กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 248
ซูหลีกระวนกระวาย ฮองเฮาเริ่มสงสัยแล้ว หากตรวจสอบได้ กลัวเพียงถูกเปิดโปงแล้วเรื่องทุกอย่างจะล้มเหลว!
ฮองเฮาเอ่ยเสียงเย็นชา “วันนั้นในห้องหนังสือส่วนพระองค์ เจ้าคลุ้มคลั่งเสียสติ หมายจะทำร้ายร่างกายข้า ถูกจั๋วเอ๋อร์บิดข้อมือจนหัก ยามนี้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน อาการบาดเจ็บจะต้องยังไม่หายดีเป็นแน่ เรียกหมอหลวงมาตรวจดูย่อมรู้ว่าเจ้าใช่อวิ๋นฉี่หลัวหรือไม่!”
อวิ๋นฉี่หลัวหน้าซีดเล็กน้อย ร่างกายพลันค้างแข็งดั่งก้อนหิน นางหลุบตาเม้มปากไม่พูดอะไร
ฮ่องเต้ที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จามาครึ่งวัน ยามนี้หน้าเขียว คล้ายไม่อาจข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจไว้ได้อีกต่อไป เขาระเบิดเสียงตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธ “จั้นอู๋จี๋!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” จั้นอู๋จี๋ก้าวเท้าออกมา ฝ่ามือแกร่งยื่นตรงไปยังข้อมือของอวิ๋นฉี่หลัวทันที
ซูหลีพลันหลับตา นึกไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะมาพลาดในเรื่องเล็กน้อยที่สำคัญเช่นนี้!
ผ่านไปครู่หนึ่งได้ยินเพียงจั้นอู๋จี๋กล่าวเสียงเย็นชาและชัดเจน “ทูลฝ่าบาท มือทั้งสองข้างของคนผู้นี้ไร้ร่องรอยกระดูกหักพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางต่างพากันสูดหายใจพร้อมกัน พวกเขามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักอย่างตื่นตะลึง ซูเซียงหรูยิ่งเหงื่อผุดพรายเต็มแผ่นหลัง
ตงฟางจั๋วกล่าวอย่างตกตะลึง “นางต้องไม่ใช่อวิ๋นฉี่หลัวแน่นอน! บอกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นใคร?”
เขาพุ่งตัวเข้าไปคว้าข้อมืออวิ๋นฉี่หลัวทันที จั้นอู๋จี๋เอ่ยอย่างสงสัย “หากนางไม่ใช่ แล้วเหตุใดจึงมีหน้าตาเหมือนกันเช่นนี้? แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงถูกหลอก?”
ตงฟางจั๋วแค่นยิ้มเย็นชา “หน้าตาเหมือนกัน? เกรงว่าจะเป็นเพียงวิชาแปลงโฉมขั้นสูงเท่านั้น” เขาพูดพลางงอนิ้วมือ เกี่ยวไปที่ใบหน้าของอวิ๋นฉี่หลัวทันที
สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ อวิ๋นฉี่หลัวกลับตอบสนองเร็วกว่า นางเบี่ยงกายหลบเลี่ยงฝ่ามือของเขา ก่อนจะตวัดฝ่ามือไปกลางแผ่นหลังเขา!
“จั๋วเอ๋อร์!” ฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็ตะโกนร้องอย่างตกใจ
อวิ๋นฉี่หลัวนัยน์ตาไหวระริก กระทั่งตงฟางจั๋วโฉบกายหลบการโจมตีของนาง นางเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็วดั่งสายลม รีบเปลี่ยนทิศทาง พุ่งเป้าไปทางฮองเฮาแทน!
เสียงหวีดร้องดังไปทั่วตำหนัก ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน คำรามเสียงเกรี้ยว “ทหาร! จับตัวนางไว้!”
เหล่าทหารวิ่งกรูกันเข้ามา อวิ๋นฉี่หลัวเคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าทึ่ง พริบตาเดียวก็จู่โจมทหารสองคนที่กระโจนเข้ามาจนล้มแล้ว!
“บังอาจ!” ฮ่องเต้กล่าวอย่างเดือดดาล “จับตัวหญิงเลวผู้นี้ให้ได้!”
ตงฟางจั๋วและจั้นอู๋จี๋ก้าวออกมาจู่โจมขนาบซ้ายขวา กำราบอวิ๋นฉี่หลัวไว้ได้อย่างรวดเร็ว หน้ากากหนังคนถูกดึงออก โฉมหน้าที่แท้จริงเปิดเผย กลับเป็นหวั่นซิน!
หัวใจของตงฟางเจ๋อตึงเครียดสุดขีด!
ชั่วขณะหนึ่ง ในตำหนักใหญ่เงียบงันไร้เสียง ราวกับป่าร้างที่ไร้กลิ่นอายมนุษย์มาเนิ่นนาน มีเพียงสายลมอันหนาวเหน็บจากทิศเหนือ ที่ยังคงพัดผ่านดังหวีดหวิวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ท่านหญิงหมิงซี เพื่อใส่ร้ายข้า เจ้าช่างทุ่มเทแรงกายแรงใจยิ่งนัก หรือว่า…อวิ๋นเฟยถูกเจ้าสังหารไปแล้วจริงๆ?” ฮองเฮาราวกับตื่นตะลึงอย่างยิ่ง นางทอดถอนใจ นิ้วมือเรียวยาวไล้ผ่านพวงแก้ม ปิดบังรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปาก เรื่องราวกลับตาลปัตรถึงเพียงนี้ นางเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เรื่องที่อวิ๋นเฟยตายแล้วฟื้นยังไม่ทันได้คำอธิบายอย่างชัดเจน ซูหลีกลับใจกล้าล้นฟ้าพาอวิ๋นฉี่หลัวตัวปลอมมาให้การที่ตำหนักจินหลวน นางคงเบื่อที่จะมีชีวิตยืนยาว ถึงได้เพิ่มความผิดให้ตนเองอีกหนึ่งข้อหา!
“ดี ดีมาก” ดวงตาฮ่องเต้แดงก่ำ ฝ่ามือหนากำมือจับบัลลังก์มังกรแน่นจนหักดัง ‘กร๊อบ’! ไม้จันทร์แดงชั้นดีกลับถูกเขาบีบจนหักคามือ เห็นได้ชัดว่าใช้แรงมากมายเพียงใด!
ทุกคนสั่นสะท้านไปทั้งใจ ฮ่องเต้บันดาลโทสะแล้วจริงๆ สายตาคมปลาบหลุบมองซูหลี โกรธกริ้วจนหัวเราะออกมา “ซูหลี ท่านหญิงหมิงซีที่ข้าเป็นคนแต่งตั้งเอง ว่าที่พระชายาในเจิ้นหนิงอ๋อง กลับลบหลู่เบื้องสูงครั้งแล้วครั้งเล่า ทหาร นำตัวท่านหญิงหมิงซีกับอวิ๋นเฟยตัวปลอมผู้นี้ออกไปประหารเสีย!”
“เสด็จพ่อ!”
ตงฟางเจ๋อกับตงฟางจั๋วร้องเรียกอย่างตกใจพร้อมกัน พวกเขาพุ่งตัวออกไปคุกเข่าข้างกายซูหลีโดยมิได้นัดหมาย สายตาคมปลาบดั่งใบมีดของฮ่องเต้ถูกเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษสองคนตรงหน้าบดบังมิดชิด หัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งของซูหลี พลันสงบนิ่งลงทันใด นับตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจให้หวั่นซินมาให้การที่ตำหนัก นางก็เตรียมใจรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ยามนี้เรื่องยังไม่จบ เรื่องราวอาจยังมีโอกาสพลิกผันได้
ดวงหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋อขาวซีดเล็กน้อย กล่าวเสียงร้อนใจ “เสด็จพ่อโปรดระงับโทสะ ท่านหญิงหมิงซีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมารยาทอย่างเคร่งครัดเสมอมา เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำแน่นอน ขอเสด็จพ่อสอบถามข้อเท็จจริงก่อนแล้วค่อยตัดสินโทษเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางจั๋วเห็นฮ่องเต้ทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดอะไร หัวใจพลันร้อนรุ่ม รีบเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ความจริงยังไม่กระจ่าง ไม่แน่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังอาจเป็นคนอื่น! หากไม่แยกแยะถูกผิดจะ…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “จะไม่เป็นการปรักปรำคนบริสุทธิ์ ปล่อยคนชั่วตัวจริงให้ลอยนวลหรือพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบ เขาเงยหน้าขึ้น กลับมองเห็นสายตาผิดหวังและปวดใจคู่หนึ่งกำลังมองมาที่ตนเอง คือฮองเฮานั่นเอง หัวใจพลันเจ็บแปลบ ทำได้เพียงก้มหน้าเงียบๆ
ซูหลีพลันบังเกิดความรู้สึกขมปร่า เพื่อปกป้องนาง ตงฟางจั๋วยังคงโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของตงฟางเจ๋ออย่างไม่ลังเล กลับไม่รู้สักนิดว่าทุกการกระทำเสี่ยงอันตรายที่นางทำในวันนี้ ก็เพื่อตงฟางเจ๋อทั้งนั้น
วาจาประโยคนี้ ผู้กล่าวกล่าวอย่างตั้งใจ ผู้ฟังยิ่งคิดคล้อยตาม ฮ่องเต้มองสองคนที่อยู่เบื้องล่าง คนหนึ่งฉลาดปราดเปรื่อง คนหนึ่งความคิดรอบคอบลึกล้ำ ถึงแม้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็ยังร่วมมือร่วมใจกันได้อย่างน่าทึ่ง เพื่อพยายามพลิกคดี! หากสองคนนี้ร่วมใจร่วมพลังกันได้จริงๆ เช่นนั้นวันที่แคว้นเฉิงจะรวบรวมแผ่นดินใต้ฟ้าเป็นหนึ่ง ก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว! บางที ชะตาชีวิตที่หลินเทียนเจิ้งทำนายไว้ อาจไม่ใช่เรื่องไร้สาระ?!
ฮ่องเต้หรี่ตาเล็กน้อย คล้ายต้องการอ่านอารมณ์ที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของตงฟางเจ๋อ โอรสทั้งสองของเขา ล้วนเป็นยอดคนในฝูงชน มีรูปลักษณ์โดดเด่นไม่ธรรมดา ยามนี้กลับเสียกิริยาและท่าทางอันสุขุมเยือกเย็นครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะสตรีนางเดียว! ตงฟางจั๋วเป็นคนตรงไปตรงมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีพฤติกรรมวู่วามใจร้อน เขาไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่มีต่อซูหลีเลย แต่ตงฟางเจ๋อเล่า? เขายังหนุ่มแต่กลับมีความสงบนิ่งเยือกเย็นเกินคนทั่วไป แม้ภูเขาไท่ซานถล่มตรงหน้าก็ยังไม่แสดงอาการแตกตื่นลนลานให้เห็นแม้แต่น้อย เขาในยามนี้ กลับสูญเสียซึ่งความใจเย็นและความสามารถในการควบคุมตนเองเพียงเพื่อสตรีนางนี้
สตรีนางนี้ มีเสน่ห์ดึงดูดมากมายเพียงใดกันแน่?
ดวงหน้าหมดจดของซูหลีซีดลงเล็กน้อย ม่านตากลับยังกระจ่างใสและหนักแน่น ไร้ซึ่งความหวาดกลัว นางสูดหายใจลึกๆ ก้มตัวหมอบต่ำ กล่าวอย่างจริงใจ “ฝ่าบาท วันนี้สถานการณ์บีบบังคับ หมิงซีจึงได้กระทำการลบหลู่เบื้องสูงเช่นนี้ หมิงซีรู้ดีว่าไม่บังอาจขอร้องให้ฝ่าบาทเมตตา แต่วาจาที่หวั่นซินกล่าวออกไป ล้วนเป็นเรื่องจริง พระสนมกุ้ยเฟยถูกฮองเฮาลอบทำร้ายจริงๆ เพคะ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเพคะ”
สายตาฮองเฮาคมปลาบ ยิ้มเย็นชา “เจ้าสั่งให้คนปลอมตัวเป็นอวิ๋นฉี่หลัวขึ้นมาให้การบนตำหนัก ทุกคนเห็นชัดกับตา นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้! คำให้การเช่นนี้ไม่น่าเชื่อถือมากพอ!”
ซูหลียิ้มอย่างใจเย็น “เมื่อครู่ฮองเฮาตรัสเองว่า หากพระสนมอวิ๋นเฟยเห็นถุงหอมใบนั้น ก็จะคลุ้มคลั่งเสียสติ แสดงว่าฮองเฮาทรงคาดการณ์ไว้แล้วว่าพระสนมอวิ๋นเฟยไม่อาจฟื้นคืนสติเพื่อชี้ตัวพระองค์ จึงได้ไร้ความเกรงกลัว หมิงซียอมรับ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด จึงได้คิดอุบายเช่นนี้ขึ้นมา สั่งให้หวั่นซินสาวรับใช้ข้างกายหมิงซีปลอมตัวเป็นพระสนมอวิ๋นเฟย แล้วให้การตามที่พระสนมบอกมา แต่เรื่องที่หวั่นซินพูด ล้วนเป็นวาจาที่ออกมาจากปากของพระสนมอวิ๋นเฟยทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอนเพคะ!”
ฮองเฮายิ้มอย่างดูแคลน “ยามนี้เจ้าก็เพียงพูดเองเออเอง ไร้ซึ่งหลักฐาน ไร้ซึ่งพยาน ก็คิดจะตัดสินโทษข้าแล้ว? หมิงซี เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน! ฝ่าบาท!” นางหมุนกายหันไปกล่าวกับฝ่าบาท “หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลวังหลัง หากปล่อยให้พวกเขาตัดสินโทษได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นกฎหมายแคว้นเฉิงจะยังคงเหลือความศักดิ์สิทธิ์อีกหรือเพคะ? หมิงซีกระทำความผิดใหญ่หลวงฐานหมิ่นเบื้องสูง หากไม่ลงโทษ ก็ยากจะได้รับความนับถือจากไพร่ฟ้าประชาชนนะเพคะ!”
………………………………………………………………..