กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 283 เพลิงรักแผดเผา (2)
กลีบปากอันเย็นชืด ไร้ซึ่งความอบอุ่น ริมฝีปากของเขากดทับลงมาอย่างรุนแรง ราวกับได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีแล้ว
ซูหลีนึกไม่ถึงว่าเขาจะทำอย่างนี้ นางตกใจ ไม่ทันคิดอะไรมาก เพียงซัดฝ่ามือใส่เขาตามสัญชาตญาณ
‘อึก!’ เขาร้องครวญ กลับไม่ยอมคลายแขนที่กอดนางไว้ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอก เจ็บจนแทบจะหมดสติ
ซูหลีกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ปล่อยข้า!”
เขากลับกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม เลือดทะลักออกจากปาก หอบหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะกระซิบข้างหูนางอีกครั้ง “ซูซู ระวัง…จั้นอู๋จี๋!”
ซูหลีที่กำลังขัดขืนสุดชีวิตพลันอึ้งงัน สีหน้าแปลกๆ ของตงฟางจั๋วและจั้นอู๋จี๋ขณะอยู่บนตำหนักพลันผุดขึ้นมาในสมอง
“ตัวตน ของจั้นอู๋จี๋…มีเงื่อนงำ เขามีรอยสักบนตัว เป็นรอยสักที่เป็นสัญลักษณ์เฉพาะของราชวงศ์หวั่น…เขาต้องไม่ใช่ชาวแคว้นเฉิงแน่นอน!” เสียงของตงฟางจั๋วเบาลงเรื่อยๆ เสียงพูดของเขาเริ่มขาดๆ หายๆ คล้ายไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว
ซูหลีตกใจจนพูดไม่ออก!
“หากไม่ใช่เพราะเขา…แปรพักตร์กะทันหัน ข้าจะพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าประเมินเขาต่ำไป…มัวแต่ระวังตงฟางเจ๋อ กลับลืมระวังเขา!” ตงฟางจั๋วกระอักเลือดลงบนบันไดหิน ร่างกายสูงใหญ่ล้มลงไปอย่างอ่อนแรง
รสชาติขมฝาดแผ่ปกคลุมในใจ ซูหลีกัดฟันแน่น ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หมุนกายสาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
ใบหน้าคมเข้มของตงฟางจั๋วซีดเผือดไร้สีเลือด เขาจ้องแผ่นหลังของนางอย่างเหม่อลอย แม้สายตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยไร้จุดหมาย แต่เขากลับยังคงจ้องมองทิศที่นางเดินจากไปอย่างไม่กะพริบตา แล้วพึมพำกับตนเองเบาๆ “ซูซู หากข้าเกิดใหม่ได้อีกครั้ง เจ้ารอข้านะ ข้าจะไม่มีวันหันหลังให้เจ้าเด็ดขาด!”
น่าเสียดายที่หญิงงามได้เดินจากไปไกลแล้ว นางไม่ได้ยินเสียงพูดอันเบาหวิวดั่งละอองฝนของเขาอีกต่อไปแล้ว
นอกสวน สายลมหนาวยังคงกระโชกแรง เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
ซูหลีก้าวเท้าออกจากประตูสวน เหล่าทหารต่างอดกลั้นมานาน ครั้นนางเดินออกมาก็รีบวิ่งกรูกันเข้าไป ทันใดนั้น เสียงหวีดร้องตกใจดังไปทั่วทิศ ทหารเหล่านั้นพากันวิ่งหนีออกมาอย่างบ้าคลั่งดั่งคลื่นซัดกระทบฝั่ง
ซูหลีเงยหน้าทันที มองเห็นเพียงประกายไฟอันรุนแรงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สวนดอกหลีที่ขาวสะอาดดั่งหิมะ กลับกลายเป็นทะเลเพลิงในชั่วพริบตา! ไฟลุกท่วมไปทั่วบริเวณ ราวกับถูกราดด้วยน้ำมัน เปลวเพลิงร้อนแรงพาเอาความเจ็บปวดเคียดแค้นพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า กองไฟมหึมาย้อมผืนฟ้ากว่าครึ่งส่วนให้กลายเป็นสีแดงเพลิงในพริบตา
ซูหลีตกตะลึง คว้าทหารข้างกายแล้วสั่งอย่างร้อนใจ “รีบไปดับไฟเร็วเข้า!”
ทหารนายนั้นวิ่งหนีอย่างล้มลุกคลุกคลาน ตะโกนด้วยใบหน้ายับยู่ยี่ “ไฟไหม้รุนแรงเกินไป ท่านหญิง รีบหนีเถิดขอรับ!”
มือของซูหลีพลันค้างเติ่ง ไอเย็นแทรกซึมผ่านผิวหนังลึกลงไปถึงกระดูก
เสียงหัวเราะอันขมขื่นดังเลือนรางมาจากในกองไฟเป็นระยะ สายลมกรีดพัดผ่านใบหูดังหวีดหวิว เหมือนเสียงสะอื้นไห้ของคนสิ้นหวัง นางราวกับมองเห็นน้ำตาที่เกิดจากความปวดใจไหลออกมาจากนัยน์ตาสิ้นหวังของเขา พร้อมกับเสียงหัวเราะอันโศกเศร้า…
“ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า เหตุใดแม้แต่เจ้าก็ยังทอดทิ้งข้า?!” คำถามที่เต็มไปด้วยความเศร้าของเขาดังก้องในหูนางอีกครั้ง ฝีเท้าของนางราวกับถูกตรึงไว้บนพื้น ไม่อาจขยับได้แม้เพียงครึ่งก้าว
พังพินาศไปด้วยกัน ที่แท้ก็ไม่ใช่แผนการอันบ้าคลั่ง เขาฝ่าวงล้อมทหารออกมา แล้วมาหวนนึกถึงอดีตอันหอมหวานอีกครั้งที่นี่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการปลอบประโลมหัวใจครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะกระโดดเข้าสู่ความตายเท่านั้น!
เขาไม่มีทางให้ถอยหลังได้อีก นับตั้งแต่ที่เสียหลีซูไป เส้นทางที่เขาก้าวเดินคือทางตันที่ไม่อาจหันหลังกลับ!
ซูหลียืนอยู่ที่เดิม นิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้น้ำตาไหลออกจากหางตาเมื่อใด ความเจ็บปวดทำให้นางแน่นหน้าอกจนเกือบจะหายใจไม่ออก
มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ดึงนางเข้าไปในอ้อมแขน กอดนางไว้แน่นๆ ราวกับกลัวว่านางจะสูญหายไป
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ไม่ปฏิเสธเพียงทิ้งตัวพิงแผงอกเขาอย่างอ่อนแรง ถึงแม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเผชิญหน้ากับความตาย แต่จูบลาก่อนตายของตงฟางจั๋ว กลับตราตรึงลึกลงในใจนางดั่งมีเวทมนต์
นางต้องการอ้อมกอดอันอบอุ่นและแข็งแกร่งนี้ เพื่อขับไล่ความกลัวที่มาพร้อมกับความตาย!
เสียงทอดถอนใจอันทุ้มลึกของตงฟางเจ๋อดังข้างใบหูนาง “เจ้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับจวน”
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ ขยับกลีบปากหมายจะพูด แต่กลับเอ่ยคำใดไม่ออก
นัยน์ตาของเขาไหวระริก ซ่อนความหวาดกลัวระคนตกใจรางๆ เอาไว้ “ซูซู รับปากข้า ภายหน้าไม่ว่าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใด อย่าได้เอาตนเองไปเสี่ยงอีก! มิเช่นนั้น…”
เขาหยุดพูดกะทันหัน ไม่ยอมพูดให้จบ นางกลับอึ้งงัน เงยหน้ามองเขา แววตาหวาดกลัวที่ปรากฏชัดในดวงตาทั้งคู่ของเขา ทำให้นางใจสั่นโดยไม่รู้ตัว! ยามถูกฮองเฮาวางแผนจับขังคุกมืด เขายังสงบนิ่งได้ถึงเพียงนั้น ไม่เคยเห็นเขามีสีหน้าเช่นในตอนนี้มาก่อนสักครั้ง
ขอบตาร้อนผ่าวเล็กน้อย นางยกมือกอดเอวเขาตอบ ใบหน้าเย็นๆ แนบกับแผงอกกำยำของเขา ครั้นพิงอกเขาอย่างนี้ หัวใจนางพลันรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและมั่นคงในที่สุด
“ไปเถิด บาดแผลของเจ้าต้องได้รับการรักษา ข้าจะส่งเจ้ากลับ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาเย็นชาตวัดมองไปที่เปลวเพลิงขนาดใหญ่ เขาโอบไหล่นางพาเดินไปทางรถม้าที่จอดไว้บนถนนใหญ่ ไม่ให้นางมองเห็นอะไรอีก
วันสิ้นปีของปีนี้ เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและรันทดใจ จิ้งอันอ๋องที่เคยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ได้ดับสิ้นไปพร้อมกับความเสียใจ ความคับแค้น และความฝันของเขาในกองเพลิงขนาดมหึมา นับจากนี้ ตงฟางจั๋วที่มีนิสัยวู่วามใจร้อนผู้นั้น จะไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้อีกแล้ว!
เดิมทีฮ่องเต้ก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ครั้นประสบเหตุการณ์ถูกโอรสหักหลัง ในที่สุดก็ล้มป่วยครั้งใหญ่ เทศกาลปีใหม่ของแคว้นเฉิง ถูกปกคลุมไปด้วยอากาศหนาวเย็นและกลิ่นอายแห่งความตาย
ตงฟางเจ๋อในฐานะท่านอ๋องคอยดูแลราชกิจน้อยใหญ่ในราชสำนัก เนื่องจากฮ่องเต้ล้มป่วย พิธีเฉลิมฉลองพบปะสังสรรค์จึงถูกยกเลิกทั้งหมด เหล่าข้าราชการน้อยใหญ่ต่างพากันแตกตื่น บ้างก็ลอบยินดี ราชวงศ์แห่งแคว้นเฉิง อาจถึงเวลาพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่แล้วก็เป็นได้
เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้นได้แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างตงฟางจั๋วกับหลีซูจนสิ้น ซูหลีที่เดิมหวังให้เรื่องราวในอดีตจางหายไปพร้อมควันขี้เถ้าเพื่อเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กลับรู้สึกหดหู่หม่นหมอง ไม่อาจทำตัวให้แจ่มใสขึ้นมาได้ งานเลี้ยงครอบครัววันขึ้นปีใหม่ที่นางควรกลับไปเยือนจวนอัครเสนาบดี นางก็ไม่ไปร่วม เพียงให้คนไปแจ้งว่าไม่สบาย ซูเซียงหรูส่งคนมาถามไถ่อาการ นางตอบกลับไม่กี่ประโยคก็ส่งแขก เอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียวในห้องทั้งวัน แม้แต่พูดก็ยังไม่อยากพูด
เตาไฟในห้องลุกโชติช่วง ซูหลีมองดูเปลวไฟสีแดง ภาพกองไฟสูงเสียดฟ้าที่สวนดอกหลีปรากฏในสมองอีกครั้ง เสียงหัวเราะอันเศร้าสร้อยของตงฟางจั๋วราวกับดังหลอกหลอนอยู่ในหูนาง ไม่ยอมหายไป
นางกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ฝ่ามือพลันรู้สึกเจ็บ ครั้นได้สติ ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่กว่าเดิม
“แผลดีขึ้นบ้างหรือไม่?” เสียงทุ้มลึกรื่นหูดังขึ้น นางเงยหน้า สบกับนัยน์ตาลึกล้ำของตงฟางเจ๋อที่กำลังจ้องพิจารณาฝ่ามือนางพอดี
เงาร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในห้อง นั่งลงข้างกายนาง ดึงมือนางไป แล้วล้วงขวดยาออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะทายาให้นางอย่างเบามือด้วยสีหน้าอ่อนโยนและตั้งใจ
“ทำเจ้าเจ็บหรือ?” เห็นนางหดมือเล็กน้อย เขาจึงเงยหน้าถาม นัยน์ตาลึกล้ำเต็มไปด้วยความห่วงใย
หัวใจของนางพลันอบอุ่นขึ้นมาหนึ่งส่วน นางส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เจ็บเพคะ ไม่เจ็บสักนิด”
สายตาตงฟางเจ๋อไหวระริก ก้มหน้าทำแผลให้นางต่อ พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เรื่องของพี่รอง เจ้าทำสุดความสามารถแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดมากอีก”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งเหมือนยามปกติ คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก
ซูหลีกลับใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย นางรู้อยู่แล้วว่าความคิดของนางไม่มีทางเล็ดลอดสายตาเขาไปได้ ตงฟางจั๋วไม่เหลือสิ่งใดแล้ว นางนึกว่าหากตนเองอยู่ในมือเขา ตงฟางเจ๋อไม่กล้าลงมือ ตงฟางจั๋วก็จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้ แต่นึกไม่ถึง เขาพยายามหนีออกจากวังหลวงอย่างสุดชีวิต แต่กลับเลือกจบชีวิตตนเองอย่างน่าอนาถในสวนดอกหลีเช่นนั้น!
……………………………………………………..