กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 295 สองหญิงหนึ่งสวามี? (2)
ครั้นเห็นภาพนี้ คิ้วงามของซูหลีขมวดเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้ง สายตาจดจ้องเขานิ่ง เห็นใบหน้าเขาเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ขณะมองดูแผ่นหลังที่ห่างออกไปของหยางเสวียน นัยน์ตาของเขาลึกล้ำ สายตาของนางเย็นชาดังน้ำแข็ง แต่นางไม่ขยับ สายตาของเขาลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง นั่นเป็นสีหน้าที่นางเห็นบ่อยที่สุดยามเพิ่งรู้จักกับเขา หญิงงามมีใจ จนใจที่กษัตริย์ไร้เจตนา
ขอเพียงไม่แตะต้องขีดจำกัดของนาง นางก็จะมอบความเชื่อใจให้เขาอย่างเต็มที่ นางเชื่อว่าคนอย่างเขาปล่อยข่าวซุบซิบเช่นนี้ กระทั่งปล่อยให้หยางเสวียนแสดงความรักต่อตนเองอย่างใจกล้า จะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่นอน แต่…หากเขาทรยศต่อคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับนาง…ซูหลีหรี่ตา ไอเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งพาดผ่านดวงตา อากาศรอบข้างราวกับถูกแช่แข็งในพริบตา
อากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เช้าตรู่ของวันหนึ่งหยางเสวียนนั่งรถม้าเข้าวังไปพร้อมกับตงฟางเจ๋อ บอกว่าจะไปเยี่ยมฮ่องเต้ โม่เซียงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ฝ่าบาทเข้าท้องพระโรงแต่เช้า นางไปเช้าแค่ไหนก็เข้าเฝ้าไม่ทัน เห็นชัดๆ ว่าต้องการหาโอกาสใกล้ชิดกับท่านอ๋อง!”
ซูหลีทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงสงบนิ่งดังเดิม นางจับพู่กันฝึกเขียนอักษรอย่างตั้งใจต่อไป หลังจากกลับมาจากไปคัดบทพระธรรมที่อารามฝอกวง นางคงกิจวัตรนี้เอาไว้ เพราะการจดจ่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งสามารถลืมความคิดวุ่นวายทั้งปวงได้
ยังไม่ถึงกลางวัน จู่ๆ ก็มีคนนำรับสั่งของฝ่าบาทมาถ่ายทอด บอกว่าทรงเรียกตัวท่านหญิงหมิงซีเข้าวังอย่างเร่งด่วน หลังจากคืนส่งท้ายปีเก่า ซูหลีก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่อีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว เหตุการณ์โหดร้ายที่เกิดขึ้นในคืนนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในใจซูหลี ราวกับเป็นเงามืดที่ไม่อาจลืมเลือน
ผู้ที่มารับนำทางนางไปยังตำหนักซีหน่วน ซูหลีสะดุดใจ ที่ผ่านมาฝ่าบาทเรียกคนเข้าเฝ้าที่ตำหนักใหญ่หรือไม่ก็ห้องหนังสือส่วนพระองค์ตลอด ทำไมจู่ๆ จึงเปลี่ยนไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักซีหน่วน? ครั้นนึกถึงหยางเสวียนที่จู่ๆ ก็เข้าวังมาวันนี้ หนังตานางพลันกระตุก นางสูดหายใจลึกๆ สาวเท้าเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
บรรยากาศในตำหนักซีหน่วนเงียบงัน แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
ฮ่องเต้นั่งพิงอยู่บนตั่ง โรคเก่าที่กำเริบอย่างกะทันหันทำให้เขาดูผ่ายผอมลงไปมาก แม้พักฟื้นนานหลายวัน ใบหน้าก็ยังคงเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการเจ็บป่วย ทว่าดวงตากลับคมปลาบ ยังคงไว้ซึ่งราศีน่าเกรงขามของโอรสสวรรค์เช่นเดิม
หยางเสวียนนั่งอยู่บนตั่งรองลงมาจากเขา ดวงหน้างามมีเลือดฝาดในวันวานยามนี้กลับซีดเผือด แววผิดหวังปรากฏกลางหว่างคิ้ว เหล่มองตงฟางเจ๋อที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งเป็นระยะ
ตงฟางเจ๋อเงียบงันไม่พูดจา สายตาที่มองซูหลีลึกล้ำดั่งก้นมหาสมุทร
“หมิงซีถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ข้าขอถามเจ้า องค์หญิงเจาหวาอาศัยอยู่ในจวนเจ้าหลายวัน พักนี้นางไม่สบาย เจ้ารู้หรือไม่?”
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงไม่เคยตรัส หมิงซีไม่ทราบเพคะ” ยามปกตินางสดใสร่าเริง แทบไม่มีเวลาว่าง ยามนี้นอกจากสีหน้าที่ดูผิดปกติแล้ว นางก็ดูไม่เป็นอะไรมาก ในใจพลันตึงเครียด หยางเสวียนป่วยเป็นอะไรกันแน่ ฮ่องเต้จึงได้ร้อนใจถึงขั้นรีบเรียกตัวนางเข้าวังมาถามเช่นนี้?
สายตาซูหลีเย็นชา หันไปถามหยางเสวียนโดยตรง “องค์หญิงไม่สบายที่ใด เหตุใดไม่เคยบอกหม่อมฉันเล่าเพคะ? อาการป่วยเล็กน้อยหากปล่อยไว้จนลุกลามใหญ่โตจะไม่ดีนะเพคะ”
หยางเสวียนหน้าซีด รีบยกมือปิดปาก หันหน้าไปอีกทางแล้วอาเจียนหลายครั้ง กลับไม่ได้อาเจียนเอาสิ่งใดออกมา
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ในใจพลันมีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นมาเลือนราง นางกลับไม่กล้าคิดไปไกลกว่านั้น
พลันนั้น คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในตำหนัก ซูหลีหันไปมอง เป็นจั้นอู๋จี๋
“ทูลฝ่าบาท นำตัวพยานมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พาเข้ามา!”
ซูหลีสงสัย พยานอะไรกัน?
ไม่นาน ชายผู้หนึ่งท่าทางเหมือนคนหาฟืนก็เดินตัวสั่นเข้ามา เขาคุกเข่าหมอบต่ำกับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ฮ่องเต้กล่าววาจาด้วยเสียงน่าเกรงขาม “ช่วงก่อนเคยมีชายหญิงคู่หนึ่งเข้าไปหลบลมหนาวในบ้านเจ้า ใช่หรือไม่?”
“ทูล ทูลฝ่าบาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าเงยหน้าขึ้นมา ดูว่าที่นี่มีสองคนนั้นอยู่หรือไม่”
คนหาฟืนเงยหน้ามองดูอย่างละเอียดด้วยอาการสั่นเทา ก่อนจะชี้ไปที่ตงฟางเจ๋อและหยางเสวียน แล้วร้องว่า “เป็นสองท่านนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
สายตาฮ่องเต้พลันขรึมลง “คืนวันนั้น พวกเขาร่วมนอนห้องเดียวกัน ไม่มีผู้ใดออกไปไหน?”
“คืนวันนั้นหิมะตกหนักมาก ตอนที่พวกเขามาก็ค่ำมากแล้ว แม่นางท่านนี้เจ็บเท้า เป็นคุณชายท่านนี้ที่ให้นางขี่หลัง กระหม่อมมีห้องว่างในกระท่อมเพียงห้องเดียว เพียงเก็บกวาดเล็กน้อยก็ให้พวกเขาเข้าพักแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาชี้ไปที่ซูหลีและจั้นอู๋จี๋ แล้วกล่าวต่ออีกว่า “กระทั่งรุ่งเช้าของวันต่อมา แม่นางและคุณชายสองท่านนี้ก็พาทหารมาจำนวนมาก ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็จากไปพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ จั้นอู๋จี๋รีบพาตัวคนผู้นั้นออกไปทันที
สายตาฮ่องเต้เคร่งขรึม มองตงฟางเจ๋อแล้วแค่นเสียงเย็นชา “หากวันนี้เจาหวาไม่เข้าวัง แล้วข้าบังเอิญเห็นนางไม่สบาย จึงเรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจร เกรงว่าข้าคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น! เจ้าและเจาหวาเป็นสามีภรรยากันแล้ว เหตุใดไม่บอกข้า? ยามนี้นางตั้งครรภ์มังกรแล้ว นี่มันเรื่องใหญ่ปานใด! หรือเจ้าจะรอให้เด็กคลอดออกมาก่อนจึงจะรู้? เหลวไหลสิ้นดี!”
อะไรนะ? ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว นางเงยหน้าขึ้นมองตงฟางเจ๋อด้วยความตกตะลึงสุดขีด แทบไม่อยากเชื่อ หยางเสวียน…ตั้งครรภ์ลูกของเขาอย่างนั้นหรือ!? เป็นไปได้อย่างไร!
นางเบิกตากว้าง มองหาสัญญาณปฏิเสธจากใบหน้าเขาอย่างร้อนใจ แต่ตงฟางเจ๋อยังคงตีหน้าขรึม ไม่พูดอะไร สีหน้ากลับดูหนักใจอย่างบอกไม่ถูก
ซูหลีพลันตระหนักได้ ตั้งแต่นางเข้ามา ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่ต้น ความเงียบงันของเขา กลับทำให้นางไม่อาจเข้าใจได้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เขาไม่เคยอธิบาย นางก็ไม่เคยถาม เพราะในหัวใจนาง ตงฟางเจ๋อเป็นคนที่ประพฤติตัวเหมาะสมมาโดยตลอด
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาและหยางเสวียนไปมาหาสู่กันบ่อย นางเองก็เห็นพฤติกรรมสนิทสนมที่หยางเสวียนแสดงต่อเขากับตาตนเอง แต่กลับไม่เคยสงสัยในตัวเขาจริงๆ แต่วินาทีนี้ ส่วนลึกในใจของซูหลีพลันสั่นไหวเล็กน้อย กลิ่นอายคลุมเครือบนเสื้อคลุมตัวใหญ่ของเขาราวกับลอยโชยมาอีกครั้ง ทำให้นางหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดแผ่ปกคลุมหัวใจในชั่วพริบตา นางตัวสั่นเล็กน้อย กำหมัดแน่นโดยสัญชาตญาณ ยังคงไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ทว่าเรื่องจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า พวกเขาอยู่ตามลำพังในค่ำคืนที่หิมะตกหนักจริงๆ เสื้อผ้าอาภรณ์หลุดลุ่ยไม่ครบถ้วนก็เป็นเรื่องจริง คนหลายสิบคนเห็นกับตา ไม่อาจโต้แย้งใดๆ ได้อีก ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ มีเพียงเขากับหยางเสวียนที่รู้ดีที่สุด!
ซูหลีมองตงฟางเจ๋อย่างพูดไม่ออก ราวกับต้องการมองหาร่องรอยความรู้สึกบนสีหน้ายากแท้หยั่งถึงของเขา ทว่ากลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย ตงฟางเจ๋อกระทั่งไม่เงยหน้ามองนางแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้กล่าวเสียงเข้ม “ข้าจะเขียนราชโองการโดยเร็ว แล้วส่งคนไปส่งสารเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้นให้กับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอย่างเป็นทางการ เจาหวาตั้งครรภ์ ไม่อาจล่าช้า ต้องรีบจัดงานแต่งงานโดยเร็วที่สุด!”
วาจาของฮ่องเต้ เปรียบดังมีดคมที่กรีดแทงหัวใจของซูหลีอย่างแรง รสชาติขมฝาดพรั่งพรูทันที นางรู้ดีว่าด้วยฐานะของเขา ช้าเร็วก็ต้องมีวันนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาถึงรวดเร็วเช่นนี้
“เสด็จพ่อ!” ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสีทันที แววคัดค้านในน้ำเสียงของเขาชัดเจนอย่างยิ่ง หัวใจของซูหลีพลันบังเกิดความหวังริบหรี่ ทว่ากลับได้ยินฮ่องเต้ตำหนิ “บังอาจ! ข้ารู้ว่าเจ้ากับหมิงซีผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกันมากมาย มีความรักลึกซึ้ง จึงเกรงว่าจะทำผิดต่อนาง แต่เจาหวามีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเปี้ยน ฐานะนางสูงส่ง หากนางไม่ชอบเจ้าจากใจจริง คงไม่ยอมมอบความบริสุทธิ์ให้เจ้า! ยามนี้เจ้าเพียงต้องมอบฐานะอันสมควรให้แก่พวกนางแม่ลูก มิเช่นนั้นคิดจะทำเช่นไร?” ฮ่องเต้ตวาดเสียงดัง ตัดบทเสียงคัดค้านทั้งมวล เหล่านางกำนัลและขันทีรอบข้างต่างตกใจ พากันก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
……………………………………………..