กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 255
ซูหลียืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูนานแล้ว เมื่อเงาร่างสีแดงเพลิงปรากฏสู่ครรลองสายตา ซูหลีเดินเข้าไปหา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงเจาหวายินยอมมาตามนัดหมาย หมิงซีซาบซึ้งใจยิ่งนักเพคะ”
“หายากที่ท่านหญิงจะออกปากเชิญ เจาหวาจะไม่มาได้อย่างไร” ดวงตากลมโตของเจาหวาเปล่งประกายไหวระริก เอ่ยพลางแย้มยิ้มกว้าง “ว่ามาเถิด มีเรื่องใดต้องการให้ข้าช่วย?” ถึงแม้รอยยิ้มของนางดูไร้พิษสง สายตาที่จดจ้องซูหลีกลับแฝงแววสำรวจหลายส่วน
ซูหลีย่อมรู้ดีแก่ใจ การประลองยิงธนูที่สนามล่าสัตว์ ผลสุดท้ายทั้งสองเสมอกัน ยากจะแยกแยะฝีมือ หยางเสวียนคิดมาโดยตลอดว่าตนเองมีฝีมือขี่ม้ายิงธนูที่โดดเด่น ย่อมไม่ค่อยอยากยอมรับผลตัดสินเช่นนั้น อยากหาโอกาสประชันฝีมือกับนางอีกครั้ง แต่เพราะพักนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นมากมาย จึงไม่ใช่โอกาสเหมาะนัก ยามนี้ซูหลีเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากนาง นางจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
ซูหลีกล่าวอย่างทอดถอนใจเสียงเบา “ในเมื่อองค์หญิงใจกว้างเช่นนี้ เช่นนั้นหมิงซีจะไม่อ้อมค้อมแล้ว ที่หม่อมฉันเชิญองค์หญิงมา เพราะอยากให้องค์หญิงช่วยแปลอักษรลับแห่งราชวงศ์เปี้ยนเพคะ”
ดวงตาไข่มุกของหยางเสวียนหมุมกลอก แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่สมุดที่ใส่รหัสลับไว้สองชั้นหรือไม่?”
ซูหลีตกใจเล็กน้อย หยางเสวียนผู้นี้มีไหวพริบที่ว่องไวนัก เพียงออกปากขอความช่วยเหลือ นางก็นึกถึงสมุดลับเล่มนั้นทันที หยางเซียวคงเคยบอกนาง ดูแล้วพวกเขาสองพี่น้องสนิทกันไม่น้อย ซูหลีรีบยิ้ม กล่าวว่า “องค์หญิงทรงฉลาดปราดเปรื่องดังคาด”
หยางเสวียนโบกมือไปมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนจะมาแคว้นเฉิง พี่สี่เคยบอกข้า หากท่านหญิงขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับสมุดลับ จะต้องช่วยเหลือนาง เขารอคอยให้ท่านจัดการเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อยโดยเร็ว แล้วไปหาเขาที่แคว้นเปี้ยนของพวกเรา” หยางเสวียนยิ้มเบิกบาน สายตาลึกล้ำขึ้น
ท่าทางเอ้อระเหยลอยชายของหยางเซียวพลันผุดขึ้นในสมองของซูหลี เมื่อนึกถึงนัดหมายหนึ่งปี นางก็ลอบหนักใจเล็กน้อย จึงได้แต่ยิ้มอย่างระอาพลางส่ายหน้า “เช่นนั้น หากภายหน้าพบหน้ากัน หม่อมฉันคงต้องขอบพระทัยองค์ชายสี่อย่างดีแล้ว!”
หยางเสวียนยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วกล่าวว่า “ท่านหญิงหมิงซี คนที่จะช่วยท่านคือข้า ท่านกลับคิดจะขอบคุณเขา เช่นนี้ไม่ยุติธรรม!”
ซูหลีสะดุดใจ หรือหยางเสวียนมีเงื่อนไขใด? ใบหน้าซูหลียังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มไม่จางไป “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้วเพคะ องค์ชายสี่เคยช่วยหม่อมฉันไว้มากมาย ขอบคุณเขาเป็นเรื่องสมควร จะว่าไปแล้ว เรื่องของอวิ๋นเฟย หมิงซียังไม่ได้ขอบพระทัยองค์หญิงดีๆ เลยสักครั้ง! ยามนี้ออกปากขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ยังหวังว่าองค์หญิงจะยอมช่วยเหลือ”
“ข้าย่อมต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว!” หยางเสวียนขยิบตา “พี่สี่ของข้ากำชับข้าไว้ดิบดีเสียขนาดนั้นว่าต้องช่วยท่านให้ได้”
สายตาซูหลีขรึมลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าวาจาประโยคนี้จริงหรือเท็จ หยางเสวียนอายุน้อยกว่าหยางเซียวครึ่งปี ความคิดอ่านกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าองค์ชายที่ภายนอกดูเหลาะแหละ แท้จริงเป็นคนฉลาดเฉลียวผู้นั้นเลย! นางเอ่ยเสียงเรียบ “หากองค์หญิงยอมช่วยเหลือ หมิงซีจะรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก”
“เพียงรู้สึกซาบซึ้งเองหรือ…” หยางเสวียนยิ้มสดใส ดวงหน้างามของนางดั่งดวงจันทร์เปล่งประกาย นัยน์ตากระจ่างใสมีรอยยิ้มไหวระริก “ภายหน้าหากข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่านหญิง กลับไม่รู้ว่าท่านหญิง…”
ซูหลีพลันตึงเครียดเล็กน้อย หยางเสวียนแก่นแก้วซุกซน ดูเหมือนสดใสร่าเริง แท้จริงกลับเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง นางมองทุกอย่างออกแต่แรกแล้ว หยางเสวียนเป็นคนที่รู้จักใช้ข้อได้เปรียบสร้างผลประโยชน์ให้ตนเองเป็นอย่างดี แต่ยามนี้สถานการณ์คับขัน และนางก็ไม่อาจทำท่าทีแข็งขืนได้มากนัก เพราะเรื่องสำคัญที่สุดในยามนี้คือแกะรหัสลับจากอักษรเหล่านั้นก่อน
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างครุ่นคิด “ภายหน้าหากองค์หญิงมีเรื่องใด ขอเพียงหมิงซีช่วยได้ ไม่ทรยศต่อคุณธรรมจริยธรรมและไม่ทรยศแผ่นดินบ้านเกิด หมิงซีย่อมช่วยเหลือแน่นอน”
“ดี!” สายตาหยางเสวียนเป็นประกาย รีบแย้มยิ้มแล้วตอบเสียงใส “ท่านหญิงหมิงซีใจกว้างดังคาด มิน่าเล่าพี่สี่ของข้าถึงได้ชื่นชมท่านยิ่งนัก”
“พี่สี่ของเจ้าตามีแวว เรื่องอื่นทำเอ้อระเหยลอยชาย กลับเชี่ยวชาญเรื่องการมองหญิงยิ่งนัก” เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังสอดแทรกขึ้นมา พาให้สตรีทั้งสองที่อยู่ในห้องสะดุ้งตกใจ รีบลุกขึ้นยืน
ประตูใหญ่ถูกเปิดออก ด้านนอกมีบุรุษเงาร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมเสื้อคลุมต้าฉ่างสีหมึกลวดลายก้อนเมฆสีเงิน รัดเกล้าสีทองบนศีรษะโดดเด่นสะดุดตา นัยน์ตาลึกล้ำดั่งดวงดารา รัศมีสูงส่งบีบคั้นผู้คน เยือกเย็นยิ่งกว่าอากาศหนาวเหน็บด้านนอกถึงสองส่วน เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างแช่มช้า ยามที่สายตาเย็นชามองมาที่ซูหลี กลับอ่อนโยนลงหนึ่งส่วนทันที ความอบอุ่นพลันก่อตัวขึ้น ทำให้บรรยากาศเย็นเยียบในห้องอบอุ่นขึ้นไม่น้อย
หยางเสวียนคล้ายประหลาดใจเล็กน้อย เบิกตากว้างมองเขา พลางกล่าวว่า “เจิ้นหนิงอ๋อง?! ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด?”
ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามากุมมือซูหลี เอ่ยตอบเสียงเรียบเฉย “เพิ่งมาถึง” การกระทำนี้ดูเป็นธรรมชาติ ราวกับไม่มีคนอื่นมองอยู่
ซูหลีพวงแก้มร้อนผ่าวอย่างไม่อาจควบคุม ถามว่า “ท่านอ๋องยุ่งมากไม่ใช่หรือเพคะ เหตุใดจึงมีเวลาว่างมาได้?”
“ยุ่งอีกเท่าใดก็ต้องพักหายใจกันบ้าง” เขาแย้มยิ้มบางๆ “มีธุระผ่านมาแถวนี้พอดี จึงมาเยี่ยมเจ้าด้วย”
ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าธุระที่เขาว่านั้นจริงหรือไม่ อยากดึงมือตนเองกลับ แต่กลับไม่เป็นผล เขาดึงนางให้นั่งลง แล้วกวาดมองหยางเสวียนด้วยสายตาเฉยชา “องค์หญิงเจาหวาก็มีน้ำใจมาเยี่ยมหมิงซีด้วยหรือ”
“หม่อมฉันเป็นคนเชิญองค์หญิงมาเองเพคะ” ซูหลีกล่าวเสียงขรึม “หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งจะทูลท่านอ๋องพอดี ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ท่านอ๋องเสด็จมา”
“อ้อ?” เขายิ้มคล้ายไม่ใส่ใจ “ใช่เรื่องของหลีเหยาหรือไม่?”
ซูหลีอึ้งงัน เหตุใดเขาถึงรู้เร็วเพียงนี้? วันนี้ที่มา เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือว่า เขาส่งคนมาคอยสอดส่องอยู่ที่นี่แต่แรกแล้ว?
“หลีเหยามาเยี่ยมเจ้า คงเป็นเรื่องของเซ่อเจิ้งอ๋องกระมัง” รอยยิ้มของเขากดลึกขึ้น ฝ่ามือใหญ่ก็ยิ่งกุมมือนางแน่นขึ้น
ซูหลีถอนหายใจ ถึงแม้เขารู้ว่ามีผู้ใดมาบ้าง แต่กลับไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของหลีเหยา เขาอาจส่งสายลับมาที่นี่ เพียงเพื่อระวังความปลอดภัยให้นาง ไม่ได้ต้องการสอดแนมเรื่องส่วนตัวแต่อย่างใด
“ครานี้เกรงว่าเจิ้นหนิงอ๋องจะเดาผิดเสียแล้ว” ดวงตากลมโตของหยางเสวียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ตงฟางเจ๋อสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงมองหน้าซูหลีไม่กล่าวคำใด เขากำลังรอ รอให้นางพูด รอให้นางเปิดใจ
“หลีเหยามาหาหม่อมฉัน เพราะมีเรื่องสำคัญจริงๆ เพคะ เพียงแต่ พวกเราล้วนนึกไม่ถึงว่าก่อนที่อวี้หลิงหลงจะตาย ได้ทิ้งความลับอันยิ่งใหญ่ไว้กับนาง” ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นางเองก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดจากตรงไหน ถึงอย่างไรยามนี้นางก็เป็นเจ้าสำนักเฉินเหมิน ตงฟางเจ๋อมีความแค้นกับเฉินเหมิน หากคำนวณผลได้ผลเสียไม่แม่นยำ ก็อาจเป็นเรื่องใหญ่ได้
สีหน้าตงฟางเจ๋อขรึมลงเล็กน้อย “ความลับ…หรือว่ามีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงเจาหวา?”
“ไม่เพคะ” ซูหลีกล่าวอย่างเด็ดขาด “ความลับเกี่ยวข้องกับเฉินเหมิน หม่อมฉันเชิญองค์หญิงมา เพื่อขอความช่วยเหลือ ท่านอ๋องคงจำได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่สืบคดีของหลีซู ได้รหัสลับของนักฆ่าในเฉินเหมินมา รหัสลับนั้นองค์ชายสี่หยางเซียวแห่งแคว้นเปี้ยนเป็นผู้ช่วยแปล”
สายตาตงฟางเจ๋อไหวระริก “เจ้าเชิญองค์หญิงมา จะให้แปลรหัสลับอีกหรือ? ครั้งนี้สืบหาตัวผู้ใด?”
“เป็นท่านเอง” สายตาซูหลีจดจ้องเขา “ยามนี้ ใครกันที่ใจกล้าซื้อตัวนักฆ่ามาสังหารเจิ้นหนิงอ๋อง อ๋องหกแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน?”
สายตาตงฟางเจ๋อเข้มขรึมลงหลายส่วน เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้ามีเบาะแสหรือ?”
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ “อวี้หลิงหลงทิ้งความลับไว้ สารภาพว่านางเป็นผู้ติดต่อให้ลอบสังหารท่าน ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ก็คือฮองเฮา!”
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตาคมปลาบดั่งมีด แต่กลับซ่อนไว้ในส่วนลึกของดวงตา เขานิ่งเงียบ เนิ่นนานก็ยังไม่เอ่ยปาก
หยางเสวียนอดร้องขึ้นไม่ได้ “ฮองเฮามีความแค้นใหญ่หลวงกับท่านหรือ? ถึงขั้นกล้าซื้อนักฆ่ามาสังหารคน!”
……………………………………………………….