กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 294 สองหญิงหนึ่งสวามี? (1)
ใบหน้าของจั้นอู๋จี๋ซีดเผือด เขาพุ่งตัวเข้ามาเพ่งสายตามอง กำลังภายในของเขาค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าซูหลี จึงเห็นว่าบนชั้นหิมะที่ก่อตัวอยู่ด้านล่างหน้าผามีร่องรอยของคนกลิ้งตกลงไป “ท่านหญิงอย่าเพิ่งร้อนใจ จากที่ข้าน้อยเห็น องค์หญิงกับท่านอ๋องไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต…” เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ก็พลันอึ้งงันไปทันที หิมะที่หยุดตกไปแล้ว กลับมาโปรยปรายอีกครั้ง
เขาตึงเครียด รีบร้องบอกเสียงดัง “ข้าน้อยจะรีบเรียกคนลงไปตามหาเดี๋ยวนี้!”
ซูหลีพยักหน้าทันที ยามนี้สถานการณ์ไม่แน่ชัด ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง หิมะตกหนักขนาดนี้ หากยังชักช้า แล้วร่องร่อยถูกกลบ เกรงว่าจะยิ่งตามหายาก
เสียงธนูพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า แหวกอากาศทะลุก้อนเมฆ ดอกไม้ไฟสีทองปะทุกลางท้องฟ้ายามราตรี จั้นอู๋จี๋กำลังส่งสัญญาณไปยังทหารประจำสนามล่าสัตว์
ผ่านไปไม่นาน เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นระลอกหนึ่งดังแว่วมาพร้อมกับเสียงสายลมยามค่ำคืน สายตาซูหลีไหวระริก คนของจั้นอู๋จี๋มาถึงเร็วมาก! ยามทหารหลายสิบนายมาถึงหน้าผา หิมะก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เสมือนขนห่านที่โปรยปรายกลางอากาศ พริบตาเดียวก็กลบร่องรอยที่เหลืออยู่จนมิดชิด
เชือกเส้นยาวถูกทิ้งลงไปด้านล่างหน้าผา เหล่าทหารพากันโรยตัวลงไปอย่างระมัดระวัง สายลมหนาวเหมือนดั่งคมมีดที่กรีดพัดใบหน้าซูหลีจนรู้สึกเจ็บแปลบราวกับผิวจะฉีก ทว่านางกลับทำเหมือนไม่รู้สึก นัยน์ตาแน่วแน่ กำเชือกแน่น ค่อยๆ โรยตัวไปด้านล่างหน้าผาพร้อมกับจั้นอู๋จี๋
แสงไฟสว่างจ้า ซูหลีเสาะหาทั่วทิศ รู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้เป็นหุบเขาลาดเอียงแห่งหนึ่ง หิมะถูกสายลมพัดโปรยปราย ก่อตัวกันอย่างรวดเร็ว ทำให้หิมะตรงนี้หนาและลึกกว่าที่อื่นมาก สูงจนถึงเข่า
นางสอดส่องมองหาหนึ่งรอบ ที่นี่ไม่มีร่องรอยของตงฟางเจ๋อกับหยางเสวียน ซูหลีตึงเครียด นางเดินตามจั้นอู๋จี๋อย่างยากลำบาก แยกแยะร่องรอยรอบกายอย่างละเอียด และค่อยๆ เดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ระหว่างหุบเขาออกไปด้านนอก
การตามหาดำเนินต่อเนื่องทั้งคืน หิมะที่ตกหนักเพิ่มความลำบากในการตามหาคนยามกลางคืนเป็นอย่างมาก ทุกที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน สุดท้าย เมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง กลุ่มคนมองเห็นกระท่อมหลังเล็กจากที่ไกลๆ ทุกคนพลันลิงโลด ซูหลีสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหมายจะเคาะประตู ประตูบานนั้นกลับเปิดออกกะทันหัน เงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งเดินออกมา
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ร้องด้วยความดีใจ “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพคะ?” นางรีบดึงมือเขาขึ้นมากุม เพื่อจะยืนยันว่าเขาปลอดภัยจริงๆ
ตงฟางเจ๋อเห็นนางก็อึ้งงันไปเล็กน้อย “ซูซู?!” เขาหันไปมองจั้นอู๋จี๋ที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง สายตาขรึมลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น เขากล่าวเสียงเบา “ข้าไม่เป็นไร” เอ่ยจบเขาก็กุมมือนางแน่น แน่นจนทำให้นางรู้สึกเจ็บมือ ซูหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ฝ่ามือเย็นเฉียบดั่งหิมะ ร่างกายไม่มีความอุ่นแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าตามหาอยู่ทั้งคืน ตงฟางเจ๋อปวดใจ รีบกอดนางแน่น นัยน์ตาลึกล้ำดำขลับของเขาสับสนตึงเครียดยามกอดนางไว้ในอ้อมแขน
ครั้นสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขา หัวใจที่ตึงเครียดมาโดยตลอดของซูหลีก็พลันผ่อนคลายลงหนึ่งส่วน ความเหน็ดเหนื่อยและความลำบากตลอดคืนพลันจู่โจม เป็นห่วงหรือหวาดกลัว คำเหล่านี้ล้วนไม่อาจบรรยายความรู้สึกตลอดคืนที่ผ่านมาของนางได้!
“ท่านอ๋องไม่เป็นไรก็ดีแล้วเพคะ!” นางถอนหายใจเสียงเบา นอกจากประโยคนี้ นางกลับพูดอะไรอย่างอื่นไม่ออกอีก จนกระทั่งตอนนี้ นางถึงเพิ่งเข้าใจอย่างแท้จริง ว่าเขาสำคัญกับนางมากเพียงใด! ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าขอเพียงไม่เอ่ยคำสัญญาก็สามารถหมุนกายเดินจากไปได้ตลอดเวลา นั่นเป็นเพียงการหลอกผู้อื่นและหลอกตนเองเท่านั้น! หัวใจของนางได้ถลำลึกไปกับความหอมหวานจากเขา จนไม่อาจถอนตัวได้อีกแล้ว
“กระหม่อมมาช้า ขอเจิ้นหนิงอ๋องโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” จั้นอู๋จี๋เดินเข้ามาขอรับโทษ สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริกเล็กน้อย เขาโบกมือเบาๆ กล่าวว่า “ไม่ใช่ความผิดท่าน”
ซูหลีถาม “องค์หญิงเล่าเพคะ? นางไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ?”
สายตาของตงฟางเจ๋อเคร่งขรึม ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ บรรยากาศรอบข้างพลันแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดสุดแสน
ซูหลีเพิ่งสังเกตเห็นในยามนี้เองว่าตงฟางเจ๋อสวมแค่เสื้อตัวกลาง เสียงสวบสาบดังออกมาจากในตัวกระท่อม นางมองตามเสียงเข้าไป เห็นเพียงด้านในประตูกระท่อมที่เปิดแง้มไว้ หยางเสวียนกำลังกอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตงฟางเจ๋อไว้แน่น ส่วนเว้าส่วนโค้งอันงดงามปรากฏสู่สายตา นางกำลังลุกขึ้นนั่งช้าๆ บนราวเหนือกองไฟที่ถูกจุดไว้ด้านหนึ่งตากเสื้อชั้นนอกของทั้งสองเอาไว้
นัยน์ตาซูหลีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย สถานการณ์เช่นนี้…ยากจะห้ามไม่ให้คิดจินตนาการไปไกล ครั้นหยางเสวียนสบตากับซูหลี ก็รีบหลุบตา เหมือนเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าทำเรื่องไม่ดี
ซูหลีตึงเครียด ดึงมือที่ถูกเขากุมกลับมา แล้วถอยหลังไปครึ่งก้าว ตงฟางเจ๋อทำราวกับไม่รับรู้ เพียงกล่าวกับนางว่า “เจ้าไปช่วยองค์หญิงสวมอาภรณ์ เมื่อคืนตอนตกลงมา ข้อเท้านางพลิก”
ซูหลีจ้องหน้าเขาครู่หนึ่ง ไม่ได้ถามอะไรมากนัก เพียงพยักหน้าเบาๆ เดินเข้าไปในเรือนแล้วปิดประตู กระท่อมหลังเล็กๆ กลับอบอุ่นเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิเพราะกองไฟ ราวกับอยู่กันคนละโลกกับนอกกระท่อมที่หิมะตกหนัก และลมหนาวพัดกระโชกอย่างบ้าคลั่ง
“องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ยังเจ็บเท้าอยู่หรือไม่?” ซูหลีหยิบอาภรณ์ ประคองหยางเสวียนให้ค่อยๆ ลุกขึ้น
หยางเสวียนส่ายหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว แค่พลิกเล็กน้อย น่าจะไม่เป็นอะไรมาก” น้ำเสียงของนางอ่อนโยน ไม่รู้เป็นเพราะเปลวไฟอุ่นๆ หรือเพราะสาเหตุอื่น พวงแก้มของนางแดงผ่าว เหมือนคนละคนกับในอดีตที่เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา
หัวใจของซูหลีหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม นางเพียงช่วยหยางเสวียนสวมเสื้อผ้า ไม่พูดอะไรอีก
ระหว่างทางกลับเมือง ซูหลีขี่ม้าอูจุยกับตงฟางเจ๋อ อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขา นางกลับเงียบผิดปกติ กลิ่นเสื้อคลุมบนกายเขาลอยอวลอยู่ตรงปลายจมูก กลิ่นหอมที่ยังคงชัดเจนทั้งแปลกใหม่และคุ้นเคย เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของตงฟางเจ๋อกับหยางเสวียนผสมกันนั่นเอง
นางพิงอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา แล้วหลับตาเงียบๆ
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า พริบตาเดียวก็ล่วงเลยสู่ปลายเดือนสองแล้ว
จวนเจิ้นหนิงอ๋องในช่วงนี้ภายนอกดูสงบสุขดังเช่นแต่ก่อน แต่เหล่าบ่าวรับใช้ที่ถนัดวิเคราะห์สถานการณ์กลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าสายสัมพันธ์ของนายทั้งสามในจวนได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว นับตั้งแต่ที่องค์หญิงเจาหวาถูกเจิ้นหนิงอ๋องช่วยเหลือกลับมาจากพายุหิมะ มักมีคนพบเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง บ้างก็นั่งพูดคุยกัน บ้างก็เดินหมากด้วยกัน กระทั่งมีคนบอกว่าเคยเห็นองค์หญิงเจาหวาจูบเจิ้นหนิงอ๋องอย่างใจกล้าด้วยตาตนเอง!
ชั่วเวลาหนึ่ง ข่าวลือแพร่สะพัดดั่งคลื่นใต้น้ำ เสียงวิพากษ์วิจารณ์กระจายไปทั่ว ส่วนว่าที่พระชายาในเจิ้นหนิงอ๋องที่ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมผู้นั้น ยังคงประพฤติตนต่อองค์หญิงเจาหวาอย่างเกรงอกเกรงใจและมีมารยาท สุขุมเยือกเย็นดังเช่นแต่ก่อนไม่เปลี่ยน ราวกับไม่กลัวแม้แต่น้อยว่าจะมีคนหมายปองว่าที่พระสวามีของตนเอง
ซูหลีไม่มีปฏิกิริยาต่อคำซุบซิบเหล่านั้น นางรู้สึกว่าความรักต้องมีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ตงฟางจั๋วคือบทเรียนที่ชัดเจน นางไม่อาจทำผิดซ้ำรอยเดิม!
ยามบ่ายของวันหนึ่ง เป็นวันที่เงียบสงบไม่มีเรื่องวุ่นวาย ซูหลียืนมองก้อนเมฆอยู่ใต้ทางเดิน ด้านหลังพุ่มไม้ เงาร่างสีแดงเพลิงปรากฏสู่ครรลองสายตา บุรุษรูปงามที่ยืนเคียงไหล่กับนาง ก็คือตงฟางเจ๋อนั่นเอง
ระยะทางห่างไกลขนาดนั้น นางกลับยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
รอยยิ้มของหยางเสวียนออดอ้อนฉอเลาะ ยามเดินข้างกายเขา ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นจดจ้องใบหน้างดงามของบุรุษไม่วางตา ได้ยินไม่ชัดว่านางพูดอะไร เสียงหัวเราะกลับเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริง เสียงใสกังวานเหมือนกระดิ่งเงิน นางกำลังคุยอย่างออกรส เผลอไม่ระวังตัวเดินสะดุดขั้นบันได ร่างบางเซไปด้านหน้า นางเอื้อมมือไปจับแขนตงฟางเจ๋อโดยสัญชาตญาณ
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก ตาไวมือไว แขนยาวเอื้อมออกไปโอบกอดเอวบางของหญิงสาว หญิงงามล้มลงไปในอ้อมแขนเขา ทั้งสองอึ้งงันไปเสี้ยววินาที หยางเสวียนเขย่งปลายเท้าหอมแก้มเขาหนึ่งที รวดเร็วเหมือนแมลงปอสะกิดผิวน้ำ จากนั้นก็หมุนกายวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
……………………………………………………