างละเอียด เสียงนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นางค้นพบว่ามันดังมาจากฉากกั้นที่อยู่ในห้อง นายบ่าวสบตากัน หวั่นซินเดินเข้าไปอย่างระแวดระวัง ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้เต็มที่ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนฉากกั้นออกอย่างเงียบงัน
ในห้องไม่ได้จุดไฟ อาศัยแสงจันทร์สลัวที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ซูหลีทอดมองไปด้วยนัยน์ตาแน่นิ่ง เห็นเพียงศิลาสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งพลันยกขึ้นเหนือพื้น จากนั้นก็ถูกมือคู่หนึ่งค่อยๆ ดันออกไปด้านข้าง กลิ่นสดใหม่ของดินอับชื้นกระจายไปทั่วห้อง บริเวณขอบหลุม ศีรษะของบุรุษผู้หนึ่งพลันโผล่ขึ้นมา!
หวั่นซินหน้าเปลี่ยนสี ผู้ใดกันใจกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นขุดอุโมงค์เข้ามาในห้องของท่านหญิงเช่นนี้! เงาร่างโฉบไหว ดาบล้ำค่าเล่มหนึ่งที่แขวนอยู่บนฝาผนัง พลันพุ่งออกจากฝัก ประกายวิบวับห่อหุ้มคมดาบพุ่งแทงไปยังอีกฝ่ายโดยตรง!
คนผู้นั้นเพิ่งจะกระโดดออกมาจากหลุม สัมผัสได้ว่ามีดาบพุ่งเข้ามาตรงหน้า พลันสะดุ้งตกใจ รีบลอยตัวกระโดดข้ามหวั่นซินไป พร้อมกันนั้นปากก็ร้องบอกเสียงต่ำ “ท่านหญิง ข้าน้อยเองขอรับ!”
เสียงนี้มัน…ซูหลีอึ้งงัน จากนั้นก็ตระหนักได้ คนผู้นี้ กลับเป็นเซิ่งฉิน! นางรีบห้าม “หวั่นซินช้าก่อน!”
ไอพิฆาตของกระบี่คมที่กระจายไปทั่วห้องพลันจางหายไปในพริบตา
แสงเทียนถูกจุด ส่องสว่างจนมองเห็นทุกสิ่ง่ในห้องอย่างชัดเจน เซิ่งฉินสวมอารภรณ์รัดกายสีดำ ยืนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม บนเสื้อผ้ามีเศษดินเลอะติดอยู่ไม่น้อย
ครั้นเห็นซูหลี เซิ่งฉินทำหน้าดีใจ รีบเดินเข้าไปคุกเข่าข้างเดียว กล่าวเสียงเบา “เซิ่งฉินคารวะท่านหญิง!”
ซูหลีถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดยามดึกสงัดจึงมาที่นี่?”
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากท่านอ๋อง ให้มาหาท่านหญิงขอรับ”
สายตาซูหลีไหวระริก พลันกระจ่างขึ้นมาทันที “อุโมงค์เส้นนี้ ท่านอ๋องสั่งให้เจ้าขุดหรือ?”
เซิ่งฉินพยักหน้ากล่าวเสียงขรึม “ขอรับ เริ่มขุดมาได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว เพิ่งจะขุดมาถึงที่นี่ ท่านอ๋องบอกว่ายามนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ ซ้ำยังถูกคนจับตามองอยู่ตลอดเวลา จะทำการใดต้องระมัดระวังรอบคอบ เพื่อเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้ จึงจำต้องใช้วิธีนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ขอรับ” พูดไป เขาก็สังเกตสีหน้าซูหลีอย่างระมัดระวัง เห็นนางไม่มีท่าทางไม่พอใจ ตรงกันข้ามกลับดูดีใจอย่างเหนือความคาดหมาย
ครึ่งเดือนกว่า? ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ หากคำนวณเวลา ก็แสดงว่าหลังจากที่ตงฟางเจ๋อถูกกักบริเวณอยู่ในจวน ก็เริ่มลงมือทำเรื่องนี้แล้วอย่างนั้นหรือ? จวนท่านหญิงและจวนเจิ้นหนิงอ๋องแม้จะอยู่ติดกัน แต่การจะขุดอุโมงค์โดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ในเวลาสั้นๆ อย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน เขาเริ่มลงมือตั้งแต่ตอนนั้น หรือว่า…เขารู้แต่แรกแล้วว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้?
ในเมื่อคาดเดาได้ล่วงหน้า เหตุใดยังปล่อยให้อีกฝ่ายทำร้ายเล่า? ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจคล้ายมีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นมา หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างไม่อาจควบคุม
“เขา…เป็นเช่นไรบ้าง?” ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายวัน ซูหลีลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถาม นางกลั้นหายใจเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความกังวลในใจ
ตั้งแต่ที่ตงฟางเจ๋อถูกกักบริเวณจนถึงตอนเข้าคุก นี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งฉินได้ยินคนถามถึงสถานการณ์ของท่านอ๋องอย่างจริงใจ องครักษ์ที่ติดตามเขามานานหลายปี มีใจซื่อสัตย์ภักดี พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ สายตาพลันแดงก่ำ ส่ายหน้ากล่าวว่า “คุกมืดมีการเฝ้าระวังเข้มงวด ผู้ถูกขังล้วนเป็นนักโทษที่ทำความผิดอุกฉกรรจ์ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม ห้องขังทั้งหนาวเหน็บและอับชื้น ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดทั้งปี ยามนี้ยิ่งเป็นเดือนสิบสอง ร่างกายของท่านอ๋องล้ำค่ายิ่งนัก ไม่เคยประสบความทุกข์เช่นนี้ เกรงว่าคงทรมานมาหลายวันแล้วขอรับ”
………………………………………………..