กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 241
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าสู่ตำหนักฉางชุน ซูหลีไม่ปริปากตั้งแต่ต้นจนจบ ตงฟางจั๋วคิดว่านางไม่สบายใจ กล่าวปลอบใจมาตลอดทาง ซูหลีหลุบตาต่ำ ใคร่ครวญเรื่องในใจ
ฮองเฮานั่งอยู่บนตั่ง ท่าทางสง่างามสูงส่ง กำลังจิบชาอย่างเนิบนาบ เหล่มองซูหลีที่นั่งคุกเข่าเงียบๆ อยู่บนพื้นเป็นระยะ
“หมิงซีถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”
ฮองเฮาไม่ได้รับคำ ราวกับไม่ได้ยิน ตงฟางจั๋วที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งลอบร้อนใจ หมายจะเอ่ยวาจา ก็เห็นฮองเฮาทำหน้าขรึม ถลึงตาจ้องเขา ตัดบทคำพูดที่กำลังจะออกจากปาก
ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศอึดอัด เงียบงันไร้เสียง ได้ยินเพียงเสียงเครื่องเคลือบกระทบกันเบาๆ เป็นบางครั้ง
ซูหลีรู้ดีฮองเฮาจิตใจคับแคบ ไม่มีทางอนุญาตให้นางลุกขึ้น ฉะนั้นจึงได้แต่นั่งคุกเข่าก้มหน้าก้มตารออย่างอดทน
กระทั่งค่อยๆ ดื่มชาจนหมดหนึ่งถ้วย ฮองเฮาวางถ้วยลง แล้วจึงค่อยกล่าวด้วยเสียงแช่มช้า “ผู้ใดกันนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ตรงนั้น?”
“ทูลฮองเฮา เป็นหมิงซีเพคะ” ซูหลีตอบกลับเสียงเรียบ ยังคงไม่แสดงคลื่นอารมณ์ใด
เงียบไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาจึงค่อยๆ ลืมดวงตาหงส์ เอ่ยเสียงเย็นชา “อ้อ หมิงซีเองหรือ ว่าอย่างไร? หลายวันมานี้ได้ใช้เวลาไตร่ตรองอยู่ในจวนเงียบๆ กระจ่างแล้วหรือยัง?”
ตงฟางจั๋วสัมผัสได้ถึงสัญญาณเตือนในวาจาของฮองเฮา พลันขมวดคิ้วแน่น หันมองซูหลีที่คุกเข่าเงียบๆ อยู่บนพื้นด้วยสายตาห่วงใย เขารู้ดีว่าเสด็จแม่เกลียดชังตงฟางเจ๋อเข้ากระดูกดำ จึงพาลไม่ชอบซูหลีไปด้วย ครั้นนึกถึงจุดประสงค์ที่มาเข้าเฝ้าในวันนี้ ก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
ซูหลีลอบยิ้มเยาะในใจ “ทูลฮองเฮา หมิงซีขอบังอาจ ขอฮองเฮาโปรดเมตตาด้วยเพคะ”
“เจ้ามาพบข้า มีเรื่องใดต้องการพูด?” เสียงของฮองเฮาเย็นชาสุดแสน
“การตายของอวิ๋นเฟย หมิงซีถูกกล่าวหาเพคะ” นางเงยหน้า นัยน์ตากระจ่างใส เผชิญหน้ากับท่าทีเคร่งขรึมยากคาดเดาอารมณ์ของฮองเฮาอย่างไม่หลบเลี่ยงสายตา ครั้นเห็นนางมีท่าทางนอบน้อมมีมารยาท สายตาเย็นชาของฮองเฮาที่จ้องนางอยู่ พลันสั่นไหวเล็กน้อย
ซูหลีกล่าวต่ออีกว่า “ก่อนอวิ๋นเฟยตาย หมิงซีเคยไปพบนางจริงๆ ยังส่งขนมไปให้นางกินด้วย ยามนั้นแม้พระสนมอวิ๋นเฟยจำคนไม่ค่อยได้ แต่ก็ยังมีสติดี ตอนที่หมิงซีจากมายังกล่าวลากับพระสนมอยู่เลย หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น หมิงซีไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย หมิงซีคิดเสมอ ไม่ว่าเพื่อจุดประสงค์ใด การทำร้ายชีวิตผู้อื่นล้วนเป็นบาปใหญ่ที่ไม่อาจให้อภัย บาปนี้ หมิงซีรับผิดชอบไม่ไหว ขอฮองเฮาโปรดสืบหาความจริง คืนความบริสุทธิ์ให้หมิงซีด้วยเพคะ” เอ่ยจบ นางก็ค้อมกายต่ำอย่างนอบน้อม
ครั้นเห็นซูหลีคุกเข่าอยู่นานแล้ว ในที่สุดตงฟางจั๋วก็ทนไม่ไหว สะบัดแขนเสื้อคุกเข่าข้างกายซูหลี แล้วกล่าวเสียงเข้ม “เสด็จแม่ ลูกคิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง เพื่อใส่ร้ายหมิงซีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ท่านหญิงหมิงซีมีจิตใจงดงาม หลีซูมาขอให้นางพลิกคดีในความฝัน นางก็ทุ่มเทสุดกำลัง ช่วยหลีซูพลิกคดีอย่างเต็มที่ คุณธรรมสูงส่งเช่นนี้ ลูกไม่เชื่อว่านางจะสามารถสังหารคนที่ไร้ความแค้นกับตนเองพ่ะย่ะค่ะ!”
น้ำเสียงยามที่ตงฟางจั๋วเอ่ยถึงหลีซูสั่นเทาเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม หัวใจของซูหลีก็พลันกระเพื่อมไหวเล็กน้อยด้วยเช่นกัน วันนั้นหวังอันบอกต่อหน้าทุกคนว่านางคือหลีซู สุดท้ายไม่ประสบผล ด้วยนิสัยขี้ระแวงของฮองเฮา อาจไม่เลิกแคลงใจแต่เพียงเท่านั้น ส่วนพฤติกรรมนี้ของตงฟางจั๋ว ราวกับกำลังบอกฮองเฮาอีกครั้ง ว่านางคือซูหลี ไม่ใช่หลีซู ทั้งที่มั่นใจในตัวตนของนางแล้ว แต่กลับไม่คิดพัวพัน เพียงข่มกลั้นความต้องการในใจไว้ตลอด เพราะเหตุใดกัน
ใบหน้าของฮองเฮาไม่แสดงอารมณ์ ในดวงตาหงส์คมเฉี่ยวที่จ้องมองซูหลี พลันมีแววย่ามใจพาดผ่าน คล้ายพึงพอใจยิ่งนักที่มองเห็นท่าทางเคารพนบนอบของนาง ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงค่อยกล่าวเสียงเนิบช้า “ข้าเป็นผู้ดูแลวังหลัง เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ย่อมต้องสืบหาความจริงให้กระจ่าง ขอเพียงเจ้าไม่ได้ทำจริงๆ ด้วยอำนาจของข้า เพียงคืนความบริสุทธิ์ให้เจ้าไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”
“ฮองเฮาทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก!”
ดวงตาที่หลุบต่ำของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย หัวใจเย็นเยียบ ยามนี้ตงฟางเจ๋ออยู่ในคุกมืด ยังไม่ถูกตัดสินโทษ ฮองเฮาก็แสดงท่าทางเหมือนเป็นผู้ชนะเสียแล้ว ไม่ปกปิดความย่ามใจแม้แต่น้อย นางมั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ว่าตงฟางเจ๋อจะไม่มีโอกาสฟื้นตัวแล้ว?
“ถึงข้าอยากจะช่วยเจ้า แต่พฤติกรรมในช่วงนี้ของเจ้า ทำให้ข้าผิดหวังอยู่บ่อยครั้ง! เจิ้นหนิงอ๋องคิดชั่วใส่ร้ายข้าไม่สำเร็จ ยังส่งนักฆ่ามาลอบสังหารข้า เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องจริงที่เจ้าเห็นกับตาตนเอง! ความผิดใหญ่หลวง อกตัญญูต่อมารดาเช่นนี้ หรือเจ้ายังอยากจะร่วมกระทำความชั่วกับเขาต่อไป?!” ฮองเฮาตบโต๊ะเสียงดัง น้ำเสียงเกรี้ยวกราด นัยน์ตาหงส์ตวัดมองมาที่นาง เย็นเยียบดุดัน
ชั่วขณะหนึ่ง ด้านในตำหนักฉางชุนเต็มไปด้วยเสียงหอบหายใจเบาๆ ของฮองเฮา รอบกายไร้ซึ่งเสียงอื่นใด
ตงฟางจั๋วเหล่มองซูหลี เห็นนางขมวดคิ้วแน่น สายตาสะท้อนแววต่อต้าน ทว่ากลับยังคงเงียบงันไม่เอ่ยวาจา หัวใจเหมือนกำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เขาเจ็บแปลบตรงหน้าอก ขมวดคิ้วตะโกนเรียกฮองเฮา “เสด็จแม่!”
ฮองเฮาสายตาไหวระริก พยายามสงบเพลิงโทสะ ก่อนจะก้าวเท้าไปยืนข้างกายซูหลี แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนลง “หมิงซี นับแต่ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า ก็ชอบเจ้ามาก ข้าอยากได้เจ้ามาเป็นสะใภ้ตลอดมา ให้เจ้าและจั๋วเอ๋อร์ร่วมผลิดอกออกผลเพื่อแคว้นเฉิงของเรา ภายหน้าหากจั๋วเอ๋อร์ขึ้นครองราชย์ เจ้าก็จะกลายเป็นมารดาแห่งแผ่นดิน สำหรับสตรีนางหนึ่ง นั่นถือเป็นเรื่องที่โชคดีขนาดไหน!”
นางโน้มกาย สองมือยื่นไปดึงมือทั้งสองคนขึ้นพร้อมกัน “ข้าชราแล้ว ความปรารถนาหนึ่งเดียวในชีวิตนี้ คือใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเท่านั้นเอง” กล่าวถึงตรงนี้ ฮองเฮาประสานมือของทั้งสองคนเข้าด้วยกัน แล้วกล่าวเสียงขรึม “หมิงซี เจ้าเป็นเด็กฉลาดมาโดยตลอด ซ้ำยังรู้ความยิ่ง ควรเลือกเดินเส้นทางใด เชื่อว่าข้าคงไม่ต้องสอนเจ้าแล้วกระมัง?”
วาจานี้กล่าวอย่างแจ่มแจ้งที่สุดแล้ว หากนางยังดื้อรั้นไม่ขีดเส้นแบ่งกับตงฟางเจ๋อให้ชัดเจน ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว! แต่หากนางหันหน้าสู่อ้อมอกของตงฟางจั๋ว ภายหน้าจะได้รับเกียรติยศที่อยู่ใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่นอย่างแน่นอน!
ครั้นเห็นนางก้มหน้าไม่พูดจา ตงฟางจั๋วอดสะท้านใจไม่ได้ ไม่ว่านางจะเป็นหลีซูหรือซูหลี ก็มีนิสัยอ่อนนอกแข็งในไม่ต่างกัน หากบีบบังคับกลับจะให้ผลตรงกันข้ามเสียมากกว่า เขารีบกล่าวเสียงขรึมทันที “เสด็จแม่ เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานไม่ควรทำเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยน สิ่งที่ลูกต้องการ คือจริงใจและซื่อสัตย์กับคนคนหนึ่ง อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ไม่ใช่พระชายาที่อาศัยอำนาจอันแข็งแกร่งแย่งชิงมา!” พูดไป มือที่วางอยู่บนหลังมือซูหลี ก็ค่อยๆ ถูกดึงออกไป เขาดึงมือออกช้ามาก ทว่ากลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น
สัมผัสได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ของเขาอย่างชัดเจน
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ วาจาของเขาราวกับกำลังบอกนางว่า หากนางไม่ยินยอม เขาก็จะไม่มีทางบังคับใจนาง นางดึงมือกลับเบาๆ บนผิวกายยังมีอุณหภูมิอุ่นๆ จากฝ่ามือร้อนๆ ของเขาหลงเหลืออยู่
ฮองเฮานัยน์ตาขรึมลงเล็กน้อย ทว่ากลับยังกล่าวต่ออย่างไม่ลดละ “หมิงซี จิ้งอันอ๋องจริงใจต่อเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้าจะทำใจแข็งเช่นนี้จริงหรือ?”
ซูหลีสะดุดไปเล็กน้อย พลาดพลั้งหนเดียว ก็พลาดพลั้งทุกก้าวไป เงยหน้ามองเห็นเพียงความเจ็บปวด จะดูแลเอาใจใส่กันอีกได้อย่างไร? ไม่ หากเขาเคยมีความจริงใจจริงๆ ก็คงถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดีตั้งแต่วินาทีที่หนังสือหย่าถูกเขียนขึ้นแล้ว!
ครั้นนึกถึงตงฟางเจ๋อที่เฝ้ารออย่างเงียบๆ อยู่ในคุกมืด ซูหลีเตือนใจตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องอดทน ข่มกลั้นความรังเกียจที่มีต่อฮองเฮา สูดหายใจลึกๆ ก้มหน้าเอ่ยเสียงเรียบ “ฮองเฮาทรงเมตตาหมิงซียิ่งแล้ว หมิงซีซาบซึ้งในพระคุณยิ่งนัก เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หมิงซีไม่อาจตัดสินใจได้ในทันที ขอฮองเฮาโปรดให้เวลาหมิงซีได้ใคร่ครวญสักนิดเถิดเพคะ”
………………………………………………………..