กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 239
“ถึงแม้เถียงหย่งเป็นเด็กกำพร้า แต่กลับเป็นคนให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาก ยามเป็นองครักษ์ชุดเกราะฝีมือของเขาโดดเด่น ข้ายังเคยคิดจะแต่งตั้งเขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ คราวนี้เขาถูกคนซื้อตัวไป ข้าก็ยังแปลกใจไม่น้อย ยามนี้หากต้องการสืบหาความจริง เรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุดในยามนี้ก็คือเข้าวังไปตามหาเจวี้ยนเอ๋อร์”
“หากกำจัดความกังวลของเถียนหย่งออกไปได้ เขาก็จะเป็นพยานให้เราเอาผิดกับฮองเฮาได้” ซูหลีครุ่นคิด แล้วพลันกล่าวขึ้นว่า “กลับไปแล้วหม่อมฉันจะหาโอกาสเข้าวังให้เร็วที่สุดเพคะ”
“อาศัยเพียงเรื่องนี้ เกรงว่าจะยังไม่พอ” ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงเย็น
ซูหลีรู้ดีแก่ใจ ที่เขาบอกว่าไม่พอ คือโทษยังไม่มากพอที่จะทำให้ฮองเฮาตาย
เขาถอนหายใจ “เพียงเสียดาย คนที่ข้าส่งตัวไปช้าไปหนึ่งก้าว อวิ๋นเฟยถูกนางสังหารปิดปากก่อนเสียแล้ว”
ซูหลีเม้มปากยิ้ม “อวิ๋นเฟยไม่ได้ถูกฮองเฮาฆ่าเพคะ”
ตงฟางเจ๋อตกใจ “เจ้าช่วยนางออกมาได้หรือ?”
ซูหลีพยักหน้า “ตอนแรกหม่อมฉันเองก็สงสัยว่าอวิ๋นเฟยร่วมมือกับฮองเฮาให้ร้ายท่านอ๋อง แต่ต่อมาเมื่อคิดดูอย่างละเอียด รู้สึกว่าพฤติกรรมในยามนั้นของนาง ไม่คล้ายเสแสร้ง ฉะนั้นหม่อมฉันจึงลอบส่งคนไปสำรวจตำหนกเย็น พบว่าอวิ๋นเฟยเสียสติไปแล้วจริงๆ อาการของนางบางครั้งก็มีสติ บางครั้งก็คลุ้มคลั่ง เอาแน่เอานอนไม่ได้ เห็นอวิ๋นเฟยเปิดเผยความจริง ฮองเฮาไม่มีทางปล่อยให้พยานมีชีวิตรอดต่อไปอีกแน่นอน ฉะนั้นหม่อมฉันจึงให้นางกินยาลูกกลอนชนิดหนึ่งไว้ก่อน ทำให้นางมีอาการตายหลอก สามวันหลังจากนั้น หม่อมฉันให้นางกินยาแก้พิษ นางจึงฟื้นขึ้นมาเพคะ”
รอยยิ้มพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อ กล่าวด้วยความชื่นชม “เป็นวิธีที่ดีมากจริงๆ! ยามนี้นางอยู่ที่ไหน?”
“ตอนนี้นางอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วเพคะ มีคนคอยดูแลไม่ห่าง สามารถฉวยโอกาสยามนางมีสติ ถามเรื่องเกี่ยวกับเหลียงกุ้ยเฟยเพื่อหาหลักฐานเอาผิดฮองเฮาได้”
เขาหลุบตาต่ำ พลันรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย นึกว่าจะไม่มีโอกาสคืนความเป็นธรรมให้แก่เสด็จแม่อีกแล้ว นึกไม่ถึงว่านางกลับทำให้มองเห็นหนทางขึ้นมาอีกครั้ง
มือที่กุมมือนางกระชับแน่นขึ้นอีก บางคำพูดไม่ต้องพูดให้ชัดเจน นางกับเขา ล้วนรับรู้ได้อย่างกระจ่าง
ตงฟางเจ๋อถอดสร้อยตราหยกจากคอ ยื่นไปตรงหน้าซูหลี กล่าวอย่างไม่ลังเล “นี่เป็นสิ่งของแทนตัวข้า เจ้าสามารถใช้มันโยกย้ายทุกสิ่งที่อยู่ในจวนเจิ้นหนิงอ๋องได้ มีเรื่องใดต้องทำ เจ้าสั่งการเซิ่งฉินได้โดยตรง เขาจะคอยช่วยเจ้าทุกเรื่อง”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ มองดูตราหยกเล็กๆ ในมือเขาอย่างอึ้งงัน ท่ามกลางแสงสลัว มันส่องประกายเงาวับ
นางมองดูตราหยก แล้วมองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและเหลือเชื่อ
สายตาของเขาอ่อนโยน กลีบปากฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ว่าจะมีเรื่องของอวิ๋นเฟยเข้ามาเกี่ยวหรือไม่ อย่างไรข้าก็จะมอบตราหยกนี้ให้แก่เจ้าอยู่แล้ว”
ซูหลีไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เพียงถามเสียงเบา “สิ่งของสำคัญเช่นนี้ เหตุใดจึงมอบให้หม่อมฉันเล่าเพคะ?” เรื่องครั้งนี้ ภายนอกอาจดูเหมือนทำเพื่อให้เขาพ้นผิด แท้จริงแล้วคือต้องการทำให้กู้หยวนถงถึงแก่ความตาย หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในระหว่างนี้แม้เพียงน้อยนิด ก็จะทำให้ตงฟางเจ๋อตกอยู่ในจุดที่ไม่มีทางฟื้นคืนกลับมาได้อีกต่อไป
พวกเขาสองคนแม้ตกลงแต่งงานกันแล้ว แต่ใจย่อมรู้ดี หากยังไม่มอบความจริงใจให้แก่อีกฝ่ายอย่างแท้จริง นั่นก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเท่านั้น การแลกเปลี่ยนที่มีระยะเวลาสองปี แล้วนางเอง ก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่เคยพูดกับเขาตรงๆ เขารู้เรื่องนั้นดี และยังมีความสงสัยในตัวนางอยู่
ซูหลีนิ่งอึ้งไปนานมาก หัวใจที่สั่นสะท้านทำให้นางไม่อาจขยับตัว กระทั่งตงฟางเจ๋อสวมตราหยกบนคอนาง วางตราหยกลงเบาๆ นางจึงค่อยได้สติ
“ไม่กลัวว่าหม่อมฉันจะทรยศหรือเพคะ?”
“เจ้าไม่ทำเช่นนั้นแน่”
“เพราะเหตุใดเพคะ?”
เขายิ้มบางๆ ดึงนางเข้าไปกอดในอ้อมแขนอบอุ่น ซูหลีได้ยินเสียงหัวใจเขา มั่นคงทรงพลัง ห่างเพียงอาภรณ์ของเขากั้น เสียง ‘ตึกตัก’ ดังอยู่ข้างหูนางอย่างชัดเจน ส่งผ่านไปถึงส่วนลึกของหัวใจ ดังคละเคล้ากับเสียงหัวใจของนางที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เกิดเป็นท่วงทำนองที่งดงามที่สุดในโลก
“ยามที่เกิดเรื่องขึ้น สัญชาตญาณแรกยามข้าคิดถึงคนที่สามารถช่วยข้าได้ มีเพียงเจ้า”
ซูหลีขอบตาร้อนผ่าว กลับไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้
“นับตั้งแต่ที่เสด็จแม่จากไป ข้างกายข้าก็ไม่มีคนที่สามารถเชื่อได้หมดใจ นอกจากเจ้า” น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยแววขมขื่นและเหยียดหยันตนเอง นัยน์ตาดำขลับมีคลื่นอารมณ์บางอย่างไหลวน ใช่แล้ว พี่น้องบาดหมาง ญาติมิตรแตกหัก แม้แต่ความเชื่อใจขั้นพื้นฐานที่สุดก็ไม่เหลือแล้ว
นอกจากเจ้า
นางมีค่าพอให้เขาเชื่อได้ทั้งหัวใจแล้วหรือ? บุรุษที่จิตใจยากแท้หยั่งถึง ไม่เคยมีผู้ใดคาดเดาความคิดของเขาได้ผู้นี้ กลับกำลังบอกกับนางว่า เจ้าเป็นคนที่ข้าสามารถเชื่อได้ทั้งหัวใจ
เสี้ยววินาทีนี้ ซูหลีรู้สึกเหมือนลมหายใจตนเองสะดุด ช่วงเวลาเป็นตาย วาจาประโยคนี้ที่ตงฟางเจ๋อกล่าวออกมา กลับจู่โจมจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดในใจนาง
ความรู้สึกที่ได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่ และเป็นที่ต้องการอย่างนี้ ทำให้ความรู้สึกเปรี้ยวฝาดกระจายไปทั่วหน้าอกนาง ชั่วขณะหนึ่ง นางกลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ร่างกายพลันกลับมาเย็นเยียบ ตงฟางเจ๋อรีบปล่อยนาง แล้วกลับไปนั่งบนเตียงหินอีกครั้ง มองหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็หลับตาลงเบาๆ
ซูหลีเดินเข้าไปเก็บถ้วยชามและตะเกียบ แล้วเดินไปยืนเงียบๆ อยู่ด้านหนึ่ง ผู้คุมเปิดประตู นางเดินออกไป ประตูเหล็กเย็นเฉียบด้านหลังปิดลงเสียงดัง ดังจนทำให้นางใจสั่น เขากับนางถูกแยกจากกันอีกครั้งแล้ว แต่นางกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังจ้องนางอยู่ สายตาลึกล้ำนั้น มองทะลุสิ่งกีดขวางอันหนาแน่นมาที่แผ่นหลังของนาง มองตามนางไปทุกย่างก้าว
รอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงทุ้มรื่นหูเบาๆ ที่ดังตามมาดั่งเงา “ซูซู ระวังตัวด้วย ข้าจะรออยู่ที่นี่ รอฟังข่าวดีจากเจ้า”
ณ จวนท่านหญิง
ซูหลีเพิ่งจะกลับมาถึงห้องโดยใช้เส้นทางอุโมงค์ ขณะกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า หวั่นซินก็ผลักประตูเข้ามาอย่างเร่งร้อน เดินมากระซิบข้างกายนาง “คุณหนู จิ้งอันอ๋องเสด็จมาเจ้าค่ะ องค์หญิงเจาหวาก็เสด็จมาพร้อมกันด้วย”
ซูหลีถูกกักบริเวณ เป็นรับสั่งของฮองเฮา แล้วยังมอบหมายให้หยางเสวียนดูแลทุกเรื่องในจวนแทนนาง นางยังส่งคนแฝงตัวเข้ามาอยู่ในจวน เพื่อเป็นหูเป็นตาคอยรายงานความเคลื่อนไหวในจวนให้นางทราบ ในสายตาของคนนอก จวนท่านหญิงในยามนี้ หยางเสวียนกลายเป็นเจ้าบ้านไปเสียแล้ว
ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย ตงฟางจั๋ว เขามาทำไม? ครั้นหันไปเห็นฉากกั้นที่ยังไม่กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม นางพลันตึงเครียด “หวั่นซิน ซ่อนทางลับไว้ให้ดีก่อน” พูดไป นางก็สาวเท้าเร็วๆ เดินออกจากห้องไป
ทันทีที่ตงฟางจั๋วก้าวเท้าเข้ามาในประตูเรือน ก็ชะงักเท้าอย่างไม่รู้ตัว
ต้นหลีในฤดูหนาวเหี่ยวเฉาไปนานแล้ว กิ่งก้านอันแห้งเหี่ยวสั่นไหวเบาๆ ท่ามกลางสายลมหนาว เงาร่างบอบบางของสตรีกำลังยืนหันหลังให้ประตู ครั้นได้ยินเสียงผู้มา ก็ค่อยๆ หมุนกายมา เขาตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง ภาพนี้กลับดูคุ้นตายิ่งนัก ดวงหน้างดงามไม่เป็นสองรองใคร นิสัยแกร่งกร้าวดั่งเปลวเพลิง ยังคงเหมือนครั้งแรกที่พบกัน เพียงแต่ ยามนี้ไม่มีกลีบดอกไม้ที่โปรยปราย ไม่มีสตรีอันเป็นที่รักที่คาดหวังในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว
“หมิงซีถวายบังคมจิ้งอันอ๋อง และองค์หญิงเจาหวาเพคะ” น้ำเสียงเย็นชากล่าวอย่างแช่มช้า ยิ่งขับเน้นให้นางดูงดงามและเงียบสงบ
หยางเสวียนคลี่ยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวดั่งหิมะที่เรียงตัวสวยงาม “ท่านหญิงเหตุใดต้องเกรงใจกับข้า หลายวันนี้ข้ายุ่งๆ เลยยังไม่มีเวลามาเยี่ยมท่าน”
ซูหลีแย้มยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “ลำบากองค์หญิงแล้ว หลายวันมานี้เรื่องในจวนคงทำให้องค์หญิงยุ่งยากไม่น้อย”
………………………………………………………….