กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 277 จนตรอก (1)
หยางเสวียนองค์หญิงแห่งแคว้นเปี้ยน หลีเหยา และเหลียงหรูเยวี่ยเดินนำอยู่ด้านหน้า พวกนางยังถือว่ามีสีหน้าที่ไม่แย่นัก แต่เหล่าสมาชิกหญิงในครอบครัวขุนนางที่เดินตามหลังมา บ้างก็แตกตื่น บ้างก็หวาดกลัว สีหน้าแตกต่างกันไป
เหล่าขุนนางหน้าเปลี่ยนสี ไม่อาจมั่นใจได้ในทันทีว่าองครักษ์เหล่านี้เป็นคนของฝั่งไหน!
“ท่านพ่อ!” ครั้นเสียงเรียกเล็กแหลมดังขึ้น เงาร่างบอบบางสวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนก็วิ่งเข้าไปหาเหลียงสือชูที่อยู่ในตำหนักใหญ่
เหลียงสือชูดีใจอย่างยิ่ง สาวเท้าเร็วๆ เข้าไปกอดบุตรสาว ร้องอย่างประหลาดใจระคนดีใจ “เยวี่ยเอ๋อร์! เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เหลียงหรูเยวี่ยส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เฉาจิ้นเหลียงผู้นั้นชั่วร้ายมาก ขังพวกข้าไว้ไม่ยอมให้ออกมา โชคดีที่พี่ชายเจ๋อมองการณ์ไกล ให้รองหัวหน้าหยวนจัดวางกำลังคนรอบตำหนักข้างเอาไว้ก่อน แล้วหาโอกาสช่วยพวกข้าออกมา องค์หญิงเจาหวาวรยุทธ์เยี่ยมยอดนัก ท่านพ่อ ข้าอยากเรียนวรยุทธ์กับนางเจ้าค่ะ” ดวงตานางเป็นประกาย มองตรงไปยังตงฟางเจ๋อและหยางเสวียน แววเลื่อมใสเปี่ยมล้น ราวกับกำลังมองเทวดาก็ไม่ปาน
หยาวเสวียนแย้มยิ้ม กล่าวว่า “คุณหนูเหลียงเองก็เป็นหญิงงามที่กล้าหาญไม่แพ้ชายชาตรีเช่นกัน ออกตัวปกป้องทุกคนอย่างไม่เกรงกลัว”
เหลียงสือชูรีบกล่าวขอบคุณ “องค์หญิงชมเกินไปแล้ว กระหม่อมขอบพระทัยองค์หญิงอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าสตรีต่างเดินไปหาคนในครอบครัวตนเอง แล้วเล่าเหตุการณ์อันตรายเมื่อครู่ให้พวกเขาฟัง เหล่าขุนนางสีหน้าแตกต่างกันไป หลีเหยาเดินมาหาหลีเฟิ่งเซียน ขานเรียกอย่างนอบน้อม “เสด็จพ่อ”
หลีเฟิ่งเซียนมองนางแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอันใด สายตาหลีเหยาพลันหม่นหมอง ถึงแม้พี่สาวนางไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว นางก็อย่าได้คิดฝันว่าเสด็จพ่อจะปฏิบัติต่อนางอย่างรักใคร่เหมือนที่เหลียงสือชูปฏิบัติกับเหลียงหรูเยวี่ยเลย หัวใจพลันเศร้าสร้อย นางเงยหน้ามองบุรุษที่สวมอาภรณ์มังกรยืนอยู่ด้านล่างบัลลังก์ด้วยใบหน้าตื่นตะลึงแวบหนึ่ง กลับรู้สึกเห็นใจเขายิ่งนัก
ยามนี้ตงฟางจั๋วมีใบหน้าซีดขาว หันมองหยวนเซี่ยงที่ยืนหลังตรง แล้วหันมองตงฟางเจ๋อ ขบกรามกล่าวอย่างเคียดแค้น “ที่แท้เขาก็เป็นคนของเจ้า?!”
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเย็นชา ไม่พูดอะไร
เฉาจิ้นเหลียงกลับหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่ สาวเท้าวิ่งไปทางประตู คว้าคนผู้หนึ่งแล้วตวาดเสียงเกรี้ยว “พวกเจ้ากล้าหักหลังข้า! ตายเสียเถิด!” เอ่ยจบก็เงื้อกระบี่ ตวัดไปทางศีรษะของคนผู้นั้น
ประกายกระบี่คมตวัดไหวรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด หยวนเซี่ยงที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวกลับเข้ามาขัดขวางไม่ทัน
ครั้นเห็นว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดในตำหนักใหญ่ ทุกคนหวีดร้องตกใจผงะถอยหลัง ยามนี้เอง เงาร่างสีดำสายหนึ่งพลันปรากฏตัวข้างกายเฉาจิ้นเหลียงดั่งวิญญาณ กระบี่ล้ำค่ายังไม่ทันบั่นคอคนผู้นั้น เฉาจิ้นเหลียงก็พลันรู้สึกชาไปทั้งแขน ‘เคร้ง’ เสียงกระบี่ในมือตกกระทบพื้นทันที
เขาตกตะลึง หันมองคนข้างกาย ดวงหน้างามดั่งหยกสวมอาภรณ์สีดำ เครื่องหน้าทั้งห้าหมดจดละเอียดอ่อน กลับเป็นหวั่นซิน สาวรับใช้ข้างกายของท่านหญิงหมิงซี!
ทุกคนต่างตะลึงงัน ในตำหนักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจอย่างชัดเจน ยามนี้เอง เมื่อเสียงขานร้องเล็กแหลมดังขึ้น ผู้คนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ต่างตื่นตะลึงกันถ้วนหน้า
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ฮ่องเต้ที่เดิมควรนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงมังกร ยามนี้กลับกำลังก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักช้าๆ โดยมีซูหลีคอยประคองอยู่ข้างกาย
ใบหน้าฮ่องเต้เคร่งเครียด ฝีเท้าแม้เชื่องช้า ราศีน่าเกรงขามกลับไม่ลดลงสักนิด แม้พระพักตร์มังกรมีร่องรอยของความเจ็บป่วย แต่สายตากลับคมปลาบดั่งกระบี่คม จดจ้องไปยังตงฟางจั๋วที่สวมใส่อาภรณ์มังกรเขม็ง เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
สายตาร้อนแรงคู่หนึ่งทอดมองทะลุเหล่ากำแพงมนุษย์ตรงมายังทางนี้ ซูหลีเงยหน้า ก็สบเข้ากับสายตาลึกล้ำและสับสนยากคาดเดาคู่หนึ่ง ในดวงตาคู่นั้น ยามนี้ไม่เหลือแววเย็นชาดั่งน้ำแข็งอีกแล้ว เหลือเพียงความอบอุ่นและความรู้สึกอันลึกซึ้งอย่างไร้สิ้นสุดที่ห่อหุ้มกายนางเอาไว้
นางไม่ได้ทอดทิ้งเขา! นางเชื่อใจเขา และนั่นก็บ่งบอกว่า หัวใจนางเป็นของเขา
ตงฟางเจ๋อพลันแย้มยิ้ม รอยยิ้มของเขาดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ดวงตาเปล่งประกายสดใส รัศมีเจิดจรัสจนทำให้ผู้พบเห็นต้องหลบตา เขาไม่เคยรู้สึกขอบคุณสวรรค์เท่าวินาทีนี้เลยสักครั้ง ที่เมตตาและทำให้เขาได้พบกับสตรีเช่นนาง
ซูหลีเงยหน้ามองเขา สายตาเปล่งประกายสดใสดั่งคลื่นน้ำ กลีบปากเผยอยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่คิดปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป การตัดสินใจตามเสียงหัวใจก่อนหน้านั้น มาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ทำให้นางเข้าใจความรู้สึกที่ตนเองมีต่อเขาแล้ว นางเลือกที่จะเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนร้ายที่ทำร้ายนาง เลือกที่จะช่วยเขาทำลายแผนการของตงฟางจั๋ว ยามนี้เมื่อมองเห็นสายตาซาบซึ้งและรักใคร่จากเขา นางรู้สึกโชคดียิ่งนักที่เขาไม่ทำให้นางผิดหวัง
หยวนเซี่ยงคุกเข่าทำความเคารพก่อน ทุกคนจึงเพิ่งได้สติ ทั้งในและนอกตำหนักต่างพากันคุกเข่า เสียงร้องถวายพระพรให้ทรงพระเจริญหมื่นปีดังกึกก้องไปทั่วตำหนัก
สายตาคมปลาบของฮ่องเต้กวาดมองเงาร่างของทุกคนในตำหนักทีละคน เขากล่าวเสียงแช่มช้า “ข้าเพียงป่วยเล็กน้อย เหตุใดพวกท่านจึงทำเหมือนข้าตายไปแล้ว!”
ราศีน่าเกรงขามของโอรสแห่งสวรรค์มิได้สร้างกันได้ในเวลาเพียงวันเดียว เสียงพูดของฮ่องเต้ไม่ดัง แต่ทุกคนกลับสะท้านไปทั้งใจ เหล่าขุนนางที่มีซ่งอู๋ยงเป็นแกนนำยิ่งขวัญหนีดีฝ่อ ร่างกายที่คุกเข่าอยู่กับพื้นสั่นเทาไม่หยุด แทบจะหมดแรงไปเสียเดี๋ยวนั้น ใครเล่าจะคาดคิด จู่ๆ ฮ่องเต้ที่นอนหลับใหลไม่ได้สติจะปรากฏตัวกะทันหันเช่นนี้?!
เฉาจิ้นเหลียงเข่าอ่อน จำต้องคุกเข่าอย่างเสียมิได้เช่นกัน เกาจื๋อตัวสั่นงันงก ถึงขั้นสองตาเหลือกขาว ล้มลงกับพื้นเสียงดัง ‘โครม’ ก่อนจะหมดสติไป
ตงฟางจั๋วใบหน้าขาวสลับเขียว เขาเบิกตาจ้องดวงหน้างดงามของสตรีที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ เห็นนางและตงฟางเจ๋อสบตากันอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกของทั้งสองไม่ต้องบอกก็รับรู้ได้แล้ว ในขณะที่พวกเขาส่งยิ้มให้กันยามสบตา หัวใจของเขากลับเย็นยะเยือกราวกับจมดิ่งสู่ถ้ำน้ำแข็ง!
ที่แท้…การที่นางเลือกยืนข้างเขา เป็นเพียงเรื่องโกหกที่นางต้องการตบตาเขาเท่านั้น! นางต้องการหาโอกาสทำให้ฮ่องเต้ฟื้น เพื่อช่วยบุรุษผู้นั้นทำลายแผนการทั้งหมดของเขา นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจริง!
เหตุใดหลังจากที่นางพิสูจน์ด้วยตนเองแล้วว่าศิลาเลือดนกเพลิงคือต้นเหตุของปัญหา นางก็ยังคงเลือกบุรุษผู้นั้นอย่างไม่ลังเล? นางรักเขา เชื่อใจเขาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เพราะเหตุใดกัน?!
ผู้คนทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักต่างพากันคุกเข่า มีเพียงเขาที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น เหมือนกับหุ่นไม้ที่ไร้วิญญาณ ใบหน้าไร้ซึ่งสีเลือด มองดูนางประคองฮ่องเต้เดินเข้ามาทีละก้าวๆ ความสิ้นหวังกัดกินนัยน์ตาเขาทีละเล็กทีละน้อยจนแหลกสลาย หัวใจก็พลอยแห้งเหี่ยวไปด้วย
หัวใจป่วนพล่าน ราวกับถูกคมมีดอันแหลมคมเชือดเฉือนและบิดแทง วินาทีนี้ เขามองไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่รับรู้ได้ในตอนนี้ คือนางทอดทิ้งเขา และผลักเขาลงสู่ขุมนรกที่ไม่มีวันฟื้นคืนได้อีกตลอดกาล!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “…แม้แต่เจ้าก็ทอดทิ้งข้า?! ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า เหตุใดเจ้าจึงทำกับข้าเช่นนี้?!” น้ำเสียงของเขาราวกับถูกคนใช้มีดเชือดเฉือน ลำคอแหบพร่า เจ็บปวดจนแทบอยากหยุดหายใจ
ซูหลีมองเขาแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ท่านอ๋องทำผิด”
“ข้าทำผิด?!” เขาแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง นางกลับมองเห็นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกจากหางตา ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
รอบข้างเงียบงันไร้เสียง ราวกับแม้เพียงเสียงเบาๆ ก็อาจทำให้คนที่บ้าคลั่งและสิ้นหวังผู้นี้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในชั่วพริบตา
เขาหยุดหัวเราะ สายตาเศร้าโศกจดจ้องใบหน้านาง “เขาทำร้ายเจ้า เจ้ากลับเชื่อเขา! ข้า…ทำเพื่อเจ้าทั้งหัวใจ เจ้ากลับทอดทิ้งข้า! เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใด?!” เขาตะโกนคำว่า ‘เพราะเหตุใด’ ติดกันถึงสามครั้ง น้ำเสียงที่พลันแปรเปลี่ยนเป็นเศร้ารันทดดังก้องไปทั่วตำหนักใหญ่
ซูหลีกล่าวอย่างใจเย็น “หม่อมฉันเชื่อเขา”
………………………………………………….